“อะไรนะ?”
เถ้าแก่ยังไม่ทันได้ออกเสียง เสี่ยวเอ้อร์ก็ไม่อยากทำแล้ว เขาถลึงตาใส่คนพวกนี้
ในโรงเตี๊ยมธรรมดาจะขายซาลาเปาลูกละห้าอีแปะ คนกลุ่มนี้มาก็ต่อรองราคา เถ้าแก่บอกสี่อีแปะ สี่อีแปะก็ไม่เอากัน เถ้าแก่ใจอ่อนถึงกัดฟันลดให้เหลือลูกละสามอีแปะ แต่ให้พวกเขาไปนึ่งกันเอง
พวกเขานึ่งอาหารแห้งขนาดเกือบเท่าปากชาม เสี่ยวเอ้อร์ต้องคอยดูพวกผู้หญิงสูงวัยไม่ให้นึ่งหมั่นโถวลูกใหญ่ เขาต้องวิ่งมาทำหน้าที่ที่ห้องโถงใหญ่และยังต้องวิ่งมาดูห้องครัวซึ่งทำให้เขาลำบากมาก
หลังจากนั้นคนกลุ่มนี้ก็ไม่แยกกันอยู่ แม้แต่ห้องเหรินจื้อก็ไม่พัก เหมาอยู่รวมกันในห้องรวม
สองร้อยกว่าคน สองร้อยหกคน พักแรมหนึ่งคืนจ่ายแค่เจ็ดเหวิน ในวันธรรมดา หากมีคนหนึ่งนอนหนึ่งเตียง จะสามารถเก็บเงินได้เกือบร้อยเหวิน สองร้อยกว่าคนอยู่รวมกันแออัดเช่นนี้ เวลาคนพวกนี้จากไป พวกเขาก็ต้องเปิดประตูเข้าไปจัดเก็บทำความสะอาดผ้าห่ม ที่นอนก็มีกลิ่นทำให้พวกเขาถึงกับสำลัก
นี่ยังไม่รวมที่คนพวกนี้ใช้กระทะต้มน้ำหลายรอบ
ยิ่งกว่านั้น คนพวกนี้เรื่องเยอะ ยืมเครื่องนอน ยืมเข็มกับด้าย และตอนกลางดึกยังตะโกนเรียกเขาเพื่อขอกระดาษกับปากกา นอกจากนี้ยังให้เขาถือตะเกียงส่องแสงสว่างให้
เรื่องพวกนั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว มันผ่านไปแล้ว มาพูดถึงเรื่องตอนนี้
ตอนนี้กี่โมงแล้ว? นึ่งหมั่นโถวให้คนเหล่านี้คนละลูก คนหนึ่งน้ำต้มสุกครึ่งถ้วย ต้องใช้เวลาในการนึ่งอยู่หลายรอบ แค่เวลาชั่วยามเดียวก็ไม่พอสำหรับการทำงาน
ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เสี่ยวเอ้อร์อยากจะไล่คนพวกนี้ออกไปจริงๆ
เสี่ยวเอ้อร์ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เขาออกแรงผลักเก้าอี้เข้าที่เดิม ทำให้คนในห้องโถงได้ยินเสียงลากเก้าอี้
ทุกคนเงียบในทันที อดทนกับความกระหายและหิวโหย พวกเขามองสีหน้าของเถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อร์ แม้แต่เด็กน้อยที่กำลังงัวเงียอยากจะร้องไห้งอแง ก็ต้องอดกลั้นไม่ให้ร้อง
เฮ้อ
ซ่งฝูเซิงเข้าใจดี อย่าว่าแต่ยุคโบราณเลย แม้แต่ในโรงแรมที่พักยุคปัจจุบัน เวลาล่วงเลยหลังเที่ยงคืนมาแล้ว ถ้าไม่ใช่มีร้านอาหารชั้นนำอยู่ด้วย พ่อครัวกับพนักงานก็ไม่อยากจะดูแลเพราะเป็นช่วงเวลาในการพักผ่อน
“เถ้าแก่ นี่? ท่านก็รู้ว่าพวกเรา…”
เถ้าแก่โบกมือตัดบท เขาสั่งเสี่ยวเอ้อร์ “ไปเรียกทุกคนลุกขึ้นมานึ่งอาหารแห้ง”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินไปยังห้องครัวที่อยู่ด้านหลัง เข้าไปตักน้ำใส่กาน้ำมาให้ทุกคนได้เทน้ำดื่มดับความกระหายกันก่อน
เถ้าแก่ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาแค่คิดว่าคนพวกนี้มีทั้งคนสูงวัยและเด็กต้องอพยพลี้ภัยกันมาอย่างยากลำบาก เฮ้อ ต้องมาประสบทั้งภัยธรรมชาติและภัยพิบัติที่เกิดจากมนุษย์
เมื่อดูสภาพของพวกเขาในตอนนี้ ถ้ามีทางเลือกอื่นคงไม่กลับมาพักที่โรงเตี๊ยมของเขาอีกรอบหนึ่ง นี่ทั้งวันคงไม่ได้ดื่มได้กินอะไร
“ซ่งถงเซิง พวกเจ้ามาจากไหนกัน?”
