ในขณะเดียวกัน
ซ่งฝูเซิงไม่ได้แค่พูดคุยเล่นกับพ่อค้าเท่านั้น แต่ทั้งสองยิ่งพูดคุยกันก็ยิ่งคุยกันถูกคอและพูดถึงเนื้อหาที่ลึกซึ้งเข้าไปอีก
ตอนแรกที่ทั้งสองเริ่มพูดคุยกันเป็นเพราะซ่งฝูหลิงถามพ่อของนางก่อนหน้านั้นว่าเพราะเหตุใด
สาเหตุมาจากสองคนพอลูกนี้พูดคุยกัน ทำให้พ่อค้าร้านแผงข้างๆ ได้ยินเข้า
พูดถึงอะไรกันนะ
ซ่งฝูหลิงกังวลเรื่องที่ต้องซื้อผักกาดขาว นางกระซิบบอกกับท่านพ่อว่า “ท่านอย่ามัวแต่ขายของเพียงอย่างเดียว ยังต้องกลับไปตลาดสดฝั่งนั้นอีก ไม่รู้ว่ามีผักกาดขาวขายหรือไม่”
ซ่งฝูเซิงตอบยืนยัน “มีขายอยู่ ได้ยินหลายคนตะโกนขายไป๋ซง”
ไป๋ซงคือผักกาดขาวหรือ?
ใช่แล้ว…มันเป็นชื่อเรียกของผักกาดขาวอีกชื่อหนึ่ง
ซ่งฝูเซิงก็บอกกับลูกสาวว่า “ขุดท่าตี้ซงที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ รสชาติหวานเหมือนรากบัวเชื่อมและมีรสชาติดียิ่งกว่า ท่าตี้ซง ไป๋ซง ผักกาดขาว”
พวกเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินก็มีความรู้สึกเดียวกันกับซ่งฝูหลิง โอ้แม่เจ้า ดูช่างมีการศึกษามากเลย
เดิมทีซ่งฝูหลิงอยากจะหยอกล้อท่านพ่อ นางอยากบอกพ่อของนาง ทำไมหรือ? จิตวิญญาณไม่สามารถควบคุมความรู้ของตนเองได้? ช่างมีคารมคมคาย
นางยังไม่ทันได้พูดหยอกล้อก็พบว่าท่านลุงที่อยู่แผงลอยข้างๆ กำลังยิ้มให้กับพวกเขา นางจึงเดินไปด้านหน้าแผงลอยเพื่อทำหน้าที่เป็นแมวนำโชคต่อไป ไม่กล้าพูดจาส่งเดช
เพราะเหตุนี้ ซ่งฝูเซิงกับพ่อค้าจึงมีหัวข้อคุยกัน
พ่อค้าขายหนังสัตว์ถูกบัณฑิตท่านหนึ่งซึ่งผ่านการสอบได้เป็นถงเซิงพูดชื่นชม “พี่ชาย ดูท่านขึ้นเหนือล่องใต้แล้ว มีประสบการณ์และความรู้อันหลากหลาย” เขาถูกเยินยอจนรู้สึกเหมือนตัวเบา
นอกจากนี้เขายังรู้สึกถูกชะตากับซ่งฝูเซิง สิ่งสำคัญคือ ซ่งฝูเซิงเป็นบัณฑิต แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความไม่สบายใจ ไม่เหมือนกับบัณทิตบางคน โอ้ แค่เห็นพวกเขาก็ปวดฟันแล้ว ใช้ชีวิตอย่างลำบาก ดูไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย
มองดูซ่งฝูเซิงคนนี้ไม่เหมือนกับบัณฑิตอื่นที่เขาพบเจอทั่วไป
พ่อค้าหนังสัตว์ท่านนี้คงไม่รู้ว่าในยุคปัจจุบันมีคำหนึ่งเรียกสิ่งนี้ว่า “ความสง่ามีราศี”
