บริเวณนี้มีห้องหลังคามุงจากที่ใหญ่ที่สุด ไม่ได้แบ่งให้ครอบครัวซ่งฝูเซิง ไม่ได้แบ่งให้บ้านที่มีคนจำนวนเยอะที่สุด และไม่ได้แบ่งให้ผู้สูงอายุซ่งหลี่เจิ้ง
เป็นไปตามที่วางแผนไว้ก่อนหน้า บริเวณโรงอาหารทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง เป็นห้องของส่วนกลาง
ตอนนี้มีบางส่วนของห้องยังมีลมพัดเข้ามาได้ เพราะว่างานของซ่งสี่ฟาทำไม่ทัน จึงใช้พื้นที่ทางด้านหน้าสุดที่มี “เวที” และตรงนั้นมีเก้าอี้ยาวหนึ่งตัว มีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ อีกหนึ่งตัว
ในห้องเป็นห้องเปล่า แม้กระทั่งเตาก็พังลงมา พวกเขาใช้อิฐของเตาที่พังลงและอิฐดินที่ทำขึ้นกันเอง โดยวัดพื้นที่จากตรงกลางของห้อง ทำเตาขึ้นมาสี่เตา ข้อที่หนึ่งเพื่อให้ความอบอุ่น ข้อที่สอง ไว้สำหรับทุกคนทำกับข้าวหม้อใหญ่ แต่ในห้องไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้ว
ซ่งฝูเซิงมองไปรอบๆ แล้วพูดกับท่านลุงซ่งว่า “ท่านลุง ต้องซื้อหม้อ วันนี้เราไปซื้อหม้อกันเถอะ”
ท่านลุงซ่งอยากประหยัดเงิน จึงบอกว่า “ไม่ต้องก็ได้ ถึงแม้จะเคยบอกว่าพวกเราจะแบ่งกันทำกับข้าวทุกบ้าน ให้ทุกคนเอาหม้อของตัวเองมา แต่ตอนที่พวกเราทำกับข้าวส่วนกลาง ก็ไม่ได้ไปทำที่บ้านตัวเองหรือเปล่า ยังจะต้องเพิ่มหม้ออีกหรือ เจ้าว่าไหม”
ซ่งฝูเซิงบอกว่า “แต่ทุกบ้านจะต้องต้มน้ำและต้องทำอย่างอื่น คงไม่สะดวกเอามันมาใช้ส่วนกลาง อย่าเสียเวลาเลย ถ้าปล่อยให้เวลานานกว่านี้ จะเกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ ท่านลองคิดดู ใครจะทำกับข้าววันละสองครั้ง คงลำบากน่าดู ตอนนี้ยังมีเงินเหลือ ถ้าทำได้ก็รีบทำ ยังไงก็ต้องซื้ออยู่ดีW
“ตกลง”
หวังจงอวี้ได้ยิน จึงรีบเดินเข้ามาทักทายท่านลุง “ถ้าจะให้คนไปซื้อหม้อ ซื้อมาให้บ้านข้าด้วยหนึ่งใบนะ นี่ๆ เงินซื้อหม้อ”
ท่านยายหวังตะโกนขึ้น “ท่านลุงอย่าซื้อมาแค่ใบเดียว ต้องซื้อมาสองใบ”
“ท่านแม่ บ้านพวกเราไม่มีเงินแล้ว”
ท่านยายหวังคิดได้ นางถอนหายใจยาว ไม่มีก็ไม่มี พี่ชายเจ้าทำงานกับซ่งฝูเซิง มีเงินค่อยซื้อเพิ่มแล้วกัน
ที่บ้านไม่มีหม้อได้อย่างไร ที่บ้านของนางเคยมีหม้อเหล็กขนาดใหญ่นี่นา เมื่อตอนที่เดินผ่าน “หมู่บ้านผีสิง” พวกเอาฝาหม้อไปครอบบนหัวคนตาย คงโยนทิ้งไปแล้ว
เมื่อคืนท่านยายหวังอิจฉาเจียนบ้า เห็นเพื่อนบ้านของเธอทั้งหมดกำลังต้มน้ำอาบและสระผม แต่ครอบครัวของนางต้องต้มน้ำด้วยหม้อดินเผาใบเล็กๆ เวลาต้มนานเกินไป หม้อแตกเป็นรอย ทำให้ขี้เถ้าและน้ำหมักน้ำข้าวที่เก็บไว้ไม่ได้ใช้เลย ทุกคนแค่ปีนขึ้นไปนอน คนในครอบครัวไม่มีใครได้อาบน้ำเลย
ปกติก็ไม่ได้อาบน้ำอยู่แล้ว วันนี้ไม่ได้อาบอีกคงไม่เป็นไร เมื่อวานตอนกลางคืนทุกคนอาบกันแล้ว แต่บ้านของนางไม่ได้อาบ ความรู้สึกเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ช่างต่างกันไม่น้อย
ตอนนี้ซ่งฝูเซิงกับท่านลุงซ่งนั่งบนโต๊ะ กำลังกำลังประชุมหารือกัน
ท่านลุงซ่งตะโกนบอกว่าให้ทุกคนเงียบ คนทั้งหมดในโรงอาหารที่กำลังยืนบ้าง นั่งบ้าง ต่างเงียบเสียงลง
ท่านลุงซ่งบอกว่า “ต่อไปนี้ พวกเรามาเริ่มประชุมกัน…
…วันนี้ที่มาประชุม จะพูดเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ของพวกเจ้า พวกเจ้าจงใช้หูฟังอย่างตั้งใจ ไม่อนุญาตให้ฟังจากความคิดของตนเอง มีสมองแต่สมองไม่ใช้งาน จะพูดยังไงก็คงไม่เข้าใจ และไม่ต้องรีบถามคนข้างๆ ต่อไปมีอะไรไม่เข้าใจ ให้เดินเข้ามาถามด้วยตัวเอง”
วันนี้มีเรื่องต้องคุยเยอะ อย่าให้ท่านลุงพูดเรื่องไร้สาระ ต้องเป็นไปตามหัวข้อประชุม
และอย่ารบกวนความคิดของฝูเซิง
ท่านลุงพูดคำเกริ่นนำไปแล้ว จึงนำเงินที่เก็บไว้ในถุงมาวางไว้บนโต๊ะ การกระทำอย่างนี้ของท่านลุง ดีกว่าคำพูดเยอะ ทุกคนจ้องไปที่เงินบนโต๊ะทันที
เขาส่งให้ซ่งฝูเซิงจัดการต่อ
ซ่งฝูเซิงหยิบเงินขึ้นมา แล้วเริ่มพูด
“เรื่องแบ่งเงินสำหรับค่าแรง อะไรคือการแบ่งเงินค่าแรง”
สมมุติว่าพวกเราออกไปช่วยกันขายถั่วเมล็ดสนอย่างขะมักเขม้น ผลผลิตที่ได้ เมื่อเอาไปขายได้เงินมาหนึ่งร้อยตำลึง
ทุกครั้งที่พวกเราทำงานได้เงิน จะต้องเก็บเงินเข้าไปไว้ในกองกลางสิบตำลึง
ทำไมจะต้องเก็บเงินไว้ส่วนนี้ ยกตัวอย่างเหมือนเมื่อครู่ ครัวของพวกเราไม่มีหม้อขนาดใหญ่จะทำกับข้าว พอถึงฤดูใบไม้ผลิ พวกเราคงต้องนั่งมองห้องนี้เฉยๆ ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเราจะต้องสร้างใหม่ ต้องเอาเงินไปซื้ออิฐ ต้องเอาเงินไปทำบ่อน้ำ เป็นต้น ทุกอย่างที่ทุกคนต้องใช้ร่วมกันจะไม่เป็นของบ้านใดบ้านหนึ่ง เช่นนี้จะเรียกว่าเป็นสิ่งก่อสร้างพื้นฐาน
ดังนั้น สมมุติว่าพวกเราเก็บเงินเป็นค่าโครงสร้างพื้นฐานสิบตำลึง พวกเราก็ต้องเอาไปใช้ ซ่งฝูเซิงนำเงินสิบตำลึงออกมาวางไว้ข้างนอก ทุกคนข้างในก็เคลื่อนไหวตาม มองไปที่เงิน
สิบตำลึง
“ทุกคนเห็นแล้วหรือไม่ ตอนนี้พวกเราเหลือเงินเก้าสิบตำลึง เงินส่วนนี้เป็นของทุกคน”
จะต้องแบ่งตามลักษณะงาน จะแบ่งยังไงนะหรือ ซ่งฝูเซิงใช้วิธีการนับแบบโบราณ เป็นวิธีที่นิ้วจังกุ้ยใช้บ่อย จะอธิบายกับทุกคนหนึ่งรอบ
