ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 216

คนที่ไร้ความสามารถก็ต้องตาย ของที่ไม่มีประโยชน์ก็ต้องทิ้ง

คำพูดคำนี้ เป็นคำพูดจากใจของผู้หญิงหลายคน

ผู้หญิงวัยกลางคน “คนตระกูลเฉียน เจ้าจะนอนถึงตอนเที่ยงค่อยตื่นอย่างนั้นหรือ”

เด็กผู้หญิง “พั่งยา ต่อไปเจ้าจะนอนถึงเที่ยงค่อยตื่นสินะ”

เฉียนเพ่ยอิง ซ่งฝูหลิง “ข้านอนตื่นเที่ยงเมื่อไหร่กัน เมื่อเช้าตีสามข้าก็ตื่นมาซักที่นอน เช็ดเตียง เช็ดหน้าต่าง ฆ่าเชื้อโรคในห้อง พวกเจ้ามาประชุม พวกเจ้าเดินผ่าน เห็นผ้าห่มที่ตากไว้ข้างนอกไหม แข็งจนเป็นน้ำแข็งแล้ว มีบ้านไหนขยันแบบนี้บ้าง”

จูซื่อรับไม่ได้กับเรื่องนั้น

ทั้งที่วันนี้นางดีใจ แต่คำพูดของลุงเล็กทำให้หัวใจของนางไม่รู้เป็นอะไร ทั้งยังอิจฉาในความสุขสบายของพวกนาง

ดังนั้น ขณะที่นางอยู่ข้างล่าง ไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ได้ จึงตะโกนถามซ่งฝูเซิง “ต่อไปสองแม่ลูกนั่นจะไม่ทำงานอะไรแล้วใช่ไหม เงินหนึ่งเหวินก็จะไม่เอา จะอยู่อย่างนี้หรือ”

ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจคิด

ข้าไม่สนใจแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเกี่ยวอะไรกับพวกเรา

และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับทุกคน แค่เพียงพูดขึ้นมาเท่านั้น แต่กลัวทุกคนเข้าใจผิดจึงต้องประกาศให้ทุกคนทราบ พวกเราไม่ทำงานอยู่เฉยๆ แล้วจะทำไม พวกเราไม่ได้หาเงินจากกองกลางแล้วจะมีเหตุผลอะไรต้องทำงาน ฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไร

ซ่งฝูเซิงไม่สนใจพี่สะใภ้รอง แต่พูดกับทุกคนที่นินทาแล้วหัวเราะว่า

“ตระกูลเฉียนตื่นตั้งแต่เช้ามาซักผ้าห่ม เก็บบ้าน ข้ายังไม่เห็นใครขยันเท่ากับสองแม่ลูกนี่มาก่อน เมื่อครู่ที่ข้าพูดออกมาก็แค่คิดว่าอยากให้พวกเขานอนจนถึงเที่ยง แต่พวกเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น…

…พวกเจ้าดูต่อไปก็แล้วกันว่าสองแม่ลูกจะว่างไหม จะให้พวกเขาพักผ่อนคงไม่ได้ งานในบ้านพวก เขาจะต้องปักดอกไม้ ปักต้นไม้ ต้องเย็บผ้า ถ้าเอาออกมาขายก็เพื่อช่วยคนในบ้าน ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นแบบนี้”

ซ่งฝูเซิงพูดถึงตอนนี้ อยากจะอธิบายเพิ่มเติม “เงินที่นางหาได้ อาจจะเยอะกว่าเงินส่วนแบ่งจากกองกลางเสียอีก ข้าเฝ้าดูนางดูแลบ้านและครอบครัวตลอดเวลา ไม่มีเวลากลางวันกลางคืน”

คำพูดนี้เหมือนข้อมูลจะเยอะเกินไป

แต่ว่าทุกคนในที่นี้ก็เข้าใจแล้ว

นอกจากนี้จากการแสดงออกของซ่งฝูเซิงในตอนเช้าทุกวัน ทำให้เห็นว่าคนตระกูลเฉียนไม่ใช่คนขี้เกียจ บวกกับการที่ฝูเซิงไม่ต้องการให้ภรรยาต้องทำงานลำบาก

นอกจากนี้ คำพูดนี้บ่งบอกชัดเจนว่า ‘ลูกสาวและภรรยาจะไม่ไปทำงานใช้แรงงาน ไม่ไปร่วมแบ่งเงินจากกองกลาง แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะอยู่ในบ้านแล้วไม่ทำงานอะไร อย่านินทาว่าร้าย แค่ไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานหาเงินให้ลำบากก็แค่นั้น’

แค่ไม่ต้องการให้พวกนางหาเงินอย่างลำบาก

ครอบครัวตระกูลเฉียน อย่างไรถ้าหาเวลาว่างได้ก็ต้องใช้เวลาดูแลลูก เย็บปักถักร้อยเพื่อหาเงิน ซึ่งถ้าเทียบกับเงินกองกลางก็คงไม่น้อย อย่างเช่น นางปักกระเป๋าเอาไปขาย เมื่อเทียบกับคะแนน จะได้เท่ากับคะแนนความประพฤติ

สมมุติว่านางปักกระเป๋าไปขายข้างนอก เงินค่าด้าย ค่าผ้าก็ไม่ได้มาจากเงินกองกลาง

หากครอบครัวซ่งฝูเซิงนำไปขายขาดทุนก็จะไม่เกี่ยวข้องกับทุกคน แน่นอนว่าถ้านางขายได้หนึ่งร้อยตำลึง ก็ไม่เกี่ยวกับทุกคนเหมือนกัน ใครก็แบ่งเงินของครอบครัวนี้ไปไม่ได้

เมื่อซ่งฝูเซิงพูดคำนี้ออกมา ทุกคนในนี้ก็ข้าใจแล้ว ตระกูลเฉียน คุณหนูจะต้องเย็บปักถักร้อย ปักกระเป๋า ค่าแรงจะมากกว่าเงินที่หาได้จากการใช้แรงงาน

แต่ตอนนี้ท่านย่าหม่ากลับไม่สบายใจ

ท่านย่าหม่าเข้าใจว่าสะใภ้สามปักกระเป๋าได้ แต่นางคงไม่ได้ปักทั้งวันทั้งคืน น่าจะมีเวลาว่าง ถ้าคนข้างนอกทำงานแต่เจ้าอยู่ดีมีความสุข คงไม่ถูกต้อง

สะใภ้สามสามารถทำงานในเวลากลางวัน เงินส่วนนี้เป็นเงินกองกลาง ถ้าเจ้ามีความอดทนค่อยทำงานส่วนตัว ปกตินางจะงานเหล่านี้ทำในเวลากลางคืน เจ้าจะได้เงินอีกส่วนและเงินส่วนนี้ก็ไม่ต้องแบ่งทุกคน ดีออก ถึงตอนนั้นทำงานได้เงินทั้งสองทาง ครอบครัวหนึ่งครอบครัว มีคนสามคน ต้องมีชีวิตที่สุขสบายมากแน่ๆ

ท่านย่าหม่ากำลังอ้าปากพูด แต่คิดไม่ถึงว่าเฉียนเพ่ยอิงชิงพูดก่อนแล้ว

เฉียนเพ่ยอิงยืนขึ้นแล้วพูดกับฝูงชนที่อยู่บนเวที “ท่านพี่ ข้าคุยกับท่านหลายครั้ง ทำไมท่านไม่ฟังข้าเลย ข้าจะหาเงินจากกองกลาง ทำงานกับทุกคน ข้ากับลูกสาวจะทำงานหาเงินเล็กๆ น้อยๆ”

“หยุดพูด เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะพูด จะหาเงินจากกองกลางทำไม ข้าพูดให้ฟ้าได้ยินไปแล้ว คำพูดของข้าใช้ไม่ได้แล้วหรือ!”

ท่านลุงซ่งรีบเข้ามาห้าม รีบมาห้ามไม่ให้ทั้งคู่ทะเลาะกัน แล้วพูดกับเฉียนเพ่ยอิง “ตระกูลเฉียน ฟังฝูเซิง มีผู้หญิงที่ไหนจะเป็นผู้นำกัน”

“ท่านลุงซ่ง ข้าไม่ใช่ไม่คิด ถ้าทำได้ก็อยากช่วยคนในครอบครัวหาเงิน มีใครเหมือนเขาบ้าง พูดเองเออเอง ไม่ฟังข้า”

ซ่งฝูเซิงรีบตอบกลับเฉียนเพ่ยอิง “เจ้าให้ท่านลุงซ่งมาช่วยพูดก็ไม่มีประโยชน์ ข้าบอกว่าไม่ให้พวกเจ้าทำงาน ก็คือไม่อนุญาตให้ทำ เจ้าดูสิ วันนี้ตอนเช้าก็ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อทำงานกับลูกสาว ยังไม่มีใครเคยเห็นว่าเป็นแบบนี้”

จูซื่อ “…”

พวกผู้หญิงวัยกลางคน “…”

ท่านย่าหม่าหน้านิ่วคิ้วขมวด รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

สะใภ้สามตั้งใจจะทำงาน แต่ลูกชายเขา ให้ตายอย่างไรก็ไม่อนุญาต ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ “นั่นลูกสามหรือ?”

“ท่านแม่ ใช่แล้ว เมื่อวานข้ากลับมาดึกและยังต้องย้ายบ้าน วันนี้พวกเราประชุมกัน ยังไม่มีเวลาคุยเรื่องนี้กับท่าน ท่านแม่ก็อย่าไปแย่งคะแนนส่วนนั้นเลย ให้พวกเราลูกผู้ชายดูแล กตัญญูท่านดีกว่า ทุกวันจะมีคนหนึ่งในครอบครัวออกไปทำงานเพื่อเอาคะแนนก็เพียงพอสำหรับท่านแม่ใช้แล้ว อย่าไปแย่งชิงกับพวกเขาเลย ท่านฟังข้าเถอะ”