ซ่งฝูเซิงอยู่ในยุคปัจจุบันก็เป็นคนค้าขาย “ความสง่ามีราศี” มันเผยออกมาให้เห็นเป็นธรรมชาติ และการพูดจาทำให้คนรู้สึกว่า พูดคุยตรงไปตรงมา
พ่อค้าหนังสัตว์ยังชมต่อ “พวกเจ้าค้าขายดีจริง ข้าขายเครื่องหนังยังเทียบไม่ได้เลย…
…เพราะบางคนที่มาซื้อ พวกเขามาดูเครื่องหนังต้องอาศัยจังหวะดีๆ ช่วงดีก็ตอนที่พวกข้ารับสินค้าดีมา พวกเขาก็จะซื้อไป ถ้าคุณภาพของสีหนังไม่ดีมาก พวกเขาก็ไม่กล้าซื้อไปเพราะกลัวว่าเจ้านายจะไม่พอใจ แต่ถั่วเมล็ดสนของพวกเจ้าเป็นถั่วคั่วของกินเล่น พวกเขาสามารถตัดสินใจเองได้ จะซื้ออย่างไรก็ไม่เป็นไร เจ้านายกินแล้วรู้สึกรสชาติถูกปาก อาจจะได้รับคำชมอีกด้วย”
เขายังกระซิบบอกกับซ่งฝูเซิง “เจ้าดูพวกเขาสิ พวกเขาขอลดราคาบอกว่าขายแพง สักพักพอกลับไปก็บอกราคาถั่วเมล็ดสนอย่างน้อยก็เพิ่มราคาไปอีกหนึ่งถึงสองเหรียญ”
ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ “บอกตามตรง ราคาหนึ่งร้อยเหวิน ข้ากินของที่ตนเองสอยมาก็ยังรู้สึกว่าราคาแพงเลย เจ้าของจวนพวกนั้นคงมีเงินเยอะมากถึงทำให้คนออกมาซื้อหลอกเพิ่มราคาเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบเหวินต่อครึ่งกิโล คนเรานี่เปรียบเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ”
พ่อค้าขายเครื่องหนังพูดขึ้น “เชอะ อย่างนี้ไม่เรียกว่าคนร่ำรวย บ้านเศรษฐีจริงๆ พ่อบ้านกับคนมีหน้าที่ซื้อจะมาตลาดที่พวกเราอยู่แห่งนี้หรือ? พูดเป็นเล่นไป คนพวกนั้นจะมีบ้านสวนส่งของไปให้ถึงจวน มีตั้งแต่แตงผลไม้ไปจนถึงเนื้อสัตว์ พวกเขาจะใส่เครื่องหนังที่ข้าขายนี้ด้วยหรือ? พวกนี้มักมีคนนำของไปบรรณาการให้เป็นพิเศษ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้าคิดว่าแม้แต่เงินทองของมีค่าก็ต้องมีคนนำไปบรรณาการให้เช่นกัน”
ฉะนั้นคนที่มาซื้อของที่นี่ ควรจะเปรียบเทียบว่าอย่างไรดีนะ?
ซ่งฝูเซิงเข้าใจในทันที
คงเปรียบเสมือนน้ำไม่ถึงครึ่งขวดได้แต่แกว่งไป-มากระมัง
ยกตัวอย่างคงจะเหมือนกับบ้านของเขาในยุคปัจจุบัน
ลูกสาวของเขาเป็นคนละเอียดอ่อน ชอบใช้เงินซื้อ น้ำต้องดื่มน้ำแร่ ครีมทาหน้าก็ต้องยี่ห้อลังโคม ยี่ห้อเอสเต้ ลอเดอร์ หลังจากนั้นนางก็พัฒนาไปอีกขั้นมาใช้ยี่ห้อลาแมร์ ทุกด้านก็ต้องเลือกสรรอย่างดี สรุปแล้วเขาหาเงินมาได้ไม่ง่ายเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...