ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 116

เสียงม้าวิ่งกุบกับผ่านหน้าซ่งฝูหลิงที่คุกเข่าไป

แม่ทัพหนุ่มลู่พั่นขี่ม้าผ่านไป สายตาเขาไม่ได้แลมองสิ่งใด ไม่แม้แต่จะเหลือบมองพวกผู้ลี้ภัยเหล่านี้

แต่กลับทำให้พวกลี้ภัยดีใจกันมาก

รีบโขกหัวเพื่อเป็นการขอบคุณ “ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณท่านแม่ทัพ ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณท่านแม่ทัพ”

ซ่งฝูหลิงก็ปะปนอยู่กับกลุ่มคนในนี้ นางโขกหัวอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แค่โขกหัวไปสักพักก็นับได้สิบกว่าครั้งแล้ว แต่ภายในใจนางรู้สึกขอบคุณอย่างมาก

เป็นเพราะหนุ่มหล่อสุดเท่ห์คนนั้น ถึงแม้ว่าเขาดูจะไม่ค่อยสนใจพวกเขาก็ตาม

แต่ผู้ติดตามบอกกับพวกเขาให้รู้ว่า ด้านหน้าอีกสามร้อยลี้มีลำธารบนภูเขา

อีกเจ็ดร้อยลี้ก็จะถึงเมืองหน้าด่านเมืองแรก ภายใต้การปกครองของท่านอ๋องเยี่ยน เมืองโยวโจว

ประตูเมืองโยวโจวจัดทำเพิงสำหรับแจกข้าวต้มให้กับผู้ประสบภัย แต่ห้ามค้างแรม ต้องรีบไปต่อ

ซ่งฝูหลิง เฉียนเพ่ยอิงพูดออกมาพร้อมกัน “ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณท่านแม่ทัพ ขอบคุณ…”

ซ่งฝูหลิงค่อยๆ ยืดตัวขึ้น นางเห็นพวกทหารเดินทางไปไกลแล้ว นางก็รีบจับมือเฉียนเพ่ยอิงมากุม แววตาเป็นประกาย พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ท่านแม่ ท่านได้ยินไหม? ดีมากเลย พวกเราจะได้เข้าเมืองแล้ว อีกสามร้อยลี้มีน้ำ อีกเจ็ดร้อยลี้ถึงเมืองแล้ว รีบออกเดินทางเร็ว สิบวันแปดวันก็ถึงแล้ว อย่าพักผ่อนเลย รีบเดินทางกันเถอะ!”

หลังจากคำพูดของซ่งฝูหลิงนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจกันมากขึ้น

มีความสุขกันมาก แม้แต่ซ่งหลี่เจิ้งยังร้องไห้ ส่วนเกาถูฮู่ก็ขอบตาแดงก่ำ

มีคนเฒ่าคนแก่ที่มีอายุมากเริ่มร้องเพลงสรรเสริญขึ้นมา สรรเสริญท่านอ๋องเยี่ยนที่ใส่ใจบ้านเมือง ห่วงใยราษฎร

เป็นที่รู้กันดีว่า ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องคนไหนจะสามารถปล่อยผู้ลี้ภัยให้เข้ามาในเมืองได้

ยังมีท่านอ๋องบางคนที่ชอบการฆ่าฟัน เมื่อตีเมืองหน้าด่านสำเร็จ เรื่องแรกที่เขาจะทำคือฆ่าล้างเมือง เพียงเพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่ประชาชนของเขา และยิ่งโกรธเกลียดตอนเข้าโจมตีเมืองมากขึ้น เพราะยามที่ชาวเมืองต่อต้าน ทำให้เขาต้องสูญเสียแม่ทัพดีๆ ไป

ดังนั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ ท่านอ๋องเยี่ยนไม่ได้มีคำสั่งให้ปิดประตูเมือง นี่แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยที่เขามีให้กับประชาชน

โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยที่อพยพกันมามากมายขนาดนี้ พุ่งตรงเข้ามาในเมืองเขา ถ้าถูกปล่อยให้เข้าไปก็ต้องเผชิญกับปัญหามากมายที่อยู่ตรงหน้า

พูดอย่างไม่น่าฟัง แต่ละคนก็เหมือนกับปีศาจเข้าหมู่บ้าน เป็นตั๊กแตนที่บินข้ามพรมแดน ลองมองเส้นทางนี้สิ ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา คนที่ไม่จำเป็นต้องลี้ภัยกลับต้องพากันอพยพหลบหนีทั้งครอบครัวเช่นกัน ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ยากจน มีคนรอเข้าเมือง คนจะต้องกินข้าวอีกเท่าไร ดื่มน้ำอีกเท่าไร อาจร้ายแรงจนส่งผลกระทบกับคนท้องถิ่นในการใช้ชีวิตและความมั่นคงในการดำรงชีวิตของประชาชน

เห็นได้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าหาญในการยอมรับ

แต่ตอนนี้แม่ทัพลู่พั่นท่านนี้ ให้ข่าวสารที่ชัดเจน ทำให้จิตใจสงบมากขึ้น

ขอเพียงมีชีวิตรอดเดินไปจนถึงที่หมาย มีสถานที่ที่สามารถไปต่อได้ ตอนนี้ยังมีหน่วยงานราชการมาคอยดูแล คงไม่มองและปล่อยให้พวกเขาตายไปต่อหน้า จะไม่ให้ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลได้อย่างไร?

“ไปๆ วันนี้ต้องเดินทางอีกสิบลี้ แปดลี้” ผู้ลี้ภัยหลายกลุ่มที่อยู่บริเวณโดยรอบพูดขึ้นมา

แม้แต่กลุ่มที่ทำเด็กหาย นอกจากพ่อแม่ของเด็กที่โศกเศร้าเสียใจแล้ว คนในครอบครัวอื่นก็เริ่มทยอยเก็บข้าวของเพื่อเริ่มเดินทางต่ออีกครั้ง

พวกซ่งฝูหลิงไม่รู้เลยว่าการกระทำของท่านแม่ทัพลู่ ที่บอกข้อมูลข่าวสารครั้งนี้จะเป็นการช่วยชีวิตของพวกเขาไว้

เดิมที มีคนกลุ่มหนึ่งคอยจ้องมองพวกเขา รอช่วงเวลากลางดึก ตอนที่ทุกคนนอนหลับไหลเพื่อแอบเข้าไปขโมยอาหาร

อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่เห็น คนเรา ยามที่หิวจัดๆ จมูกจะได้กลิ่นอาหารเป็นอย่างดี กลุ่มคนพวกนี้ยังมีเกลือ แค่เอาเกลือมาต้มน้ำซุป ก็ทำให้มันมีรสอร่อยขึ้นได้ จะไม่ให้ปล้นได้อย่างไร?

พวกเขาหิวมาก พวกเขาหิวจะตายแล้ว

แต่ท่านแม่ทัพลู่บอกข้อมูลว่า ด้านหน้าจะมีน้ำ มีภูเขา ที่นั่นต้องมีหญ้า มีเปลือกต้นไม้ ต้องเสี่ยงชีวิตกับกลุ่มขบวนสองร้อยกว่าคนเพื่อแย่งชิงอาหาร? คนที่ต้องการแย่งชิงก็ต้องครุ่นคิดให้ดี ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

แต่เดินมาถึงตรงนี้แล้ว ไม่มีใครที่อยากจะตายหรอก

หากไม่รู้ว่าข้างหน้ายังมีความหวัง บางทีอาจจะต้องลองดูสักตั้ง

แต่ในเมื่อตอนนี้รู้แน่ชัดแล้ว ขอเพียงเดินไปให้ถึง ก็ยังมีความหวังไม่ใช่หรือ?

