เฉียนเพ่ยอิง เหนื่อยขนาดนี้แล้ว วันนี้ทั้งวันเดินมาหลายหมื่นก้าว
นางอยากจะเลียนแบบบุตรสาว ทิ้งจานข้าวแล้วก็ไม่สนใจสิ่งใด ไม่ทำอะไรทั้งนั้น อาจจะต้องหน้าด้านหน่อย อยากทำอะไรก็ทำ
ชายคนนี้ยังจะให้งานนางสองคนแม่ลูกอีก เขาอยากโดนตบหรือไง? หลุดมายุคโบราณแบบนี้แล้ว ยังอยากโดนสั่งสอนใช่ไหม
งานอะไร?
เป็นผู้ช่วย
ไม่ผิด ผู้ช่วยในสังคมยุคปัจจุบัน ข้าวยังมีผู้ช่วยข้าว ขายของมีผู้ช่วยขาย ส่วนงานของนางสองคนคือผู้ช่วยทางความคิด
สรุปเป็นประโยคเดียวก็คือ เป็นเนื้อร้องของรายการหนึ่ง “ทีมผลิตมีการประชุม จัดกลุ่มการเรียนรู้”
ในตอนเย็น เวลาทุ่มกว่าๆ ซ่งหลี่เจิ้งได้รับหน้าที่เป็น “ผู้นำ”คนใหม่ เขานั่งไขว่ห้างอยู่ด้านหน้าสุด คาบไปป์จีนไว้ในปากแต่ไม่มีควัน เพราะความเสียดายจึงไม่อยากจุดยาสูบ
ซ่งหลี่เจิ้งกระแอมไอมาก่อนสองที ก่อนจะเกริ่นขึ้นว่า “ทุกคนอย่าเพิ่งนอนพัก เพราะอะไร? เพราะอยากจะสรุปเรื่องราวการลงจากเขาเป็นวันแรกวันนี้ก่อน แต่ต้องไม่พูดเสียงดัง แค่พูดให้ทุกคนได้ยินเสียงก็พอ และก่อนที่แต่ละคนจะพูด ห้ามใครพูดแทรกกันขึ้นมา มิเช่นนั้นมันจะวุ่นวาย ใครอยากจะพูดอะไรก็ให้ยกแขนชูขึ้น”
ซ่งฝูเซิงกระซิบเตือนเขาอยู่ด้านข้าง “ท่านลุง ยกมือ”
“ใช่ ยกมือเพื่อจะพูด” พูดจบ ซ่งหลี่เจิ้งก็ทำท่าทางให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง “ยกขึ้นแบบนี้”
ทุกคนนั่งอยู่บนเสื่อของตนเอง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ส่งสายตามองกันไปมาทั่วทุกคน แต่ละคนก็ครุ่นคิดในใจ
พูดเรื่องวันนี้? ทุกคนก็อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้นี่นา ต่างก็เห็นกันหมดแล้วไม่ใช่หรือ? ยังต้องพูดเกี่ยวกับอะไรอีกเล่า อีกอย่าง พิธีการแบบนี้ไม่เคยมี ผ่านมาหนึ่งวันต้องมาพูดคุยกันด้วยหรือ ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนเลย
แล้วจะให้พูดอะไรล่ะ? ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ซ่งฝูเซิงไอขึ้นมาทันที “แค่กๆ”
เฉียนเพ่ยอิงทำตาขาวก่อนที่จะยกมือขึ้น “ข้าขอพูดสักหน่อย พวกเราต้องจดจำไว้เป็นบทเรียน อย่าได้ใจอ่อนอีกจนเกิดเหตุการณ์แย่งอาหารกันเหมือนในวันนี้ นี่เพราะพวกเราสู้ได้หรอกนะ แต่ถ้าสู้ไม่ได้ล่ะก็ พวกเจ้าลองคิดถึงผลที่ตามมาสิ จะมีผลกระทบอะไรตามมา?”
อ๊าห์ ใช่!
