“ท่านแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงไปที่ร้านนั้นจริงๆ น่ะรึ” องค์ชายรัชทายาทจีเฉิงอันมองหน้าซูฉีด้วยความตกใจ และเอ่ยถามอย่างฉงนสนเท่ห์
ซูฉีลูบเครายาวของตนเองเบาๆ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบรับ ตัวเขาเองก็ตกใจเช่นกัน เนื่องจากไม่ได้คาดคิดสักนิดว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงจะปรากฏตัวที่ร้านอาหารแห่งนั้น
“เจ้าได้สืบทราบมาหรือไม่ว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงไปทำอะไรที่ร้านนั้น” องค์ชายรัชทายาทถาม พร้อมทั้งลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินไปมาอย่างช้าๆ
ซูฉีหยุดคิดชั่วครู่ มุ่นคิ้ว ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “ท่านแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงอาจไปที่ร้านนั้นเพราะชื่นชอบในรสชาติอาหารก็เป็นได้…”
องค์ชายรัชทายาทหันไปจ้องซูฉีพร้อมรอยยิ้มฝืน “เจ้าได้ฟังสิ่งที่ตัวเองตอบออกมาหรือไม่ ท่านแม่ทัพเซียวเหมิงเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ บรรลุระดับที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องกินอาหารอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเขาไม่จำเป็นต้องกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มใดๆ แล้วจะไปที่ร้านเพื่อกินของอร่อยทำไมเล่า”
มุมปากของซูฉียกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาเชื่อว่าแม่ทัพเซียวเหมิงไปที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางแค่เพื่อกินอาหารจริงๆ องค์ชายผู้นี้ยังไม่เคยกินอาหารของร้านนี้จึงไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้ลองกินครั้งหนึ่งแล้ว รับรองว่าจะเชื่อข้อสันนิษฐานของเขาอย่างไม่มีข้อกังขาแน่นอน
ในความคิดของซูฉี ร้านเล็กๆ ของฟางฟางนั้นยอดเยี่ยมจนน่าอัศจรรย์ใจ
“องค์ชายตรัสถูกแล้วพะย่ะค่ะ ข้าจะไปสืบเพิ่มเติมเดี๋ยวนี้” ซูฉีเอ่ยพร้อมประสานฝ่ามือและกำปั้นเข้าด้วยกันเพื่อแสดงความเคารพ โดยไม่ได้พยายามเถียงแต่อย่างใด
“ได้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะชื่นชอบรสชาติอาหารของร้านนั้นมาก มันอร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” องค์ชายรัชทายาทมองซูฉีเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถาม แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ดีว่าชายตรงหน้านี้ไปที่ใดมาบ้าง
“ใช่แล้วพะย่ะค่ะองค์ชาย โดยเฉพาะปลาต้มของร้านนั้น… ทั้งอร่อยและนุ่มมากจริงๆ !” ดวงตาของชายหนวดงามเป็นประกายขึ้นขณะเอ่ยตอบ แต่หลังจากที่ได้พูดออกไปแล้ว เขาก็พลันนึกได้ว่าตนเองกำลังพูดอยู่กับองค์ชายรัชทายาทของอาณาจักร จึงปิดปากเงียบแล้วถอยออกไปพร้อมรอยยิ้มฝืน
“ปลาต้มรึ… ฟังดูน่ากินดี” องค์ชายรัชทายาทชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พลันยิ้มออกมา
…
รัตติกาลมาเยือนอีกครั้ง แสงจันทร์สีเงินราวม่านหมอกทอแสงอ่อนโยนบนผืนดิน
ณ ห้องครัวแห่งร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
ปู้ฟางสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็จับไก่โลหิตปักษาเพลิงออกจากกรงในตู้เก็บของ โดยไม่สนใจเสียงร้องประท้วงของมัน
หลังจากที่ถอนขนไก่ออกจนเกลี้ยงและนำเครื่องในออกเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ทำตามสูตรน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิงอีกครั้ง
เขาใช้มีดเจาะรูสมุนไพรสะระแหน่แล้วเทน้ำที่ได้ลงในชามเล็ก จากนั้นก็หั่นสมุนไพรเป็นชิ้นเล็กพร้อมสมุนไพรชนิดอื่นๆ เพื่อยัดลงช่วงท้องของไก่โลหิตปักษาเพลิง ชายหนุ่มหยิบหม้อดินเผาออกมา เทน้ำจากบ่อน้ำพุพลังปราณบริสุทธิ์ลงไป แล้วนำไก่ที่เตรียมเรียบร้อยใส่ลงหม้อ
ปู้ฟางตั้งหม้อบนเตาไฟสักพักจนเนื้อไก่ข้างในส่งกลิ่นหอมเล็ดลอดออกมา จากนั้นก็เปิดฝาหม้อออก ไอน้ำหนาเข้มข้นด้วยกลิ่นของเนื้อไก่และสมุนไพรที่ผสมผสานกันพวยพุ่งออกจากหม้อ ทำให้ตัวเขารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ขั้นตอนต่อไปคือการเทน้ำสมุนไพรสะระแหน่ลงไปแล้วปิดฝาอีกครั้ง จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุด
“ระบบ ข้าจะใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำอาหารได้อย่างไร กระจายพลังปราณใส่หม้อตรงๆ เลยได้หรือไม่” เขาถามอย่างงุนงงสงสัย
“การทำอาหารด้วยพลังปราณเที่ยงแท้: พ่อครัวและแม่ครัวต้องหล่อเลี้ยงวัตถุดิบด้วยพลังปราณผ่านการส่งพลังปราณเข้าสู่อุปกรณ์ทำครัว พ่อครัวและแม่ครัวจะถูกทดสอบความสามารถด้านทักษะการใช้พลังปราณเที่ยงแท้และการควบคุมรสชาติของอาหาร”
ปู้ฟางตกใจเมื่อได้ยินคำอธิบายของระบบ สายตาของเขาจับจ้องไปที่หม้อดินเผาท่ามกลางเปลวเพลิง มองเห็นไอความร้อนที่กระจายออกจากหม้อ
“ระบบ เจ้าแน่ใจหรือ หากข้าวางมือลงบนหม้อดิน มือข้าจะไม่ไหม้หรือ” มุมปากของชายหนุ่มกระตุก
“หม้อดินเผานี้หาใช่หม้อดินเผาธรรมดาไม่ มันจะปรับอุณหภูมิตัวเองเมื่อจับกระแสพลังปราณเที่ยงแท้ได้ นายท่านไม่ต้องกังวลไป” ระบบตอบเสียงขรึม
แต่ปู้ฟางก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี เขายกมือขึ้น แสงระยิบระยับหมุนวนอยู่บนฝ่ามือ ราวกับมีม่านแสงห่อหุ้มมือของเขาอยู่
ผู้ฝึกตนระดับสามขั้นคลั่งยุทธการสามารถสร้างพลังปราณเที่ยงแท้ภายนอกกายได้ นอกจากนี้ระดับนี้ยังถือเป็นระดับต่ำสุดของการทำอาหารด้วยพลังปราณเที่ยงแท้อีกด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD