บางเรื่องเมื่อยังไม่ถึงที่สุด ในใจมักจะมีความหวัง
แม้ว่าหลายวันมานี้พวกเขาจะอยู่บนภูเขา ออกมาทำตามขั้นตอนแรกแล้ว ดูเหมือนว่าทุกคนเลือกที่จะหลบหนี แต่พวกเขาก็ยังมีความหวังว่ายังอาจจะกลับบ้านได้
บางเรื่อง ถ้าไม่ได้เห็นกับตาของตนเอง ไม่ได้ยินจากปากของคนอื่นเอง พวกเขาทั้งสิบกว่าคนนี้ก็คงไม่ได้ตระหนักว่าซ่งฝูเซิงช่วยพวกเขาไว้
เหล่าฮั่นบอก “ก่อนหน้าไม่มีข่าวคราวอะไรเลยก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน”
ซ่งฝูเซิงได้ทราบข่าวก่อน แต่ก็ต้องแลกกับชีวิตครอบครัวของท่านพ่อตา หลังจากทราบเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้พาครอบครัวตนเองหนีไปเพียงครอบครัวเดียว แต่นำข่าวสารมาบอกต่อ เสมือนช่วยชีวิตคนในหมู่บ้าน นับว่ามีเมตตาธรรม
ถ้าพวกเขาไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อน หลายครัวเรือนจะนำสิ่งของมากมายออกมาด้วยได้อย่างไร ก็อาจจะเหมือนกับคนพวกนั้นที่เดินท่ามกลางสายฝน สะพายเพียงถุงสัมภาระธรรมดาหนึ่งชิ้น มีอาหารแห้งเพียงสองสามกิโล หรือบางทีอาจจะถูกโจรบุกเข้าไปในลานบ้าน โดนฆ่าตายไปแล้ว
ตอนนี้ขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงครอบครัวเกา ครอบครัวหวัง ครอบครัวกัวและ ครอบครัวหลี่เจิ้ง ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับซ่งฝูเซิง ครอบครัวของลุงใหญ่ซ่งฝูลู่ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ใหญ่ของซ่งฝูเซิง เขายิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว ยิ่งกลัวก็ยิ่งขอบคุณซ่งฝูเซิงมาก
แต่ไหนแต่ไรมา มีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องควายมาตลอด ก่อนที่ท่านปู่จะสิ้นใจ เขาก็พร่ำเพ้อพรรณนาถึงซ่งฝูเซิง บ้านสองอย่างพวกเขาไม่อยู่ในสายตาของบ้านใหญ่ แม้เป็นลูกเป็นหลานก็ไม่เคยกล่าวถึง มีเพียงแต่ไหว้วานให้ดูแลซ่งฝูเซิง
ทำไมซ่งฝูเซิงต้องเป็นบัณฑิตเพียงคนเดียวของตระกูลซ่ง ทุกครั้งที่น้องสามกลับมาใช้ชีวิตที่ดี ก็ให้รู้สึกอิจฉา แต่เมื่อมาเจอสถานการณ์ความเป็นตายเช่นนี้แล้ว มันกลับไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
ความในใจตอนนี้ของซ่งฝูลู่ ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องสามแล้ว
ท่ามกลางความเงียบ พวกเขาปีนขึ้นภูเขากลับไปในยามท้องฟ้ามืดมิด ทุกคนนิ่งเงียบตลอดทาง
ซ่งฝูเซิงรู้สึกหนักใจ
พวกเขาโดนฝนจนเนื้อตัวเปียกปอน เท้าเต็มไปด้วยดินโคลน รีบกลับมาถึงถ้ำทั้งที่มีสภาพโทรมๆ รับน้ำขิงที่คนในครอบครัวยื่นมาให้ เมื่อมองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของครอบครัว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไร
หลังจากครึ่งชั่วยาม ก็มีเสียงร่ำไห้ของพวกผู้หญิงดังขึ้นมาทั้งในถ้ำและเพิงพักพิง
หลี่ซิ่วร้องไห้เพราะจ้าวฝูกุ้ยเสียชีวิตแล้ว นางกับลูกชายที่อยู่ในอ้อมกอดจะมีชีวิตอยู่อย่างไร
ส่วนป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงก็ร้องไห้เพราะห่วงลูกชายคนที่สอง
ลูกชายคนที่สองของนาง ออกไปรับภรรยาที่ท้องแก่ในหมู่บ้านข้างๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังไร้วี่แววข่าวสาร ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หรือว่าจะถูกพวกคนชั่วฆ่าตายไปแล้ว?
พี่สะใภ้ใหญ่เหอซื่อของซ่งฝูเซิง ตลอดจนพวกผู้หญิงทั้งหลายต่างร้องไห้คิดถึงทางบ้านแม่ของตนเอง
รีบร้อนเดินทางมาและไม่ได้ส่งข่าวไปให้
หากหมู่บ้านใกล้เคียงกันเป็นดังที่เหล่าฮั่นกล่าวว่าเหมือนในเมือง ขนาดในเมืองมีทหารเฝ้า ยังโดนฆ่าล้างเมืองได้ ในชนบทแค่คิดก็รู้แล้วว่าจะเป็นเช่นไร หรือว่าพวกนางคงไม่มีโอกาสได้กลับไปเห็นครอบครัวฝั่งแม่อีกแล้ว? พวกนางโทษตนเองที่รู้เรื่องก่อนแต่ไม่สามารถทำอะไรได้
พวกนางร้องไห้ไปก็พร่ำพรรณนาถึงพ่อแม่ พี่ชาย น้องชาย
ร้องไห้ปานจะขาดใจ
แม้แต่จูซื่อที่ไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับครอบครัวทางบ้านก็ยังน้ำตาไหล แม้นางยังคงไม่มีความรู้สึกอะไรกับฝั่งทางบ้านแม่มากนัก เพราะเมื่อตอนที่นางยังไม่ได้แต่งงานก็ถูกกดขี่จากทางบ้านแม่ไม่น้อย
พวกหญิงชราก็พากันร้องไห้
อยู่ใช้ชีวิตมาหลายสิบปี ทุกคนต่างก็มีญาติพี่น้อง
เมื่อคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้พบเจอญาติๆ และพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงกันอีกแล้ว และยังมีสถานการณ์ที่ไม่สงบแบบนี้ ไม่รู้ว่าหากพาครอบครัวเดินทางต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นเช่นไร พวกนางรู้สึกปวดใจ
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงถึงกับหลั่งน้ำตา
เฉียนหมี่โซ่วกอดคอเฉียนเพ่ยอิงน้ำตาไหล เมื่ออยู่ใกล้ๆ ถึงจะได้ยินเด็กห้าขวบพึมพำเบาๆ ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่
สำหรับเด็กน้อย หลายวันมานี้ที่ไม่ได้ร้องไห้ไม่ใช่ว่าเขาลืม แต่เป็นเพราะเด็กน้อยห้าขวบคนนี้พยายามเรียนรู้ที่จะเข้มแข็ง ไม่ทำตัวเป็นภาระให้กับผู้ใหญ่
ซ่งหลี่เจิ้งอยู่ด้านในเพิงพักพิง น้ำตาไหลต่อหน้าชายฉกรรจ์สิบกว่าคน
ในหมู่บ้านมีครอบครัวทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบสองครัวเรือน ตอนนี้ที่ปลอดภัยมีเพียงสิบสี่ครัวเรือนที่อยู่บนเขา สิบสี่ครัวเรือนนี้ หากไม่นับจ้าวฝูกุ้ยไปด้วย ก็เท่ากับเหลือสิบสามครัวเรือน ส่วนร้อยกว่าครัวเรือนที่เหลือนั้น ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
คงไม่สามารถกลับไปดูหมู่บ้านได้อีก ไม่สามารถเดินไปกลับถนนเส้นเดิม และต้องรีบลงจากภูเขาให้เร็วที่สุด
ใช่แล้ว ต้องรีบเดินทาง ยอมฝ่าสายฝนก็ต้องไป
บางครั้งคำว่า ‘เฒ่าเจ้าเล่ห์’ ก็ถือเป็นคำชมเชยได้เช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...