มู่เวยเวยปล่อยให้พยาบาลแทงเข็มตัวเอง เธอมองไปที่รอยช้ำเข็มบนแขนด้วยสีหน้าราบเรียบ
เธอไม่ใช่คนบอบบาง ตั้งแต่แต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ง่ายยิ่งกว่าการกินข้าวและดื่มน้ำซะอีก
ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอกับโรงพยาบาลจะเป็นบุพเพสันนิวาสต่อกันไปแล้ว
เป็นเวลาเดียวกันที่ประตูห้องถูกเปิดออก จางเห่อก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “คุณหนูครับ คุณชายสั่งให้ผมมาจัดการเรื่องรักษาพยาบาลให้เรียบร้อยแล้วพาคุณหนูออกจากโรงพยาบาล ถ้าไม่มีอะไรแล้ว รถจอดรออยู่ด้านล่าง เรากลับได้ทุกเมื่อครับ”
มู่เวยเวยโบกมือ เป็นการตอบกลับ
จางเห่อขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาหน้าที่ของตัวเอง เขาเอ่ยตอบด้วยความเคารพ “งั้นผมจะรอที่ทางเดินด้านนอกนะครับ”
“อืม”
จางเห่อหันหลังและเดินจากไป มู่เวยเวยไม่ได้เพิกเฉยต่อการแสดงออกทางสีหน้าเพียงเล็กน้อยของเขา การกระทำทั้งหมดของเธอเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ บางทีคงแพร่กระจายไปทั่วบ้านตะกูลเย่แล้ว ชีวิตในบ้านตระกูลเย่ต่อจากนี้ คงก้าวเดินไปได้อย่างยากลำบาก
ตอนนี้ เธอในสายตาทุกคนคงถูกตราหน้าว่าชั่วร้าย เลวทราม โหดเหี้ยม และเนรคุณ
แต่เธอไม่สนใจ
รอจนพยาบาลออกไป มู่เวยเวยเก็บของเล็กๆน้อยๆ จากนั้นเดินออกจากห้องผู้ป่วยที่อยู่มานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ตามจางเห่อลงไปชั้นล่าง เดินเข้าไปนั่งในรถของตระกูลเย่
บอกตามตรง เมื่อเทียบกับบ้านตระกูลเย่แล้ว เธอยอมอยู่โรงพยาบาลซะยังดีกว่า ทุกอย่างที่อยู่ที่นั้นล้วนทำให้เธอไม่สบายใจ
หลังจากนั้นประมาณสามสิบนาที ในที่สุดรถก็จอดอยู่ที่ลานจอดรถในบ้านตระกูลเย่ เมื่อมองดูคฤหาสน์หรูหราที่คุ้นเคย แต่กลับไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยแม้แต่นิด มู่เวยเวยคล้ายกับได้อยู่โลกอีกใบ
สิ่งที่ทำให้เธอปลื้มใจก็คือ เมื่อกลับมาถึงคนแรกที่เจอไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉิน และไม่ใช่เฉียวซินโยวด้วยเหมือนกัน แต่เป็นเสี่ยวจื่อที่ชอบทำให้เธอแปลกใจอยู่เสมอ
เมื่อเธอเปิดประตูห้องนอนเข้าไป เห็นเสี่ยวจื่อปรากฎตัวอยู่กลางอากาศ อารมณ์ไม่ดีของมู่เวยเวยก็ผ่อนคลายลงไปมาก
“เสี่ยวจื่อ ทำไมนายอยู่ที่นี่ล่ะ?”
มู่เวยเวยแปลกใจ เธอมองดูสิ่งของต่างๆ ภายในห้อง คิดว่าตัวเองอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก ของส่วนใหญ่ภายในห้องล้วนลอยอยู่กลางอากาศอย่างน่าอัศจรรย์
เสี่ยวจื่อหันกลับมาช้าๆ มีรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากของเขา แล้วถามขึ้นเบาๆ “หลายวันมานี้คุณไปไหนมา ทำไมไม่เห็นคุณกลับบ้าน ผมคิดว่าคุณย้ายออกไปซะแล้ว”
เธอจะย้ายออกไปไหนได้ล่ะ?
