ซ่งฝูเซิงพยุงซื่อจ้วงเข้าไปยังห้องรับรองด้านหลังเรือน ชี้ไปที่อ่างล้างหน้าและชี้ไปยังถังน้ำที่อยู่ในห้อง
ในนั้นเต็มไปด้วยน้ำที่ตากแดดไว้ เพื่อไม่ให้น้ำที่เพิ่งถูกตักขึ้นมาจากบ่อเย็นจนเกินไป ปกติจะเก็บไว้ใช้สำหรับชำระล้าง
“เจ้าชำระร่างกายเสียก่อน แล้วนอนพักผ่อนสักครู่ นอนหลับได้แค่ไหนก็แค่นั้น สองวันนี้คงไม่ได้หลับได้นอน รีบหาโอกาสพักผ่อนเสีย เพราะสักพักก็ต้องรีบออกเดินทาง เกรงว่าร่างกายของเจ้าจะรับไม่ไหว…
…รอเหล่าหนิวมาค่อยให้ท่านหมอทำแผลให้เจ้า หากมีเรื่องอะไร เจ้าก็ตะโกนเรียกข้าได้ที่หน้าเรือน”
ซ่งฝูเซิงสั่งจบก็รีบหันมาดึงแขนของบุตรสาวเพื่อพากันเดินออกไป
ซ่งฝูหลิงอยากจะเอ่ยปากเตือนพ่อของนางว่าซื่อจ้วงเป็นใบ้ จะตะโกนเรียกคนอยู่หน้าเรือนได้อย่างไร?
แต่ท่านพ่อของนางพูดเร็วมาก ในอารมณ์แบบนี้ นางจึงไม่ได้พูดออกมา
นางใช้มือข้างหนึ่งถือกระโปรงที่เกะกะรุงรัง วิ่งตามฝีเท้าของซ่งฝูเซิง เล็บจิกเข้าที่ฝ่ามือ ในใจก็ครุ่นคิดคำพูดนั้นของท่านพ่อที่ว่า ‘สักพักจะต้องรีบออกเดินทาง’ มันหมายถึงอะไรกัน
ซ่งฝูเซิงดึงลูกสาวเข้ามาในห้อง เขายื่นศีรษะไปมองรอบๆ อีกครั้ง คาดว่าจะไม่ปลอดภัย เขาจึงให้ซ่งฝูหลิงไอเสียงดังในห้อง ส่วนตัวเขาลองยืนฟังอยู่ด้านนอกประตูว่าห้องนี้เก็บเสียงได้หรือไม่
ซ่งฝูหลิง “…”
ในบ้านมีแค่พวกเขาสามคน ด้านนอกมีซื่อจ้วงและน้องชาย เฉียนหมี่โซ่ว ที่เพิ่งรู้จัก ซื่อจ้วงอยู่ด้านหลังเรือน หมี่โซ่วกับท่านแม่อยู่ที่ห้องครัวด้านนอก เหล่าหนิวไปตามท่านหมอแล้ว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสิบถึงยี่สิบนาทีจึงจะกลับมา
ท่านพ่อระแวงใครกันนะ หรือว่าท่านร้อนรนจนเกินไป
ซ่งฝูหลิงขยับริมฝีปาก มือจับขอบประตูไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา “ท่านพ่อ ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครเห็นหรอก ท่านเป็นแบบนี้ทำให้ข้ากังวลใจนะ”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!”
ซ่งฝูหลิง “…”
ซ่งฝูเซิง เมื่อได้เปิดหัวข้อพูด ก็เหมือนจะเปิดประตูแห่งความหวาดกลัวที่มีอยู่ภายในใจ
เขาเดินวนไปมาโดยรอบและสบถด่าไปด้วย
“ซวยจริงๆ เลย ไม่ให้เวลาให้ข้าได้หายใจ พวกเราเพิ่งจะมาถึงสถานที่แห่งนี้แท้ๆ ด้านหลังก็ทำสงครามกันแล้ว ก่อนหน้านั้นข้าบอกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ค่อยสงบนัก หลังจากนั้นท่านตากับน้าของเจ้าก็ถูกผลักตกตึกเป็นตัวประกอบไปแล้ว! ท่านอ๋องฉีนี่สิ ไร้ความสามารถ ไม่มี ไม่มีแล้ว เมืองคงต้องแตกแล้ว!”
“ไม่มีอะไร พวกเขา ไม่? ห๊า?” ซ่งฝูหลิงฟังจนรู้สึกว่าตนเองซื่อบื้อ ตั้งสติไม่ค่อยได้ ตอนอยู่ยุคปัจจุบัน ไม่ ไม่ใช่ยุคปัจจุบันแล้วสิ ต้องเอ่ยถึงยุคปัจจุบันให้น้อยที่สุด
ซ่งฝูเซิงเห็นหน้าบุตรสาวขาวซีด เขาก็กำหมัดแน่น กัดฟันสั่งตนเองให้มีสติ ต้องพร้อมที่จะรับมือ
แต่เขาก็สงบสติอารมณ์ได้ไม่ถึงห้าวินาที
“พวกเราต้องรีบหนีแล้ว ลูกรัก ท่านตาของเจ้าเขียนจดหมายมาบอกว่า ท่านอ๋องฉีสู้ไม่ไหวก็ยังฝืนสู้รบ จะไม่ยอมศิโรราบ ทหารเมืองอื่นยังมาไม่ถึงเขาก็เกณฑ์ผู้ชายในเมืองไปออกรบ แต่หมี่โซ่วเป็นเด็กน้อยตัวแค่นี้ ให้ไปด้วยก็คงไม่มีประโยชน์ ถึงได้ปล่อยตัวออกมา…
…ตอนนี้มีประกาศให้คนในเมืองที่มีอายุตั้งแต่สิบสองถึงสี่สิบห้าปี เข้ามาเป็นทหารกองหนุน มิน่าเล่า ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ท่านนายอำเภอก็ไม่อยู่บ้าน ถ้าใช้ม้าเร็วประกาศคงจะใกล้ถึงพวกเราแล้ว”
“ท่านไม่ใช่ถงเซิงหรือ ที่นี่พวกเขาให้เกียรติกับบัณฑิตไม่ใช่หรือ เคยได้ยินได้ฟังว่ามีข้อยกเว้นอะไร ละครในโทรทัศน์ก็บอกอย่างนี้”
มองแววตาบุตรสาวที่มีประกายแห่งความหวัง
“เจ้าไม่ตั้งใจดูซีรีย์เลย ถงเซิงจะมีประโยชน์อะไร ขนาดจวี่เหรินซิ่วไฉก็ยังต้องไปออกรบ ฮ่องเต้ ท่านอ๋องก็ยังสิ้นชีพเหมือนกัน คนเราต้องมีชีวิตรอดไว้ก่อน อยู่เฝ้าเมืองต่อไปก็ต้องมีคนมาสอบ ขาดข้าไปสักคนก็ไม่มีผลอะไร เฝ้าเมืองไม่ได้ หากเขามาโจมตีเมือง หากตีไม่ได้ก็คงโมโหแล้วเข้าล้อมเมือง ขาดข้าไปคนหนึ่งก็ไม่เป็นไร ข้าอายุยี่สิบเก้า ข้าต้องถูกจับไปแน่นอน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...