ใช่สิ ต้องไม่ใจอ่อน ต่อให้มีคนจะตายอยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถแบ่งอาหารให้ได้
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนเริ่มครุ่นคิดตาม
โดยเฉพาะหญิงชราทั้งหลายที่มีประสบการณ์มากมาย ไม่สนใจท่านยายหวัง ต่างก็พูดกัน “ถ้าสู้ไม่ได้ พวกเด็กหนุ่มก็ต้องถูกคนอื่นทำร้ายจนบาดเจ็บแน่ พวกเราจะยิ่งน่าอนาถมากกว่าผู้ลี้ภัยพวกนั้นเสียอีก มันจะต้องเหยียบร่างพวกเราเพื่อมาแย่งอาหารบนรถ เจ้าเชื่อหรือไม่?”
เชื่อแน่นอน
“พวกเราไม่สามารถใจอ่อนได้ ถ้าใจอ่อน พวกนี้จะยิ่งเหิมเกริม พวกเราต้องทำตัวเข้มแข็ง”
“ลองดูคนพวกนั้นสิ สู้ไม่ได้ก็คุกเข่าอ้อนวอนเพราะหมดสิ้นหนทางแล้ว ถ้าสู้พวกเขาได้ก็คงไม่คุกเข่าขอร้อง มีใครอยากจะคุกเข่ากัน”
“ใช่ คนเราก็เป็นแบบนี้ พวกเราต้องร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกัน”
มีบางคนพูดด้วยความตื้นตันใจจนเผลอลืมยกมือ
ซ่งหลี่เจิ้งพอใจมาก
ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าใจปัญหานี้แล้ว เขาก็ไอสองที “แค่กๆ”
ซ่งฝูหลิงไม่ได้ทำตาขาว เพราะในอนาคตนางอาจจะต้องพึ่งพาท่านพ่อในยุคโบราณต่อไป
นางให้เกียรติท่านพ่อโดยการยกมือขึ้นก่อน หลังได้รับอนุญาตถึงลุกขึ้นพูด
“ท่านปู่ท่านย่า ลุงป้าน้าอาทั้งหลาย ข้าขอพูดอะไรสักหน่อย…
…เรื่องที่ข้าจะพูดก็คือ เหมือนคำพูดที่ท่านพ่อของข้าได้พูดกับทุกคนก่อนลงจากภูเขา คือความสามัคคี…
…พวกเราต้องสามัคคี…
…เพราะเส้นทางเดินนี้ มีคนแปลกหน้ามากมายเดินผ่านข้างกายเราไป แต่พวกเราไม่รู้จักเลยแม้เพียงคนเดียว รู้จักกันแค่สิบสี่ครอบครัวที่นั่งอยู่ข้างกายนี้…
…เพราะไม่ว่าต่อไปจะหิวหรือกระหาย ต่อสู้กับผู้อื่น หรือแม้แต่มีชีวิตหรือตายแล้ว ในยามยากลำบาก มีเพียงสิบสี่ครอบครัวนี้ มีเพียงคนในหมู่บ้านที่นั่งอยู่ตรงนี้เท่านั้นที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เพียงแค่นั่งมองหน้ากันอย่างเดียว…
…เหมือนกับลุงฝูกุ้ยที่ตายไปแล้ว คนที่ลี้ภัยบนเส้นทางนี้มีมากมาย แต่ไม่มีใครฝังศพให้กับเขา มีเพียงคนของพวกเราเองเท่านั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ ที่ไหน ยากลำบากเพียงใดก็ยังให้ความช่วยเหลือกัน…
…เพราะวันหนึ่ง พวกเราก็ต้องเข้าไปถึงเมืองใหม่ ต้องเริ่มตั้งรกรากกันใหม่ แต่เมื่ออยู่ในเมืองอันใหญ่โตนั้น ในสายตาของคนเมือง พวกเราก็เป็นแค่คนต่างถิ่น พวกเราไม่รู้จักใคร ตอนนี้รู้จักเพียงพ่อแม่พี่ป้าน้าอาที่นั่งอยู่ด้านข้างนี้…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...