อืม ไม่ต้องแย่งชิงใครแล้ว แค่อดทนอีกสักหน่อย

ถ้าหากสามารถอดทนได้อีกนิด ใครจะยอมไปเสี่ยงชีวิตเพื่อแย่งชิงอาหารกับขบวนคนสองร้อยกว่าคนนั่น? จะสู้ได้ไหม? ขอเพียงอดทนจนไปถึงเมืองโยวโจว หน้าประตูจวนราชการก็มีการแจกข้าวต้ม รอดื่มข้าวต้มของราชการน่าปลอดภัยกว่า

ดังนั้น คนพวกที่แต่เดิมอยากจะปล้นซ่งฝูหลิง ยังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกคำพูดของลู่พั่นทำให้จิตใจไขว้เขว พวกเขาตัดสินใจรีบเดินทางออกไป

พวกซ่งฝูหลิงไม่รู้เรื่องราวพวกนี้ หากได้รู้คงไม่ร้องไห้เสียน้ำตา

ยังจะมาแย่งอะไรจากพวกเขาอีก ไม่มีอาหารอะไรให้แล้ว

คนหลายร้อยคน เมื่อต้องกินข้าว มื้อหนึ่งๆ ต้องนึ่งปัวปัวไว้จำนวนเท่าไรถึงจะพอ ไม่ได้แบ่งอาหารเป็นของบ้านใครบ้านมันมานานมากแล้ว ทุกคนต่างกินอาหารร่วมกันจากกองกลาง

อย่าว่าแต่อาหารเลย แม้แต่น้ำก็ไม่เหลือ แม้แต่น้ำแร่ที่อยู่ในพื้นที่พิเศษของบ้านนางก็เหลือแค่สองขวดสุดท้าย ซ่งฝูหลิงแบกมันไว้อยู่ข้างหลัง

เกลือ? ใช่ มีเกลือ มีเกลืออยู่นิดเดียวที่อยู่ในพื้นที่พิเศษของบ้านนาง ในโถซอสใบใหญ่ของท่านย่า พวกท่านยายหวังก็นำมาดองผักกินจนหมดแล้ว ถ้าสองวันนี้ไม่ได้เกลือของบ้านนางเติมให้ คนพวกนี้ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเข็นรถแล้ว

ขั้นตอนต่อไป ทุกคนก็เตรียมใจไว้ให้พร้อม ถ้าต้องเดินอีกยี่สิบวันหรือหนึ่งเดือน ซ่งฝูเซิงก็วางแผนว่าจะเอาซอสพริกเกาหลีที่ซ่งฝูหลิงซื้อมา นำออกมาทาปัวปัวกิน ไม่มีเกลือก็แย่มากแล้ว แต่ซอสพริกยิ่งเป็นสิ่งของที่ไม่ควรเอาออกมาถ้าไม่มีความจำเป็น เพราะสถานที่นี้ยังไม่มีพริก

ซ่งฝูเซิงพึมพำ “ยังดี ยังพอที่จะสามารถผ่านไปได้”

แต่ว่า จะสามารถผ่านไปได้จริงหรือ?

ผ่านไปสามวัน ซ่งฝูหลิงปฏิเสธครอบครัวซ่งหลี่เจิ้งที่จะใช้รถเข็นของนาง นางพันแผ่นรองกันชื้น ลงเดินตามถนน หากเดินเยอะหน่อยก็จะเพิ่มความอบอุ่นขึ้นมาได้บ้าง

ด้านหลังมีรถอีกคันหนึ่ง บนรถกำลังเผาถ่านที่พวกเขาทำขึ้นเอง เพื่อให้พวกเด็กๆ ได้นั่งโดยเฉพาะ พวกเด็กๆ จะถูกคลุมด้วยผ้าห่มสองผืน พวกเขาขดตัวกันอยู่ข้างในโดยหมี่โซ่วก็อยู่ในนั้นด้วย

