ช่วงเวลาตีสาม ทุกคนเพิ่งกินอาหารมื้อนี้กันเสร็จ แต่ผลที่ตามมามีผลกระทบมาก
ทุกคนนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะ ดูเหมือนจะไม่เหนื่อยและไม่ง่วงนอน พวกเขาไม่อยากแยกย้ายกันไป
กัวคนที่สองชิมรสชาติอาหารที่อยู่ในปาก เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ากินจนปากชาแล้ว”
พี่ชายของเขาดุด้วยน้ำเสียงหัวเราะ “คิดซะสวยหรู ปากยังจะชา พวกเราไม่ค่อยได้กินเกลือมานานเกือบครึ่งเดือนแล้ว กินอาหารแค่มื้อเดียวก็จะปากชาแล้ว?”
ชายหลายคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็หัวเราะ กินจนอิ่มต้องลุกขึ้นยืน นั่งไม่ค่อยได้
ท่านยายหวังถามท่านย่าหม่า “เห็ดนั้นทำไมถึงมีรสชาติหอมอย่างนี้นะ รสชาติเหมือนกับเนื้อ ข้ากินไปมากกว่าเนื้อเสียอีก”
ท่านย่าหม่ารู้สึกว่านางกับท่านยายหวังไม่น่าจะคุยหัวข้อนี้กันได้เพราะนางกินน่องไก่ที่ลูกสามให้มา “จริงหรือ? ข้ากินเนื้อ บอกว่าไม่กิน ลูกสามของข้าก็บังคับให้ข้ากินจนได้”
ท่านยายกัวพูดกับท่านยายหวัง “เจ้าใช้ตะเกียบคีบเร็วมาก ข้ายังไม่ได้กินเห็ดสักชิ้น ดื่มแต่น้ำซุป น้ำซุปก็อร่อย เจ้าไม่ได้กินช่างน่าเสียดาย”
ส่วนเกาถูฮู่เป็นคนพูดตรง เมื่อเขากับลูกชายคนที่สองออกไปเข้าห้องน้ำ เขาก็ตบหน้าท้องแล้วผายลมพร้อมกับพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “ท้องไม่มีอาหาร ตดไม่มีกลิ่น เจ้าลองดมดูสิ นี่ถึงเรียกว่าตด เพราะมันมีกลิ่นเหม็น”
เกาเถี่ยโถวมองพ่อของเขาอย่างตกตะลึง
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มพูดก่อน บอกว่า กินอิ่มแล้วนอนไม่หลับ ต้องให้ซ่งฝูเซิงจัดประชุมพูดคุยออกมากันสักหน่อย
ซ่งฝูเซิงหัวเราะ แต่ละคนเพิ่งกินกันไปไม่เยอะ ขนมปังปิ้งแค่กินเพียงสามชิ้นก็นอนไม่หลับแล้วหรือ? ถ้าปล่อยให้คนหนึ่งกินไก่ทั้งตัวก็คงไม่มีชีวิตรอดแล้วละสิ
เขาเข้าใจดีว่าทุกคนกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ตื่นเต้นเกินไป
แต่ละคนไม่มีการศึกษา ไม่รู้จะแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกนี้อย่างไร กินอิ่มก็รู้สึกว่าร่างกายมีเรี่ยวแรงแต่ก็ไม่สามารถออกไปทำงานได้ และตอนนี้ก็รู้สึกมีความหวังในการใช้ชีวิตขึ้นมาบ้าง แต่ไม่รู้จะแสดงออกมาอย่างไร ต้องการยืมคำพูดจากปากของเขาให้พูดแทน
“ได้ ข้าจะพูดประโยคง่ายๆ ให้กับทุกคนฟัง เมื่อพูดจบแล้วก็พากันเข้านอนซะ อย่าตื่นเต้นจนเกินไป”
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังจะปรบมือ ซ่งฝูเซิงก็รีบโบกมือห้าม ช่วงเวลากลางดึกแล้วต้องวางตัวให้ดีหน่อย ไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น
“อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องพูดคุยทั่วไป…
…ลองคิดดู พวกเราเลี้ยงลูกมีเป้าหมายเพื่ออะไร? เพื่อหวังว่าต่อไปเขาจะเป็นเหมือนเช่นวันนี้…
…ช่วงเทศกาลปีใหม่ก็ไม่เคยอบอุ่นใจเช่นนี้มาก่อน…
…หวังว่าต่อไปพวกเขาจะเป็นห่วงพ่อแม่ว่ามีเสื้อผ้าดีๆ ใส่หรือไม่ เมื่อมีเงินเหลือพอซื้อให้กับตนเองก็ซื้อให้พ่อกับแม่ด้วย…
…เมื่อลูกๆ ได้กินดี ในใจยังคอยเป็นห่วงพ่อแม่ที่ยังไม่ได้กิน นำอาหารมาส่งให้พ่อแม่บ้าง…
…นี่เรียกว่า ในใจยังมีพวกเรา นี่เป็นความหวังหนึ่งของพวกเรา…
…เมื่อพูดถึงเรื่องของวันนี้ พรุ่งนี้เมื่อเห็นเด็กๆ ห้ามตบตี ห้ามดุด่าว่ากล่าว จำได้หรือยัง? อย่าทำร้ายความกตัญญูที่ลูกมีให้”
เมื่อทุกคนฟังจบก็พยักหน้ารับคำ
หวังจงอวี้พูดขึ้น “พี่สาม ท่านวางใจได้ นี่จะตีไปทำไม พวกเราก็กินกันหมดแล้ว มันจะไม่สมเหตุสมผล”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า “ใช่ นั่นคือสิ่งที่ข้าหมายถึง ไม่สมเหตุสมผล เจ้าตีเขาก็ไม่ยอมรับ ถ้าทุกคนเสียดายเงิน ฟังคำข้าไว้ จดจำเรื่องนี้ไว้ หากครั้งต่อไปยังกล้าตัดสินใจครั้งใหญ่เองเช่นนี้ พวกเจ้าก็อาศัยเหตุผลนี้ตีเขาสองทีให้แรงหน่อย”
พวกผู้หญิงช่วยกันเก็บจานชามล้างทำความสะอาดชาม เมื่อกลับเข้ามาก็ได้ยินคำพูดประโยคนี้พอดี พวกนางก็อดยิ้มไม่ได้
ก่อนซ่งฝูเซิงกลับเข้าห้องก็ถามเถ้าแก่ไป๋ “ทำไมท่านยังไม่นอนอีกหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...