เสียงม้าวิ่งกุบกับผ่านหน้าซ่งฝูหลิงที่คุกเข่าไป
แม่ทัพหนุ่มลู่พั่นขี่ม้าผ่านไป สายตาเขาไม่ได้แลมองสิ่งใด ไม่แม้แต่จะเหลือบมองพวกผู้ลี้ภัยเหล่านี้
แต่กลับทำให้พวกลี้ภัยดีใจกันมาก
รีบโขกหัวเพื่อเป็นการขอบคุณ “ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณท่านแม่ทัพ ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณท่านแม่ทัพ”
ซ่งฝูหลิงก็ปะปนอยู่กับกลุ่มคนในนี้ นางโขกหัวอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แค่โขกหัวไปสักพักก็นับได้สิบกว่าครั้งแล้ว แต่ภายในใจนางรู้สึกขอบคุณอย่างมาก
เป็นเพราะหนุ่มหล่อสุดเท่ห์คนนั้น ถึงแม้ว่าเขาดูจะไม่ค่อยสนใจพวกเขาก็ตาม
แต่ผู้ติดตามบอกกับพวกเขาให้รู้ว่า ด้านหน้าอีกสามร้อยลี้มีลำธารบนภูเขา
อีกเจ็ดร้อยลี้ก็จะถึงเมืองหน้าด่านเมืองแรก ภายใต้การปกครองของท่านอ๋องเยี่ยน เมืองโยวโจว
ประตูเมืองโยวโจวจัดทำเพิงสำหรับแจกข้าวต้มให้กับผู้ประสบภัย แต่ห้ามค้างแรม ต้องรีบไปต่อ
ซ่งฝูหลิง เฉียนเพ่ยอิงพูดออกมาพร้อมกัน “ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณท่านแม่ทัพ ขอบคุณ…”
ซ่งฝูหลิงค่อยๆ ยืดตัวขึ้น นางเห็นพวกทหารเดินทางไปไกลแล้ว นางก็รีบจับมือเฉียนเพ่ยอิงมากุม แววตาเป็นประกาย พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ท่านแม่ ท่านได้ยินไหม? ดีมากเลย พวกเราจะได้เข้าเมืองแล้ว อีกสามร้อยลี้มีน้ำ อีกเจ็ดร้อยลี้ถึงเมืองแล้ว รีบออกเดินทางเร็ว สิบวันแปดวันก็ถึงแล้ว อย่าพักผ่อนเลย รีบเดินทางกันเถอะ!”
หลังจากคำพูดของซ่งฝูหลิงนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจกันมากขึ้น
มีความสุขกันมาก แม้แต่ซ่งหลี่เจิ้งยังร้องไห้ ส่วนเกาถูฮู่ก็ขอบตาแดงก่ำ
มีคนเฒ่าคนแก่ที่มีอายุมากเริ่มร้องเพลงสรรเสริญขึ้นมา สรรเสริญท่านอ๋องเยี่ยนที่ใส่ใจบ้านเมือง ห่วงใยราษฎร
เป็นที่รู้กันดีว่า ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องคนไหนจะสามารถปล่อยผู้ลี้ภัยให้เข้ามาในเมืองได้
ยังมีท่านอ๋องบางคนที่ชอบการฆ่าฟัน เมื่อตีเมืองหน้าด่านสำเร็จ เรื่องแรกที่เขาจะทำคือฆ่าล้างเมือง เพียงเพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่ประชาชนของเขา และยิ่งโกรธเกลียดตอนเข้าโจมตีเมืองมากขึ้น เพราะยามที่ชาวเมืองต่อต้าน ทำให้เขาต้องสูญเสียแม่ทัพดีๆ ไป
ดังนั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ ท่านอ๋องเยี่ยนไม่ได้มีคำสั่งให้ปิดประตูเมือง นี่แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยที่เขามีให้กับประชาชน
โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยที่อพยพกันมามากมายขนาดนี้ พุ่งตรงเข้ามาในเมืองเขา ถ้าถูกปล่อยให้เข้าไปก็ต้องเผชิญกับปัญหามากมายที่อยู่ตรงหน้า
พูดอย่างไม่น่าฟัง แต่ละคนก็เหมือนกับปีศาจเข้าหมู่บ้าน เป็นตั๊กแตนที่บินข้ามพรมแดน ลองมองเส้นทางนี้สิ ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา คนที่ไม่จำเป็นต้องลี้ภัยกลับต้องพากันอพยพหลบหนีทั้งครอบครัวเช่นกัน ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ยากจน มีคนรอเข้าเมือง คนจะต้องกินข้าวอีกเท่าไร ดื่มน้ำอีกเท่าไร อาจร้ายแรงจนส่งผลกระทบกับคนท้องถิ่นในการใช้ชีวิตและความมั่นคงในการดำรงชีวิตของประชาชน
เห็นได้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าหาญในการยอมรับ
แต่ตอนนี้แม่ทัพลู่พั่นท่านนี้ ให้ข่าวสารที่ชัดเจน ทำให้จิตใจสงบมากขึ้น
ขอเพียงมีชีวิตรอดเดินไปจนถึงที่หมาย มีสถานที่ที่สามารถไปต่อได้ ตอนนี้ยังมีหน่วยงานราชการมาคอยดูแล คงไม่มองและปล่อยให้พวกเขาตายไปต่อหน้า จะไม่ให้ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลได้อย่างไร?