พวกเขาสวมเสื้อผ้าทุกอย่างที่สามารถจะสวมได้ แต่เท้ายังคงเย็นจนชาและบวม จนรองเท้าฟางห่อหุ้มได้ไม่หมด แต่ละคนหนาวจนริมฝีปากเย็นเฉียบ มือก็เย็นแข็งจนแทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้

เหมือนไม่กี่วันก่อน สภาพอากาศร้อนแห้งแล้ง อุณหภูมิสูงขึ้นแบบช่วงฤดูร้อน แต่จากฤดูร้อนก็เปลี่ยนมาเป็นฤดูหนาวทันที สองพื้นที่นี้มีชายแดนอยู่ติดกันเป็นแนวยาว แต่สภาพอากาศกลับแตกต่างกันมากกว่าสิบองศา โดยเฉพาะช่วงเวลาเช้ากับช่วงเวลาเย็น

ช่วงปลายเดือนสิบ ยิ่งเดินไปทางทิศเหนือ อากาศก็ยิ่งหนาวมากขึ้น ช่วงนี้มีอากาศหนาวก็ถูกต้องแล้ว แต่สภาพอากาศในปีนี้ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว แสดงว่ากำลังจะเกิดภัยพิบัติใหญ่

ซ่งฝูหลิงถามท่านย่าหม่า “ท่านย่า ท่านหนาวหรือไม่? มา พวกเราสองคนมาพันตัวด้วยแผ่นรองผืนหนึ่งกัน”

ท่านย่าหม่าแบกตะกร้าไว้ด้านหลัง กระเป๋าคล้องแขนไว้ สองมือสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ นางส่ายหัว “ต้องโทษพ่อของเจ้าที่บังคับให้ข้าทิ้งสัมภาระให้ได้ ทิ้งไปแล้ว เมื่อคืนนอนหนาวจนปิดเปลือกตาไม่ไหว แต่ละคนตัวสั่นเทาจนต้องนอนเบียดเสียดใกล้ชิดกัน”

“ใครจะคาดคิดได้ว่าอากาศร้อนขนาดนั้นจะกลับมาเปลี่ยนเป็นอากาศเย็นขนาดนี้ได้เล่า”

ท่านย่าหม่าก้าวขาอันแข็งทื่อเดินหน้าต่อไป “เฮ้อ ครั้งนั้นคนที่ตามหลังพวกเรามาไม่รู้ว่ามีกี่คนที่อดตาย แล้วครั้งนี้จะมีอีกกี่คนที่หนาวตาย ฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ได้ปลูกอะไร พอแล้วๆ กังวลกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้ดีกว่า เห็นภูเขาที่มีลำธารลูกนั้นหรือไม่? จะได้ให้ทุกคนดื่มน้ำให้เต็มที่ก่อน”

ซ่งฝูหลิงถือกล้องส่องทางไกล นางส่องไปสักพักก่อนจะเก็บมันใส่ในกระเป๋า ตั้งแต่มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากบนทางเดิน นางก็จะพยายามเก็บสิ่งของพวกนี้ไว้ให้มิดชิด

อย่างน้อยก็เพื่อให้เกิดปัญหาน้อยที่สุด สมาชิกครอบครัวสามคนของนางก็ไม่มีใครกล้าเอารองเท้าฝ้ายออกมาใช้ ไม่กล้านำเสื้อขนสัตว์ออกมาใส่ ได้แต่สวมเสื้อที่ให้ความอบอุ่นตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง และเลือกสวมไว้ข้างในเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต

“เห็นแล้ว เห็นแล้ว มาถึงภูเขาที่มีลำธารแล้ว!”

เมื่อเจอน้ำแล้ว ทุกคนดีใจอย่างมาก ผ่านไปหลายวัน โอ้ ในที่สุดก็สามารถดื่มน้ำได้เต็มที่เสียที สามารถเอาน้ำมาล้างหน้าได้อีก แต่เมื่อนิ้วมือไปสัมผัสน้ำ ก็ต้องถึงกับสะดุ้งเพราะน้ำนั่นเย็นจัด

ซ่งฝูเซิงโบกมือให้กับลูกสาว “เจ้าอย่าอาบน้ำเลย เดี๋ยวไม่สบาย เดินอีกไม่กี่วันพวกเราก็จะเข้าเมืองแล้ว ถ้าเข้าเมืองแล้ว เรื่องแรกที่พ่อจะทำให้กับเจ้าก็คือต้มน้ำให้เจ้าอาบ เชื่อฟังข้าเถอะ”

ตอนนี้ใบหน้าของซ่งฝูเซิงมีริ้วรอย แค่ลี้ภัยไม่กี่วันมานี้แต่สภาพของเขาดูเหมือนจะแก่ขึ้นอีกสิบปี

อากาศเย็น ทุกคนก็ไม่ค่อยอยากจะพูดคุยกัน สวมหมวกไว้บนหัวก็ไม่ได้เอาไว้ป้องกันโรคระบาดจากแมลงหรือยุง แต่เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย

แต่ละคนก็ต้องอดทนกับอาการปวดข้อนิ้วมือ พยายามใช้ถังใหญ่ถังเล็ก บรรจุน้ำที่ต้องใช้ในวันหลัง แม้แต่ที่วางเท้าก็ไม่สามารถยืดขาพักผ่อนได้ พวกเขารีบเดินทางต่อเพื่อที่จะได้เข้าเมือง

เพิ่งจะวางน้ำเสร็จ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นทันที

โจรสองพี่น้อง ชายร่างกำยำและพรรคพวกที่พวกเขาพามาทั้งหมดยี่สิบกว่าคน ในมือถือมีด กระบอง กริช ต่างมุ่งตรงมายังขบวนของซ่งฝูเซิง

พวกเขาหนีตายลงมาจากภูเขา ซ่องโจรบนภูเขาโดนกวาดล้าง พวกเขาเองจึงเกือบจะโดนกวาดล้างตามไปด้วย อาจพูดได้ว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีอะไรเหลือเลย ตลอดทางทั้งหิวทั้งหนาว ไม่พบคนมีเงิน ไม่มีโอกาสปล่นเงินใคร แค่ปล้นของกินได้นิดหน่อยแต่ก็ยังไม่พอ

เมื่อพบเห็นซ่งฝูเซิงก็เหมือนกับมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที วางแผนจะแย่งอาหาร แย่งกระบอกน้ำสแตนเลส แย่งเงิน แย่งผ้าห่ม

ตอนนี้ทุกคนหมดเรี่ยวแรงหลังจากไปตักน้ำมาเสร็จ อุปกรณ์ป้องกันตัวก็วางทิ้งไว้อีกด้านหนึ่ง ไม่ได้มีการเตรียมตัวอะไร โดยเฉพาะเด็กๆ และพวกผู้หญิง

ซ่งฝูเซิงหมุนตัวกลับมาก็ถูกโจรคนน้อง ใช้กริชกรีดโดนแขน

ซ่งฝูเซิงได้แต่ผลักเฉียนเพ่ยอิงไปไกลๆ เขาตะโกนเสียงดัง “แม่มึงเอ้ย!” แล้วพุ่งตัวใช้หมัดต่อยเข้าไป

เขากัดฟันด้วยความโมโห ใช่สิ เขาจำได้ ตอนนั้นเขาควรจับโจรสองคนนั้นมาถลกเนื้อทำน้ำพริกด้วยซ้ำ จากนี้ไปอย่าว่าแต่ปล่อยตัวเลย เขาจะจดจำไว้เป็นบทเรียน ใครกล้ามาทำอะไรเขา ใครทำอะไรไม่ดี เขาก็จะจัดการให้ถึงตายทันที ไม่ต้องไว้ชีวิตใคร ชีวิตของคนพวกนี้ไม่มีค่า

