“ท่านแม่ อย่าเพิ่งลูกชงลูกชาย”
“ไอ๊หยา วัวของข้า” ฝ่ามือเดียวผลักซ่งฝูเซิงกระเด็นไปด้านข้าง “วัวนมตัวใหญ่ๆ ของข้า วัวนมใหญ่ๆ วัวนมใหญ่ๆ มองข้าสิ” สมจริงเหลือเกิน หลังจากที่แน่ใจว่าลูกหลานปลอดภัย พอเห็นวัวก็ดีใจเสียยิ่งกว่าเห็นลูกหลาน
ท่านย่าหม่าเข้าไปกอดคอวัว ตื่นเต้นดีใจเสียจนเกือบน้ำตาไหล
จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร
นี่ไม่ใช่สิ่งที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกับพี่สะใภ้ใหญ่อย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะวัวตัวเดียวอีกต่อไป นี่เป็นวัวของนางเอง ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจากสองมือของนาง
“ท่านแม่ อย่าเพิ่งสนใจวัวเลย” ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ “ข้าหิว พวกเราไม่มีเงินซื้อข้าวกินด้วย”
“หืม?” ย่าหม่าปล่อยมือออกจากคอวัว จากนั้นก็ตีผัวะ
ไม่รีบพูดเล่า เงินหมด นางมี ข้าเป็นแม่ของเจ้านะ
ไปๆๆ แม่จะเลี้ยงข้าวพวกเจ้าเอง
ขณะที่ท่านย่าหม่าพูดได้หันกลับไปมองโรงเตี๊ยม เล่นเอาต้าหลังตกใจ “ท่านย่า อย่าได้คิดเข้าไปกินข้าวที่นี่เชียวนะ อาหารที่นี่แพงจะตาย อีกอย่างเ ขาก็ไม่ให้ผูกวัวกับล่อไว้บนถนนเส้นนี้ด้วย แค่ให้ผ่านอย่างเดียว”
นั่นสินะ ตอนนี้เลี้ยงข้าวที่นี่ไม่ได้ โรงเตี๊ยมอยู่ด้านหลังแท้ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไป
ขายกระเทียมเหลืองให้ที่นี่ ขนมเค้กก็ขายให้ที่นี่ อาหารหนึ่งจานจะต้องแพงมากแน่นอน
ท่านย่าหม่าหันกลับ สะบัดหัวสลัดความคิดที่อยู่ๆ ก็แวบเข้ามาในสมอง ‘สักวันหนึ่งข้าจะต้องเลี้ยงข้าวลูกหลานของข้าที่นี่ให้ได้ ก็แค่เข้าไป’ จากนั้นก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ ให้ซ่งฝูเซิงไปกับนาง บอกว่านางรู้ว่าที่ไหนมีร้านที่อาหารอร่อยและเจ้าของร้านก็ให้ผูกสัตว์ไว้หน้าร้านด้วย
ประจวบเหมาะเสียจริง ร้านเล็กๆ ข้างทางที่ไปเป็นร้านที่ซ่งฝูเซิงเคยพาเฉียนหมี่โซ่ว ภรรยา และลูกสาวไปมาก่อนหน้านี้ สุดท้ายไม่ได้กินเกี๊ยวน้ำที่ร้านนี้ ทั้งยังโมโหมากทีเดียวที่ทางร้านดูถูกพวกเขา ที่ถามว่าให้ใส่แผ่นแป้งเท่าไร
ก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวเอ้อร์ของที่นี่เป็นอะไร วันนี้ถามอีก แต่วันนี้เขาต้องเจอกับท่านย่าหม่า
ท่าย่าหม่าตบโต๊ะดังปัง สะเทือนไปถึงผ้าโพกผมที่อยู่บนหัว
นางบอกว่า หูมีปัญหาหรืออย่างไร หรือสมองเพี้ยนไปแล้ว ไปเรียกเจ้าของร้านออกมา แค่จะกินเกี๊ยวเนื้อ จะให้พวกนางเพิ่มบะหมี่น้ำให้ได้ ลาออกไปเถอะ มันจะเป็นเงินสักเท่าไรกัน ดูถูกกันมากเกินไปแล้ว คิดว่าพวกนางไม่มีเงินจ่ายรึ เอามาหกชามใหญ่ ขอเนื้อล้วนๆ
