“นี่ทำอะไรกัน? ตั้งป้ายแล้วก็ไม่ขายอะไรเลย”
“นี่น้องชาย พวกข้ารับซื้ออิฐ ที่บ้านมีอิฐที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่? ข้าสามารถนำเงินสดมาแลกซื้อกับเจ้าได้”
“เจ้าให้ราคาเท่าไหร่?”
“อิฐของเจ้าเป็นอิฐใหม่ไหม? ถ้าเป็นอิฐใหม่ เจ้าซื้ออิฐมาในราคาเท่าไหร่ ข้าก็ให้ราคาเท่านั้นกับเจ้า จริงนะ ข้าไม่หลอกลวง เจ้ามีเท่าไหร่ ข้าก็เอาทั้งหมด”
เมื่อเขาได้ยินก็บอกให้ป้ารออยู่ตรงนี้ บ้านลุงของเขาเพิ่งสร้างบ้านในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา ข้าจะไปถามลุงให้ บ้านของเขาดูเหมือนจะเหลืออิฐอยู่ กองไว้อยู่อย่างนั้นก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
ท่านย่าหม่ารีบพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ น้องชายเหนื่อยหน่อยแล้ว แม้ว่าจะมีอิฐไม่กี่สิบก้อน ป้าก็จะเอา ป้ารอเจ้าอยู่ตรงนี้นะ”
น้องชายแบกข้าวสารครึ่งกระสอบที่เพิ่งซื้อมาใหม่และรีบเดินจากไปแล้ว
“ทําไมหรือ?”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งรีบเดินมาข้างหน้า เสียงตะโกนของแม่ดังมาก เพียงแค่ครู่เดียวก็เรียกผู้คนมามากมาย คึกคักมากกว่าคนที่ขายเนื้อหมูที่อยู่ด้านข้างอีก “รับซื้ออิฐ พวกข้ารับซื้อทั้งอิฐใหม่และอิฐเก่า”
“รับอิฐเก่าด้วยใช่ไหม?”
“อิฐเก่าก็รับ ขอเพียงมันสามารถใช้งานได้ พวกข้าก็รับซื้อ”
เมื่อแม่นางคนนั้นได้ยินก็รีบหันไปถามหญิงสาวที่ออกมาพร้อมกับนาง “ซานหนี บ้านพี่สะใภ้รองของน้าสี่เจ้า ในลานบ้านมีกองอิฐอยู่มิใช่หรือ? ที่กองอยู่ตรงบ้านสุนัข เจ้าจําได้หรือไม่? เอ๊ะ พวกเราเคยไปบ้านนางมา เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”
ซานหนีที่สวมหมวกฝ้ายอยู่ครุ่นคิดอีกครั้ง “อ้อ ที่นั่นดูเหมือนจะมีอิฐอยู่ด้วย”
“ไปเร็ว ด้านหน้าเลี้ยวไปที่บ้านน้าสี่ของเจ้าก่อนเพื่อช่วยสอบถามว่านางจะขายหรือไม่ขาย? ถ้าสามารถแลกเป็นเงินสดได้ก็ดี กองทิ้งไว้ตรงนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร นำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดไว้ซื้อของจะดีกว่า”
เมื่อท่านย่าหม่าได้ยินดังนั้น นางก็รีบพูดเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงดัง
“ใช่แล้ว น้องสาว คำพูดที่เจ้าพูดไว้ไม่ผิด…
…มีใครที่สร้างบ้านแล้วจะสามารถซื้ออิฐได้พอดี? ไม่สามารถคาดคะเนจำนวนได้อย่างละเอียดขนาดนั้นหรอก...
…บ้านทุกหลังที่สร้างตั้งแต่เริ่มฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่บ้านต่างก็มีอิฐเหลืออยู่…
…เจ้าเหลืออยู่เท่าไหร่ เขาเหลืออยู่เท่าไหร่ ถ้าจะบอกว่าต่อให้นำมารวมกันสร้างเป็นเล้าไก่ก็ยังไม่พอใช้เลย ที่ข้าพูดมาจริงไหม?…
…เจ้าบอกให้นางเข็นมาหาข้าตรงนี้ ถ้าข้าดูแล้วว่าอิฐสามารถใช้ได้ พวกข้าก็จะคิดเงินให้นางทันที หันไปซื้อเนื้อหมูมากินสักสองชั่ง ก็ยังดีกว่าวางอิฐไว้ตรงลานบ้านไว้รับหิมะ”
“ได้สิ เจ้ารอก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะไปถามให้”
“ขอบคุณน้องสาวมากนะ” ท่านย่าหม่านำสองมือซุกเข้าไปในแขนเสื้อกันหนาวแล้วตะโกนต่อ
“รับซื้ออิฐ บ้านไหนมีอิฐที่ไม่ใช้แล้ว? นอกจากนี้ยังรับซื้อหัวไชเท้ากับแครอท รับซื้อหัวไชเท้า บ้านไหนมีเยอะ ไม่ต้องการแล้วส่งมาให้ข้านี่ รับซื้อในราคาสูง”
“ทําไมยังรับซื้อหัวไชเท้าด้วยหล่ะ ก่อนหน้านี้ครอบครัวเจ้าไม่ได้ซื้อหัวไชเท้ามาเก็บไว้เลยหรือ” คนขายเนื้อหมูที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ท่านย่าหม่าสูดน้ำมูกก่อนจะเข้ามาคุย “น้องชายเจ้าไม่รู้อะไร พวกข้าเพิ่งจะย้ายมาอยู่ อืม ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะ พวกข้าอพยพกันมา ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข บ้านที่ทรุดโทรมก็ยังพอมีราคาเป็นหมื่นๆ แต่บ้านของพวกข้าในตอนนี้ แม้แต่บ้านที่ทรุดโทรมก็ยังเทียบไม่ได้ อยากกินต้นหอมก็ต้องซื้อกิน ตอนนี้ที่บ้านไม่มีอะไรเลย ตั้งแต่หม้อ กระทะไปจนถึงผัก ก็ต้องซื้อเอา แม้แต่จะกินซอสก็ต้องซื้อมาจากหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน พวกข้าเริ่มต้นสร้างบ้านด้วยสองมือเปล่าจริงๆ”
“อ๊าห์ ข้าเคยได้ยินเรื่องอพยพมาเหมือนกัน แล้วนี่ พรุ่งนี้พวกเจ้าจะมาอีกไหม?”
ดวงตาของท่านย่าหม่าเปล่งประกายสว่างขึ้นมาทันที “มาสิ ทําไมหรือ?”
“ข้าปิดร้านแล้วจะไปถามให้เจ้า ญาติของข้าเก็บหัวไชเท้าไว้เยอะ แครอทก็มี”
“โอ้ ต้องขอบคุณเจ้ามาก พรุ่งนี้ข้าจะมารอฟังข่าว แต่ละอย่างเอามาอย่างละหนึ่งกระสอบก็ได้ รอพวกข้าทำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะมาซื้อเนื้อหมูที่ร้านของเจ้า ข้าพูดคําไหนเป็นคำนั้น”
คนขายเนื้อหมูครุ่นคิดด้วยรอยยิ้ม เห็นพวกเขาแบบนี้แล้ว สามารถกินหัวไชเท้าได้ในช่วงฤดูหนาวก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีด้วยสองมือเปล่า แถมยังมีเนื้อหมูอีก “ได้สิ เมื่อใช้ชีวิตสะดวก สบายขึ้นก็มาซื้อเนื้อที่ร้านข้าแล้วกัน”
ตามนิสัยของท่านย่าหม่าแล้ว นางชอบพูดคุยกับผู้คน นางอาจจะพูดต่ออีกหลายประ โยค แต่ตอนนี้พูดคุยต่อไม่ได้แล้ว “อะไรนะ? อิฐแดงที่เผาเองใช่ไหม? ที่บ้านมีหรือ ข้ารับซื้อ แต่ข้าไม่สามารถให้ราคาเดียวกันกับอิฐขาวได้ เจ้าจะตกลงหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...