ในเวลาเดียวกันเสียงตะโกน ‘ฆ่า’ ก็ดังสนั่นขึ้น ซื่อจ้วงคอยปกป้องเด็กๆ ที่อยู่บนรถเข็น

พวกผู้หญิงตะโกนโหวกเหวก หยิบสิ่งของที่อยู่ใกล้มือได้ก็พุ่งเข้าโจมตี เจ้าตีลูกข้า เจ้าตีลูกชายข้า เจ้าตีสามีข้า

ซ่งหลี่เจิ้งตวัดไม้เท้าที่อยู่ในมือ เขาอดทนเก็บอาการปวดเอว ก่อนพุ่งไปชนร่างของฝ่ายตรงข้าม

“ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”

ซ่งฝูหลิง ในตอนนี้ก็รู้สึกว่านางก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วเช่นกัน

“ท่านพ่อ หลีกไป!”

เสียงตะโกนอันแสบแก้วหูของหญิงสาวดังขึ้น ซ่งฝูเซิงจึงรีบออกมาจากสนามรบ ซ่งฝูหลิงโยนขวดออกไป สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้น

ห่างจากพวกเขาไม่ไกลมากนัก ลู่พั่นเพิ่งพาขบวนกลับมา เขาได้ยินเสียง จึงรีบดึงบังเหียนที่คอม้า “มีดินปืน?”

เหมือนกับเป็นการยืนยันว่าเขาได้ยินไม่ผิด ซ่งฝูหลิงโยนระเบิดอีกขวดหนึ่งออกไป เกือบจะระเบิดโดนมือนาง ของเหลวข้างในไหลออกมาเป็นฟองก่อนจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง

มันทำให้โจรยี่สิบกว่าคนถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนโจรพี่น้องก็ตะโกนเอะอะโวยวาย พวกเขาไม่เคยพบเห็นสิ่งนี้มาก่อน

พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

พวกเขาเห็นท่านย่าหม่ากับซ่งฝูหลิง ต่างคนต่างถืออ่างน้ำวิ่งเข้ามาหาพวกเขา

ท่านย่าหม่าที่ถืออ่างน้ำร้องบอก “ข้าจะลวกเจ้าให้ตาย!”

น้ำต้มสุกที่กำลังร้อนราดลงไปตั้งแต่หัว

และตามด้วยน้ำเดือดอีกอ่างหนึ่งสาดไป แม้แต่อ่างก็ไม่สนใจแล้ว จึงลอยไปกระแทกโดนตัวด้วย

“อ๊าห์!” โจรสิบกว่าคนที่โดนลวกดิ้นอยู่กับพื้น ร่างกายมีเนื้อที่โดนลวกจนสุก

เสียงวิ่งอย่างพร้อมเพรียงเป็นระเบียบดังขึ้น ทหารทุกนายล้อมทุกคนไว้หมดแล้ว

ซ่งฝูเซิงคุกเข่าอยู่ข้างลูกสาว เขามองลูกสาวพร้อมกับคิดในใจ ลูกรัก นี่เจ้าทำอะไรลงไปเนี่ย ทำไมถึงมีระเบิดด้วย

ซ่งฝูหลิงคุกเข่าเอียงคอมอง ส่งสายตาให้พ่อของนาง ท่านพ่อ เคยบอกท่านไปแล้ว Cao+H2O มัน อืม ร้อน ร้อนเหมือนอุ่นข้าว ร้อนได้ไวมาก

เมื่อครู่นางกับท่านย่ากำลังจะโยนปูนขาวทิ้งอยู่พอดี เพราะคิดว่าใกล้จะเข้าเมืองแล้ว และคงไม่ได้ใช้มันเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารชื้นอีก อีกอย่าง อาหารก็ไม่มีแล้ว ยังต้องมาเข็นแบกมันอีกทำไมกัน โยนทิ้งไปเลยแบบนั้น จึงกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว