กัวปาทั้งหมดใช้กระทะใบใหญ่หุง หลังจากหุงข้าวเสร็จก็ตักข้าวทั้งหมดออกมา ข้าวที่เหลือติดก้นกระทะแน่นจะต้องใช้เกรียงค่อยๆ เลาะออกมา มันจะออกมาเป็นแผ่นเกรียมๆ เรียกว่า กัวปา
หม้อหุงข้าวในยุคปัจจุบันข้าวไม่ติดก้นหม้อแล้ว เมื่อหุงข้าวจึงไม่เหลือกัวปา ถึงอยากทำกัวปาก็ทำไม่ได้
ในความทรงจำของซ่งฝูหลิง กัวปากับเนื้อแผ่นกลิ่นหอมๆ ก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว
ตอนนั้นพ่อของนางเป็นเชฟอยู่หลายปี เขาตั้งใจทำกัวปาและตอนนางยังเป็นเด็กอยู่บ้านหลังเล็ก ก็ใช้กระทะใหญ่ทำกัวปา
แต่ในตอนหลังมีโอกาสได้กินน้อยลง
นางหวนรำลึกถึงอดีต นางไม่สนใจท่านย่าหม่าที่ถลึงตาใส่ ตอนนี้นางหยิบมันกินไปแล้ว
เฉียนหมี่โซ่วเห็นพี่สาวกินกัวปาเขาก็อยากกินด้วย
ในความรู้สึกของเด็กน้อย รู้สึกว่าพี่สาวฉลาดที่สุดแล้ว สิ่งที่นางกินจะต้องอร่อยที่สุดแน่อีกอย่างเขาก็ไม่เคยกินกัวปา
ที่ผ่านมาเขามีคนคอยป้อนอาหารให้กินทุกมื้อ เขาเป็นคุณชายน้อยในตระกูลที่มีฐานะ หลายเดือนที่ผ่านมานี้เขาต้องทนลำบากมาไม่น้อย
เฉียนหมี่โซ่วก็ไม่ได้อยากกินข้าวสวย เขากลับสนใจกัวปาเพราะไม่เคยกินมาก่อน
เฉียนเพ่ยอิงเหลือบตามองพวกเขาแล้วก็ไม่ได้สนใจเด็กทั้งสองอีก เพียงแต่ให้ซ่งฝูหลิงช่วยดูแลหมี่โซ่ว อย่าให้กินเยอะเกินไป เขายังเป็นเด็ก กลัวว่าอาหารจะไม่ย่อย ความหมายคือกินแค่คำสองคำก็พอ แล้วเปลี่ยนมากินข้าวสวยแทนเถอะ
ซ่งฝูเซิงตักข้าวของตัวเอง เขาก็ไม่ได้สนใจเด็กทั้งสอง เขาราดน้ำซุปผักกาดขาวลงบนข้าวสวย เขาหาที่นั่งบนก้อนหินใหญ่ กินข้าวและฟังท่านลุงซ่งกับเกาถูฮู่รายงานเรื่องบัญชีกับเขา
เมื่อคนเป็นพ่อแม่ไม่สนใจ แต่คนอื่นเห็นซ่งฝูหลิงกินแบบนั้นก็รู้สึกรับไม่ได้
พวกเขาคิดว่าเด็กจะรู้เรื่องแล้ว
จะปล่อยให้ลูกสาวคนเดียวของซ่งฝูเซิงกินแบบนั้นได้อย่างไร มันไม่สมควร
ไม่มีซ่งฝูเซิงก็คงจะไม่มีพวกเขาในวันนี้ ใครจะอดกินข้าวมื้อหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่จะให้ลูกสาวของซ่งฝูเซิงอดข้าวไม่ได้
ซ่งฝูหลิงกลับคิดว่ากัวปานั้นอร่อยจนหยุดกินไม่ได้ นางหัวเราะพร้อมกับปฏิเสธ “ท่านยายหวัง ข้าไม่เอา ข้าอยากกินสิ่งนี้จริงๆ”
“ท่านย่าใหญ่ ข้าไม่เอาจริงๆ ท่านรีบกินเถอะ”
“ท่านลุงกัว ไม่เอา ข้าไม่เอาจริงๆ…”
ใครมาตักข้าวก็จะพยายามเอาข้าวสวยของตนเองมาให้พั่งยา พั่งยาทำไรไม่ได้ นางจึง ออกมาจากห้องครัวที่อบอุ่น และพาหมี่โซ่วนั่งกินกัวปาตรงมุมกำแพงด้านนอก
ทุกคนไม่เข้าใจเป็นอย่างมากและไม่มีทางเข้าใจได้
นั่นยิ่งทำให้ท่านย่าหม่าโกรธมาก นางมองค้อนซ่งฝูหลิง นางรู้สึกเสียเปรียบ คนอื่นต่างกินข้าวสวย แต่ทำไมหลานสาวคนเล็กของตนเองต้องกินกัวปา หลานสาวกลับเต็มใจที่จะเสียเปรียบ เจ้าลองพูดมาสิ? อย่างนี้เรียกว่าคนโง่ไหม
ท่านย่าหม่าโมโหจนพูดตำหนิพั่งยา “เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข กลับไม่รับรู้ถึงความสุขว่าเป็นเยี่ยงไร เจ้าลองฟังทุกคนพูดสิ”
ซ่งฝูหลิงยิ้มให้ท่านย่าอย่างอารมณ์ดี “อืม”
ท่านย่าหม่า “…”
ซ่งฝูกุ้ยตักข้าวสวยใส่ถ้วยไม้จนพูน เขานั่งลงบนกระดานไม้ที่ผุพัง ยังไม่ทันขยับตะเกียบก็ถามขึ้นมาก่อน “ข้าวสวยมีรสชาติอย่างไร”
“ฝูกุ้ยไม่เคยกิน? มื้อเดียวก็ไม่เคยกิน?”