หัวใจของจูซื่อเต้นตึกตักขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเมื่อได้ยินสามีของนาง ซ่งฝูสี่พูดสนับสนุนเขา “ใช่แล้วท่านแม่ ข้าทำงานได้แปดคะแนน ครอบครัวพี่ใหญ่ กับต้าหลังคะแนนรวมกันก็ไม่น้อย”

ซ่งจินเป่า “ท่านย่า ข้าก็ทำงานได้หนึ่งคะแนนนะ”

ท่านย่าคนอื่นๆ กลัวว่าสิ่งที่เขาพูดจะไปกระทบกับลูกชายของตัวเอง จึงมีสีหน้าแสดงความอิจฉาอยู่เล็กๆ แต่ภายในหัวใจของพวกนางนั้นอิจฉาหนักมาก

เรื่องนี้แบบไม่ได้ตั้งใจมาก่อน ทำให้ท่านย่าหม่าไม่รู้จะทำอย่างไร เล่นอะไรกัน พูดไปพูดมาจะไม่ให้นางทำงานเอาคะแนนหรือ คะแนนก็คือเงินไม่ใช่หรือ นางเพิ่งอายุเท่าไรเอง ยังทำงานได้ ทำไมถึงจะไม่ให้ทำงาน

ท่านย่าหม่ากลัวลูกสามใช้อำนาจควบคุมนาง ลูกสามของนาง คำพูดมีอำนาจ สามารถทำลายเส้นทางการหาเงินของนางได้ ซึ่งเวลานี้ก็มาถึงแล้ว นางเริ่มเข้าใจความคับแค้นใจของเฉียนเพ่ยอิง นางอยากทำงานแต่เขาไม่ยอมให้ทำงาน อย่างนี้เรียกว่าอะไร

นางรีบโบกมือไปมา “เจ้าไปดูแลครอบครัวของเจ้าเถอะ ไม่ให้ภรรยาทำงานเอาคะแนนก็พอแล้ว แล้วยังจะมาควบคุมข้าอีก”

ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นผู้นำ มีคนหลายคนหัวเราะออกมา

หัวเราะจนท่านย่าหม่าก็อดหัวเราะไม่ได้ ทำให้ลูกสามของนางก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน

ท่านลุงซ่งก็หัวเราะ เหอะๆ แล้วพูดต่อ

เขาพูดว่า “ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องนี้ ต่อไปพวกเจ้าครอบครัวไหนหาเงินได้เยอะ อยากเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ก็ให้นำเงินไปซื้อเนื้อมากิน ไม่มีใครควบคุมเรื่องนี้ของพวกเจ้าได้…

…พวกเจ้ามาเอาข้าว มาเอาอาหารที่กองกลาง แต่เมื่อกลับไปบ้าน จะผัดเนื้อเป็นอาหารไว้กินเพิ่ม อย่างนี้ก็ไม่มีใครไปสนใจ เพราะทุกคนกินในบ้านของตัวเอง ใช้เงินของตัวเองใช่หรือไม่ คนอื่นก็ไปแบ่งเนื้อของเจ้าไม่ได้”

พูดถึงตรงนี้ ท่านลุงซ่งคิดได้ว่า ซ่งฝูเซิงซื้อวัวมาหนึ่งตัว เขายังไม่ได้คุยกับซ่งฝูเซิงก่อน แต่พูดขึ้นมาทันใด

“ซ่งฝูเซิงซื้อวัวกลับมาหนึ่งตัว ทุกคนคงเห็นแล้ว ข้าขอแนะนำพวกเจ้า นั่นคือใช้เงินส่วนตัวของเขาซื้อ นมที่เขารีดออกมาเป็นสมบัติของบ้านฝูเซิง พวกเราลูกบ้านไหนอยากดื่ม อย่าแบมือขอเพราะคิดว่านั่นเป็นของกองกลาง คิดแบบนั้นไม่ได้ จะต้องใช้เงินซื้อเท่านั้น”

ซ่งฝูเซิงพูดว่า “พอเถอะ พอเถอะ ข้ารีดแค่น้ำนม ใครอยากดื่มก็มาดื่มได้”

ท่านลุงซ่งจ้องตาเขม็ง เรื่องอะไร อยากดื่มก็ดื่มงั้นหรือ ไม่ได้นะ

ทุกคนพูดพร้อมกัน “ใช่…ทำไม่ได้”

เกาถูฮู่เป็นผู้นำพูดให้ทุกคนเข้าใจ “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ซื้อด้วยเงินกองกลาง พวกเราทุกคน ต่อไปนี้หากมีเรื่องอะไรต้องแยกให้ชัด เริ่มต้น พวกเราต้องมาตั้งกฎ เมื่อมีกฎแล้วพวกเราจะต้องปฏิบัติตาม แบบนี้ต่อไปถึงจะไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทและยังต้องสามัคคี ไม่ทำร้ายน้ำใจกัน พวกเราจะดูสีหน้าคนอื่นอย่างเดียวไม่ได้ และมองแค่ความเป็นญาติมิตรกันก็ไม่ได้ มีบางครั้งที่ดูแค่สีหน้าไม่ได้ ถึงตรงนี้ พวกเราพูดถึงไหนก็ต้องคิดถึงตรงนั้น”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว