The king of War นิยาย บท 681

สรุปบท บทที่ 681 กลิ่นควันสงครามคุกรุ่น: The king of War

บทที่ 681 กลิ่นควันสงครามคุกรุ่น – ตอนที่ต้องอ่านของ The king of War

ตอนนี้ของ The king of War โดย เสี้ยวอ้าวอวี๋เซิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายใช้ชีวิตทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 681 กลิ่นควันสงครามคุกรุ่น จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

น่าชื่นชม ผู้นำตระกูลจินกับตระกูลเหลียง ได้พาผู้แข็งแกร่งมาถึงที่โถงรับแขก

“ผู้นำจิน ผู้นำเหลียง ไม่พบกันเสียนานสบายดีนะครับ!”

กวนเจิ้งซานลุกขึ้น เดินหัวเราะตรงเข้าไปต้อนรับ

ทุกวันนี้เขาเกษียณตัวเองยกตำแหน่งให้ทายาทแล้ว แต่วันนี้ต้องต้อนรับคนระดับสุดยอดของมณฑลเจียงผิงและเมืองข้างเคียง เขาจำเป็นต้องให้เกียรติอย่างเต็มที่

“ท่านผู้นำกวน ตระกูลกวนประสบปัญหายุ่งยากขนาดใหญ่แบบนี้ ทำไมไม่บอกข้าจินจื้อหมิงสักคำ?”

ผู้นำตระกูลจินที่หุ่นออกจะอ้วนเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้าเหมือนไม่สู้พอใจ

ผู้นำตระกูลเหลียงเหลี่ยงเหวินคางก็พูดด้วยเสียงเยือก ๆ “ผู้นำกวนนี่ท่าจะมองตระกูลจินกับตระกูลเหลี่ยงไม่ขึ้นมั้ง?ถ้าพวกเราไม่ได้รับข่าวข้างนอกมา น่ากลัวถึงตระกูลกวนโดนถล่มราบคาบไป พวกเราก็คงยังไม่รู้เรื่อง”

จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางต่างมีสีหน้าไม่พอใจ เหมือนว่าที่กวนเจิ้งซานไม่ได้ออกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขา เป็นการมองพวกเขาไม่ขึ้นปานนั้น

กวนเจิ้งซานรีบชี้แจงไปว่า “นี่ไม่ใช่เพราะข้าเองเกรงจะพาให้พวกท่านเดือดร้อนหรอกหรือ?”

ซูเฉิงอู่ก็หัวเราะแล้วลุกยืนขึ้น พูดออมชอมไปว่า “เรี่องนี้เป็นเพราะตาแก่อย่างพวกเราขาดการไตร่ตรอง ไม่ได้คิดถึงว่าควรต้องขอความช่วยเหลือจากท่านทั้งสอง เป็นข้อผิดพลาดของพวกเราเองจริง ๆ!”

เวลานี้ เป็นช่วงวิกฤตมากของมณฑลเจียงผิง กวนเจิ้งซานและซูเฉิงอู่ต่างก็ไม่ต้องการจะกระทบกระทั่งกับเหล่ามหาเศรษฐีระดับสุดยอดของเมืองข้างเคียง

ฟังกวนเจิ้งซานและซูเฉิงอู่พูดแล้ว จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางค่อยดูคลายเครียดลงบ้าง

“พวกคุณวางใจได้ ข้ากับผู้นำเหลียง ได้คัดผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดของพวกเรามาด้วย ให้ตระกูลเซวมันกล้าหาเรื่องมาเถอะ พวกเราจะให้พวกมันหาที่กลับไม่ได้!”

จินจื้อหมิงพูดด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง

เหลี่ยงเหวินคางก็เอ่ยปากพูดว่า “ใช่เลย ตระกูลเซวมันจะมองตระกูลพวกเราเป็นลูกพลับเน่าเสียแล้ว ต่อให้ตระกูลเซวเป็นมังกร เข้ามาเหยียบถึงถิ่นพวกเรา มันก็ต้องขดม้วนอยู่นี่แหละ!”

ตระกูลจินกับตระกูลเหลี่ยง ได้นำพาผู้แข็งแกร่งมาเป็นจำนวนไม่น้อย มองดูไป แต่ละตระกูลคงมีนำมากันนับร้อย

ขณะนั้น คนที่มาทั้งหมดรอกันอยู่ข้างนอก

ตระกูลซูกับตระกูลหาน เดิมทีก็นำผู้แข็งแกร่งมาจำนวนไม่น้อย รวมเข้ากับผู้แข็งแกร่งของตระกูลกวนเองด้วย รวม ๆ ทุกตระกูลใหญ่นี้แล้ว ประเมินดูก็ต้องมีห้า-หกร้อยนาย

กองกำลังใหญ่ขนาดนี้ แทบจะพูดได้ว่าไปวางไว้ตรงไหน ก็เป็นพลังใหญ่ยิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย

แต่ทว่า ตระกูลเซวเป็นหนึ่งในตระกูลมหาเศรษฐีระดับแทบจะเหนือกว่าที่นอกเหนือ

หานเซี่ยวเทียนกลับไม่ยอมไว้หน้าจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคาง ทำเสียงฮึออกจมูกแล้วพูดว่า “พวกท่านพูดเหมือนจะดูดีนะ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ตระกูลเซวน่าจะมีพาคนไปบ้านตระกูลจินกับตระกูลเหลียงแล้วด้วยมั้ง?”

จริงอย่างที่ว่า พอหานเซี่ยวเทียนพูดจบ จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางต่างทำหน้าดูไม่ได้เลยขึ้นมา

“หานเซี่ยวเทียน นี่ท่านหมายความว่ายังไง?พวกเราอุตส่าห์มีใจนำเอาผู้แข็งแกร่งชั้นสุดยอดของตระกูลพวกเรามาช่วยเจียงผิงของพวกท่าน ท่านไม่รู้สึกขอบคุณ ยังกลับมาพูดเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ แบบนี้หรือ?”

จินจื้อหมิงบันดาลโทสะขึ้นมา จ้องหน้าพูดกับหานเซี่ยวเทียน

สีหน้าเหลี่ยงเหวินคางก็ดูไม่พอใจพูดไปว่า “หานเซี่ยวเทียน อย่าลืมว่าที่นี่บ้านตระกูลกวนนะ ไม่ใช่บ้านตระกูลหาน มาทำอวดเบ่งกับพวกข้า มีคุณสมบัติพอไหมนั่น?”

“ปัง!”

หานเซี่ยวเทียนตบโต๊ะ ลุกพรวดยืนขึ้น กราดพูดไปว่า “กูนี่ตอนที่คุมบ้านตระกูลหานอยู่ เอ็งนี่มันยังคลุกดินเล่นขี้โคลนอยู่เลย มาถามเรื่องคุณสมบัติกู เอ็งไปเรียกพ่อเอ็งมาเลย!”

จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางต่างมีอายุประมาณอยู่ที่ห้าสิบ หานเซี่ยวเทียนนั้นรุ่นเจ็ดสิบกว่าแล้ว พูดแบบนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่

เห็นท่าหานเซี่ยวเทียนกับสองคนนั้นจะทะเลาะกันใหญ่แล้ว กวนเจิ้งซานกับซูเฉิงอู่ก็รีบลุกขึ้นปราม

“ทุกท่านโปรดระงับอารมณ์หน่อย!ในเมื่อวันนี้ทุกท่านก็มารวมตัวกันที่นี่ เป็นประจักษ์ชัดว่ามาด้วยเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือจะรับมือกับตระกูลเซว ไม่ใช่มาทะเลาะกันเอง!”

“ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงยังไงตระกูลเซวก็อยู่ในฐานะหนึ่งในเก้าระดับจ้าวมหาเศรษฐี แน่นอนว่าพวกเราคงไม่สามารถเอากำลังเข้าปะทะกันตรง ๆ ได้”

กวนเจิ้งซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ไม่สามารถเอากำลังเข้าปะทะกันตรง ๆ?แล้วท่านมีความคิดอย่างไร?”จินจื้อหมิงถามอย่างไม่พอใจ

“ถ้าเพียงลำพังตระกูลกวนของผม พวกเราไม่มีวิธีใด ๆ เลย แต่ตอนนี้มีพวกเราตระกูลพี่น้องทุกท่านสมัครใจกันมาช่วยเหลือ ขอเพียงพวกเราร่วมใจกันขอนั่งคุยกันกับตระกูลเซว คิดว่าตระกูลเซวคงไม่อหังการอย่างที่เป็นเป็นแน่”

กวนเจิ้งซานพูดต่อ “ด้วยเพราะพวกเราร่วมแรงร่วมใจกัน ถึงตระกูลเซวจะยังสามารถถล่มได้หมดสิ้น พวกเขาก็คงไม่ทำ เพราะถ้าทำแบบนั้นมีผลกระทบมาก จะทำให้ตระกูลเซวต้องมีเรื่องเดือดร้อนตามมามากมาย”

“ถ้าลำพังเฉพาะตระกูลกวน พวกเขาอาจจะเลือกสนับสนุนสร้างตระกูลใหม่ขึ้นมาสืบแทนได้ แต่ถ้าพวกเราทั้งห้าตระกูลพร้อมใจร่วมมือกัน ต่อให้ตระกูลเซวจะสามารถสนับสนุนสร้างตระกูลใหม่ให้ได้อีกถึงห้าตระกูล ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ คงไม่มีปัญญารับการต่อต้านของพวกเราได้”

“ในเมื่อตระกูลเซวใช้อำนาจอิทธิพลบีบบังคับขนาดนี้ แสดงว่ามีความรีบร้อนที่จะครอบอำนาจใส่ตระกูลของพวกเราเป็นแน่ เพียงขอให้พวกเรายึดมั่นกลมเกลียวรวมตัวเหมือนเป็นเชือกเส้นเดียวกัน ตระกูลเซวก็จะต้องถอยกลับไปมือเปล่า”

ฟังกวนเจิ้งซานพูดมา คนทั้งหมดเงียบขรึม

สักพักใหญ่ เหลี่ยงเหวินคางพูดขึ้นว่า “แล้วถ้าเกิดว่า ตระกูลเซวยังกล้าแข็ง ยืนหยัดจะเอาพวกเราให้สวามิภักดิ์กับเขาให้จงได้หละ?ถึงตอนนั้น พวกเราจะทำยังไง?”

นี่คือประเด็นสำคัญ ช่วงนี้เองที่แต่ละคนทั้งหมดมีสีหน้าเคร่งเครียดกันถึงที่สุด

พวกเขาที่นำกำลังคนมามากมาย ก็แต่เพียงเป็นการสร้างภาพ ถ้าหากให้พวกเขาร่วมวงลงมือกับตระกูลเซวจริง ๆ เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครกล้าแน่นอน

อาศัยกำลังของตระกูลเซว ต่อให้แปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูร่วมมือกัน ยังคงต้องโดนถล่มให้ล่มสลายไปได้ แล้วจะเอาอะไรกับแค่เพียงห้าตระกูลมหาเศรษฐีอย่างพวกเขา?

หากแม้นไม่ใช่เพราะตระกูลเซวห่างไกลไปจากเจียงผิงมาก มีหรือตระกูลเซวจะให้เวลาพวกเขาคิดกันเป็นเวลาถึงหนึ่งอาทิตย์?

“ถ้าตระกูลเซวยืนกรานจะเอาแบบนั้น พวกเราก็ได้แต่เปิดศึกกันสักตั้ง”

ขณะนั้นเอง หานเซี่ยวเทียนเอ่ยปากพูดขึ้นมาในทันที ตาของเขา คุกรุ่นไปด้วยกลิ่นควันสงคราม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: The king of War