ความจริงแล้ว ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ จะใช้วิธีนับแบบปัจจุบันก็คือ ต้องเอาเงินที่ทุกคนได้รับในเวลาหนึ่งเดือนมารวมกันแล้วหารด้วยเก้าสิบตำลึง ให้นับเงินค่าแรงว่ามีเท่าไรก่อน หลังจากนั้นให้นำเงินส่วนนี้ เอาไปคูณกับจำนวนคะแนนที่ทุกคนทำงานในแต่ละเดือน จะได้ตัวเลขสุดท้ายนั่นคือเงินค่าแรงต่อเดือน
หลังจากนั้น ซ่งฝูเซิงเริ่มพูดหัวข้อสำคัญ เขาบอกว่า “ทุกคนได้รับเงินค่าแรงงานไม่เหมือนกัน คนไหนทำงานได้ ไม่ได้ จะรับเงินเท่ากับซื่อจ้วงหรือไม่ และก็ไม่สามารถที่จะให้แรงงานผู้หญิงกับแรงงานผู้ชายแบ่งเท่ากันใช่หรือไม่ ดังนั้นเดือนนี้ ทุกคนทำงานทุกวัน แบ่งตามหน้าที่ มีเขากับท่านลุงซ่งสองคนช่วยกันอธิบายและควบคุม…
…นับตั้งแต่อพยพมา เขาสองคนจะคอยดูการแสดงออกของทุกคนระหว่างทาง ระหว่างไปเก็บถั่วเมล็ดสน สุดท้ายเมื่อเห็นการแสดงออกของทุกคนแล้ว ก็จะให้คะแนนตามปฏิบัติงาน…
…คะแนนเต็มสิบถือว่าได้เงินเดือนสูงสุด ท่านลุงซ่งทุกวันจะได้สิบคะแนน ทุกคนมีข้อคิดเห็นอะไรไหม”
ทุกคนในนี้ นอกจากไม่มีข้อคิดเห็น และยังบอกว่า “ฝูเซิงเจ้าก็ต้องได้สิบคะแนน”
แม้แต่ท่านลุงซ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังสนับสนุน “ใช่แล้ว ข้าช่วยคุยกับเจ้า เจ้าก็ไม่ฟัง ทำไมต้องสิบคะแนนเต็ม ฝูเซิงคะแนนเจ้าต้องสูงกว่าข้า ข้าทำอะไรบ้าง ข้าแทบไม่ได้ทำอะไร แต่เจ้าทำตั้งเยอะแล้ว”
ซ่งฝูเซิงพยายามให้ทุกคนอยู่ในหัวข้อประชุม เขาบอกว่านี่คือเงินเดือน ถ้าใครที่ได้คะแนนเยอะ เงินเดือนในแต่ละเดือนก็จะเยอะตาม เขาได้คะแนนเต็มสิบก็พอแล้ว คะแนนเต็มสิบถือว่ามากที่สุด และยังพูดถึงคนอื่นที่ทำงานดีอีกหลายคน
หลังจากนั้น เขายังเสนอชื่อคนที่ทำงานดีอีกหลายคนขึ้นมา
ซื่อจ้วงได้แปดคะแนน ทุกคนมีข้อคิดเห็นอะไรไหม
ทุกคนไม่มีข้อคิดเห็น
ทุกคนไม่ได้ตาบอด ตอนที่ทุกคนอพยพมา ซื่อจ้วงมีกำลังวังชาเยอะมาก ตอนที่ใช้ไม้สอยถั่วเมล็ดสน ไม่มีเขาคงทำไม่ได้ ขึ้นไปบนภูเขาตัดต้นไม้ ใครก็แบกลงมาไม่ได้มากเท่าซื่อจ้วง
แต่ซื่อจ้วงกลับมองที่ซ่งฝูเซิง ในใจคิดว่า “เมื่อได้เงินแล้ว เราต้องเอาคืนให้ท่านลุง” เขาคิดว่าจะไปทำงานภูเขาที่ขาดน้ำ ผลสุดท้ายภูเขาลูกนั้นกลับถูกแม่ทัพเล็กล้อมไว้ก่อนแล้ว
ซ่งฝูเซิงพูดถึงซ่งฝูสี่ ว่าต้องได้แปดคะแนน ทุกคนมีข้อคิดเห็นอะไรหรือไม่
ทุกคนไม่มีข้อคิดเห็น ซ่งฝูสี่ทำงานเหนื่อยแทบตาย เขาเป็นช่าง สมควรที่จะได้คะแนนนั่น
หนิวจั่งกุ้ยได้แปดคะแนน ทุกคนมีข้อคิดเห็นอะไรหรือไม่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...