ซ่งฝูกุ้ยบอกว่าไม่เคยกิน ตระกูลของเขาทั้งแปดชั่วอายุคนต่างก็มีฐานะยากจนกันหมด จนรู้สึกแปลกใจ ครอบครัวของเขาไม่มีรุ่นไหนที่จะสามารถพลิกชีวิตขึ้นมาใหม่ได้…
…ถ้าเป็นครอบครัวอื่นอาจจะมีบางรุ่นที่มีคนมีอนาคตไกล แต่ครอบครัวของเขากลับไม่มี…
…ดังนั้นที่ดินของบรรพบุรุษทั้งแปดรุ่นที่ทิ้งไว้ให้ เมื่อมาถึงรุ่นเขาก็ยังคงมีที่ดินเท่าเดิม ลูกหลานก็มากมาย ไม่ใช่พวกเขาไม่ตั้งใจทำงาน แต่ถึงจะทำงานอย่างไร ก็ไม่พอกิน จะสามารถกินข้าวสวยได้อย่างไร ตั้งแต่เล็กจนโตยังไม่เคยกินเลยสักครั้ง
เขาพูดเสร็จก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะตักข้าวสวยกิน ทันใดนั้นสายตาเขาก็เปร่งประกาย “โอ้ว…แม่เจ้า…หอมมากเลย” เขารีบเรียกลูกชายคนเล็กของเขา “เนียนปามานี่สิ พ่อจะแบ่งข้าวสวยให้เจ้า”
เกาถูฮู่รีบเข้าไปห้าม “เจ้ากินของเจ้าเถิด ในหม้อยังมีอีกเยอะ พอกิน อีกอย่างเสี่ยวเนียนปาก็เคยกินแล้ว อาศัยพั่งยาถึงได้กิน เจ้ากินของเจ้าไปเถอะ อย่าลืมจดจำรสชาติว่าเป็นอย่างไร”
ทำให้ทุกคนหัวเราะกันอย่างครื้นเครงขึ้นมา
หลังจากเสียงหัวเราะหยุดลง ไม่เพียงแค่ซ่งฝูกุ้ยถอนหายใจ ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้กินข้าวสวยมาหลายปีแล้ว
ซ่งฝูหลิงได้ยิน นางก็หยุดแทะกัวปาทันที
ในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องปกติ ยามอากาศร้อน ข้าวที่หุงไว้เกิดบูดเน่าขึ้นมาก็ต้องเททิ้ง แต่ที่นี่กลับเป็นความทรงจำที่มีค่าของคนอีกหลายคน
หญิงแต่งงานแล้วหลายคนบอกว่า “ตอนเด็กป่วยเคยกินข้าวต้มแค่ครั้งสองครั้ง ไม่เคยกินข้าวสวยมาก่อน เพราะพ่อแม่ต้องเก็บไว้ให้น้องชายกับพี่ชาย ช่วงปีใหม่ก็หุงข้าวสวยให้เด็ก ผู้ชายกินเท่านั้น”
มีชายหลายคนออกความคิดเห็น “ตอนเป็นเด็กเคยกินสองถึงสามครั้งตอนปีใหม่ แต่ข้าวก็ไม่ได้ดีแบบนี้ ข้าวที่หุงออกมาไม่ได้เป็นเม็ดๆ แต่เป็นเศษข้าวที่หัก”
พวกท่านยายที่สูงวัยทั้งหลายก็รีบตอบกลับ “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าวสารดีๆ ก็ต้องนำออก ไปขาย”
พวกผู้ชายต่างหัวเราะและหันไปมองลูกของตนเองพลางพูดขึ้น “ตอนเป็นเด็กใช้ชีวิตดีที่สุด ตอนเป็นเด็กพวกเขายังสามารถกินข้าวสวยได้หลายครั้ง พอโตขึ้นมาหน่อย โดยเฉพาะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็ต้องเก็บไว้ให้ลูกตัวเองได้กิน”
พวกหูจือ ต้าหลังได้ยินคำพูดนี้ก็พูดออกมาตามตรง “ใช่ ท่านพ่อออกไปทำงานก็นำเงินไปแลกเป็นข้าวกลับมาให้พวกเรากิน ท่านพ่อก็ไม่ได้กิน”
แต่ละรุ่นก็หมุนเวียนกันไปแบบนี้
บางทีพวกหูจือกับต้าหลังแต่งงานแล้ว ก็อาจจะไม่ได้กินข้าวสวยอีก ต้องเก็บไว้ให้ลูกของตนเอง
ไม่สิ พวกหูจือกับต้าหลังทำไมจะกินข้าวสวยไม่ได้ เพราะชะตาชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้พวกเขามีลุงสามปรากฏตัวเข้ามาในชีวิต
ซ่งฝูเซิงหัวเราะและพูดขึ้น “ต่อไปพวกเราจะต้องขยันทำงานเพื่อจะได้กินข้าวสวยอย่างนี้ทุกมื้อ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...