“เถ้าแก่ ท่านแซ่อะไร?” ซ่งฝูเซิงถามอย่างกะทันหัน
“ข้าแซ่ไป๋”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า จดจำคำพูดของเถ้าแก่ไป๋ไว้ในใจ “เถ้าแก่ไป๋ ท่านต้องการถั่วเมล็ดสนไหม?”
เถ้าแก่ไป๋นิ่งอึ้ง
ทุกคนถึงกับนิ่งงัน
เมื่อหมั่นโถวหม้อแรกนึ่งออกมาแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็มีสีหน้าตื่นตะลึง เขารีบวิ่งเข้าไปห้ามไม่ให้เถ้าแก่ไป๋ให้เงินกับซ่งฝูเซิง ไม่หากินทำกำไรกับคนพวกนี้ก็ใจดีมากแล้ว นี่ยังจะให้เงินฟรีๆ อีกหรือ? นี่ถูกคนหลอกหรืออย่างไร?
หลังจากเข้าใจเรื่องราวแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็ยิ่งมึนงงมากขึ้น เถ้าแก่ช่วยซื้อถั่วเมล็ดสนกับคนพวกนี้หนึ่งร้อยกิโล? เก็บไว้ในโรงเตี๊ยมเจ็ดสิบห้ากิโล ถั่วเมล็ดสนอีกยี่สิบห้ากิโล แบ่งให้คนในครอบครัวกิน
ซ่งฝูเซิงยังถามเสี่ยวเอ้อร์ “เจ้าจะซื้อไว้หน่อยไหม? ขายให้เจ้าราคาถูก ถั่วเมล็ดสนครึ่งกิโลราคาเจ็ดสิบเหวินให้คนในครอบครัวกิน เป็นของป่า มีอยู่ตามธรรมชาติ ข้าจะเพิ่มปริมาณให้เจ้าหน่อย”
เสี่ยวเอ้อร์พูดขึ้น “พวกเจ้าเดินผิดเส้นทางหรือ? ไปทางสุสานด้านหน้านั่นระยะทางสิบกว่าลี้?”
“อ๊าห์”
“พวกเจ้าไม่หลงทาง?”
“ทำไมถึงต้องหลงทาง?” ซ่งฝูเซิงถามกลับ ขากลับเขาให้ซ่งฝูหลิงเป็นคนนำทาง จะหลงทางได้อย่างไรกัน
นั่น ที่นั่น? หลายคนไปที่นั่นต่างก็หลงทาง ข้าราชการต้องออกมาสอบสวน เล่าลือกันว่าผีบังตา
เสี่ยวเอ้อร์กับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมมองหน้ากัน เถ้าแก่ก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม คนกลุ่มนี้ช่างโชคดีมาก ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ต้องดำรงชีวิตอยู่รอดด้วยตนเอง ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังต้องเอาตัวรอด ใครจะคิดถึงข้อห้ามอะไรกันอีก
คนกลุ่มนี้เดินผ่านสุสานกลับมา ถ้าเป็นพวกเขาก็คงไม่กล้าเดิน เพราะเหตุผลนี้เขาถึงซื้อถั่วเมล็ดสนมามากหน่อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...