เสี่ยวเอ้อร์ตกใจ ตะโกนเข้าไปในครัวว่าเกี๊ยวน้ำหกชามใหญ่
ท่านย่าหม่ากลับไม่ปล่อยเขาไป “ถ้าเจ้ากล้าถุยน้ำลายใส่ตอนยกออกมา” เพิ่งจะพูดออกมา โต๊ะอื่นๆ ก็พากันเงยหน้ามอง
เสี่ยวเอ้อร์มองปฏิกิริยาของทุกคน พูดด้วยสีหน้าจะร้องไห้ ใครถุยน้ำลายกัน
ท่านย่าหม่าไม่ว่างสนใจเขา นางเองก็โมโหจนยืนขึ้น ยิ้มออกมาประหนึ่งเป็นการแสดงเปลี่ยนหน้า “มือปราบลาดตระเวนอยู่ไหน”
มือปราบอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร นางหันไปทักทาย
และก็ได้รับเกียรติพอสมควร มือปราบพร้อมลูกน้องสี่คนพยักหน้าให้ท่านย่าหม่า
“นี่คือลูกชายของข้า หลานชายของข้า รู้จักกันไว้นะ” ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะสนใจดูหรือไม่ แค่อยากแนะนำให้มือปราบคุ้นหน้าคุ้นตาไว้
ซ่งฝูเซิง “…”
แค่ไม่อยู่บ้านไม่กี่วัน ทำไมท่านแม่รู้จักคนไปทั่ว แม้แต่มือปราบยังรู้จัก
นึกถึงความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ ของหายเหรอ”
ท่านย่าหม่าบอกว่า เปล่าเสียหน่อย นางเองก็ยังสงสัย
อ่อ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พั่งยาสอนมาว่า ยอมเสียเงินเล็กน้อยก็ต้องขอรู้จักคนที่มีประโยชน์ให้ได้ เข้าออกในเมืองบ่อยๆ อีกหน่อยจัดการเรื่องต่างๆ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเจรจา จะให้ไปทำความรู้จักตอนนั้นแล้วเรียกใช้งานเลยก็ไม่ดี ทางที่ดีเริ่ม ต้นจากทำความรู้จักกันก่อน ให้คุ้นหน้าคุ้นตากันไว้
จากนั้นก็เคยบังเอิญเจอมือปราบคนนั้นในโรงเตี๊ยม ต่อมาตอนเดินอยู่ริมถนนก็เคยเจอ จึงแบ่งขนมเค้กที่จะส่งให้โรงเตี๊ยมทางตอนใต้ของเมืองไปให้หน่อย
ปากก็บอกว่าของขายเหลือ ขออย่ารังเกียจกัน พวกเจ้ารับราชการก็ลำบาก อันที่จริงยุคสมัยนี้คนที่ทำงานออกข้างนอกบ่อยๆ ล้วนไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายก็พอรู้อยู่ในใจว่าขนมเค้กมีราคาแพง และแล้วก็ได้รู้จักกันเพราะแบบนี้
ซ่งฝูเซิง “…” หยิบกระดาษที่ม้วนอยู่ในมือมารดามาดู เอาเถอะ ไม่ยุ่งแล้ว อ่านไม่ออก
มีวงกลม กากบาท แต้มจุดด้วย
และก็ไม่ได้ถาม ดูท่านแม่ของเขาสิ รู้จักรับงานใหญ่แล้ว เกี๊ยวน้ำหกชามใหญ่ถูกยกมาที่โต๊ะพอดี ซ่งฝูเซิงหิวไม่ไหวแล้ว คนละสองชาม ทั้งสามคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ท่านยายเถียนมองดูเหมือนมองลูกหลานตัวเอง บอกให้กินช้าหน่อย จากนั้นก็ถือกระเป๋าน้ำไปขอน้ำจากเสี่ยวเอ้อร์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...