“ไปๆ วันนี้ต้องเดินทางอีกสิบลี้ แปดลี้” ผู้ลี้ภัยหลายกลุ่มที่อยู่บริเวณโดยรอบพูดขึ้นมา
แม้แต่กลุ่มที่ทำเด็กหาย นอกจากพ่อแม่ของเด็กที่โศกเศร้าเสียใจแล้ว คนในครอบครัวอื่นก็เริ่มทยอยเก็บข้าวของเพื่อเริ่มเดินทางต่ออีกครั้ง
พวกซ่งฝูหลิงไม่รู้เลยว่าการกระทำของท่านแม่ทัพลู่ ที่บอกข้อมูลข่าวสารครั้งนี้จะเป็นการช่วยชีวิตของพวกเขาไว้
เดิมที มีคนกลุ่มหนึ่งคอยจ้องมองพวกเขา รอช่วงเวลากลางดึก ตอนที่ทุกคนนอนหลับไหลเพื่อแอบเข้าไปขโมยอาหาร
อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่เห็น คนเรา ยามที่หิวจัดๆ จมูกจะได้กลิ่นอาหารเป็นอย่างดี กลุ่มคนพวกนี้ยังมีเกลือ แค่เอาเกลือมาต้มน้ำซุป ก็ทำให้มันมีรสอร่อยขึ้นได้ จะไม่ให้ปล้นได้อย่างไร?
พวกเขาหิวมาก พวกเขาหิวจะตายแล้ว
แต่ท่านแม่ทัพลู่บอกข้อมูลว่า ด้านหน้าจะมีน้ำ มีภูเขา ที่นั่นต้องมีหญ้า มีเปลือกต้นไม้ ต้องเสี่ยงชีวิตกับกลุ่มขบวนสองร้อยกว่าคนเพื่อแย่งชิงอาหาร? คนที่ต้องการแย่งชิงก็ต้องครุ่นคิดให้ดี ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
แต่เดินมาถึงตรงนี้แล้ว ไม่มีใครที่อยากจะตายหรอก
หากไม่รู้ว่าข้างหน้ายังมีความหวัง บางทีอาจจะต้องลองดูสักตั้ง
แต่ในเมื่อตอนนี้รู้แน่ชัดแล้ว ขอเพียงเดินไปให้ถึง ก็ยังมีความหวังไม่ใช่หรือ?
อืม ไม่ต้องแย่งชิงใครแล้ว แค่อดทนอีกสักหน่อย
ถ้าหากสามารถอดทนได้อีกนิด ใครจะยอมไปเสี่ยงชีวิตเพื่อแย่งชิงอาหารกับขบวนคนสองร้อยกว่าคนนั่น? จะสู้ได้ไหม? ขอเพียงอดทนจนไปถึงเมืองโยวโจว หน้าประตูจวนราชการก็มีการแจกข้าวต้ม รอดื่มข้าวต้มของราชการน่าปลอดภัยกว่า
ดังนั้น คนพวกที่แต่เดิมอยากจะปล้นซ่งฝูหลิง ยังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกคำพูดของลู่พั่นทำให้จิตใจไขว้เขว พวกเขาตัดสินใจรีบเดินทางออกไป
พวกซ่งฝูหลิงไม่รู้เรื่องราวพวกนี้ หากได้รู้คงไม่ร้องไห้เสียน้ำตา
ยังจะมาแย่งอะไรจากพวกเขาอีก ไม่มีอาหารอะไรให้แล้ว
คนหลายร้อยคน เมื่อต้องกินข้าว มื้อหนึ่งๆ ต้องนึ่งปัวปัวไว้จำนวนเท่าไรถึงจะพอ ไม่ได้แบ่งอาหารเป็นของบ้านใครบ้านมันมานานมากแล้ว ทุกคนต่างกินอาหารร่วมกันจากกองกลาง
อย่าว่าแต่อาหารเลย แม้แต่น้ำก็ไม่เหลือ แม้แต่น้ำแร่ที่อยู่ในพื้นที่พิเศษของบ้านนางก็เหลือแค่สองขวดสุดท้าย ซ่งฝูหลิงแบกมันไว้อยู่ข้างหลัง
เกลือ? ใช่ มีเกลือ มีเกลืออยู่นิดเดียวที่อยู่ในพื้นที่พิเศษของบ้านนาง ในโถซอสใบใหญ่ของท่านย่า พวกท่านยายหวังก็นำมาดองผักกินจนหมดแล้ว ถ้าสองวันนี้ไม่ได้เกลือของบ้านนางเติมให้ คนพวกนี้ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเข็นรถแล้ว
ขั้นตอนต่อไป ทุกคนก็เตรียมใจไว้ให้พร้อม ถ้าต้องเดินอีกยี่สิบวันหรือหนึ่งเดือน ซ่งฝูเซิงก็วางแผนว่าจะเอาซอสพริกเกาหลีที่ซ่งฝูหลิงซื้อมา นำออกมาทาปัวปัวกิน ไม่มีเกลือก็แย่มากแล้ว แต่ซอสพริกยิ่งเป็นสิ่งของที่ไม่ควรเอาออกมาถ้าไม่มีความจำเป็น เพราะสถานที่นี้ยังไม่มีพริก
ซ่งฝูเซิงพึมพำ “ยังดี ยังพอที่จะสามารถผ่านไปได้”
แต่ว่า จะสามารถผ่านไปได้จริงหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...