เธอคิดถึงที่นี่ มู่เวยเวยถอนหายใจเบาๆ รอยยิ้มอบอุ่นปรากฎบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ฉันไปไม่ได้หรอก”
“โอ้?” เสี่ยวจื่อสงสัย เขารู้ดีที่เธอบอกว่า ‘ไปไม่ได้’ แต่ไม่ใช่ ‘ไม่ไป’
แม้ตัวอักษรจะขาดไปแค่ตัวเดียว แต่ความหมายนั้นช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มู่เวยเวยพยักหน้า มองดูท่าทางสงสัยของเสี่ยวจื่อ แล้วกระซิบเบาๆ “พูดไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก พวกเราอย่าคุยเรื่องนี้กันอีกดีกว่า”
เมื่อเธอไม่อยากพูดถึงมัน เสี่ยวจื่อก็ไม่บังคับ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ครับ ความสามารถของผมเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้รองรับการเคลื่อนไหวของวัตถุขนาดใหญ่ได้แล้ว คุณอยากลองไหม?”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น มู่เวยเวยก็เริ่มสนใจทันที เธอรีบพยักหน้า “เอาสิ!”
“แล้วคุณอยากให้ผมย้ายอะไร?”
มู่เวยเวยเท้าคางคิดอยู่สักพัก สายตามองไปรอบๆ ห้อง และหยุดลงที่เตียงใหญ่โดยไม่ได้ตั้งใจ เธอเอ่ยถาม “แล้วเตียงนี้ล่ะ?”
เสี่ยวจื่อครุ่นคิด จากนั้นเขาก็พยักหน้า “ผมจะลองดู”
พูดจบ เสี่ยวจื่อก็หายตัวไปทันที และปรากฎตัวขึ้นที่เหนือเตียง เขายกนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว แล้วพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นเตียงก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวเล็กน้อย
เสี่ยวจื่อควบคุมมัน นิ้วมือขยับอย่างรวดเร็ว เตียงที่ลอยอยู่คล้ายกับสูญเสียการควบคุม มันลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และหมุนอยู่กลางอากาศไม่หยุด
มู่เวยเวยตกตะลึง เธอรับรู้ได้ถึงการหมุนของเตียงที่นำพากระแสลมรอบๆ พัดเส้นผมของเธอ
หลังจากนั้นประมาณสิบนาที เสี่ยวจื่อก็ตวัดนิ้วอย่างรวดเร็ว เตียงที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เริ่มดิ่งลงสู่พื้น และตกลงบนพื้นอย่างมั่นคง
“เป็นอะไรเหรอ?” มู่เวยเวยถามขึ้นอย่างงงงวย เธอพึมพำในใจ :ยังชื่นชมไม่หนำใจเลย!
เสื้อสีขาวของเสี่ยวจื่อเพื่อมเบาๆ ร่างนั้นเคลื่อนที่มาอยู่ข้างๆ มู่เวยเวยทันที เขาใช้แขนเสื้อซับเหงื่อที่หน้าผากเบาๆ “วัตถุขนาดใหญ่แบบนี้ ผมยังควบคุมได้ไม่ดีนัก”
มู่เวยเวยพยักหน้า เพื่อแสดงความเข้าใจ “ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
เสี่ยวจื่อมองไปที่ใบหน้าของเธอ ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นรอยแผลตรงหน้าผาก เขาขมวดคิ้ว “หน้าผากของคุณ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
มู่เวยเวยส่ายหัวเบาๆ “ไม่มีอะไร ฉันไม่ระวังหัวเลยกระแทกน่ะ”
เสี่ยวจื่อมองไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มของเธอ เงาดำฉายผ่านดวงตาสีม่วง อย่างดาดเดาไม่ได้
มู่เวยเวยไม่ได้บอกความจริง ว่าที่แท้จริงแล้วแผลนี้คือผลงานชิ้นเอกของเย่ฉ่าวเฉิน ถ้าเธอพูดไปแบบนั้น เธอกังวลว่าเสี่ยวจื่อจะเป็นห่วง จึงโกหกออกไป
ในใจของเธอ การมีอยู่ของเสี่ยวจื่อก็เปรียบเสมือนกับดวงดาว แม้ว่าจะไม่ส่องสว่างเท่าดวงอาทิตย์ แต่นำมาซึ่งความอบอุ่นที่ยากจะละเลย
เสี่ยวจื่อก็เป็นเหมือนกับศาสตราจารย์เชียนซ่งอี้ในใจเธอ ที่นำพามาซึ่งความลึกลับ และความคิดถึง
ถ้าวันหนึ่ง เธอสามารถออกไปจากที่นี่ได้จริงๆ เป็นไปได้หรือเปล่าที่เธอกับเสี่ยวจื่อจะได้พบกันอีก?
อันที่จริง สิ่งที่เธอต้องการถามคือ เสี่ยวจื่อจะออกไปกับเธอไหม...
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในใจของมู่เวยเวยก็สั่นไหว เธอก็คง...
เสี่ยวจื่อเฝ้ามองเธออยู่เงียบๆ ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายระยิบระยับ เขารู้สึกว่าเธอถูกกลืนหายไปกับความเหม่อลอยนั้น และรับรู้ได้ถึงความหดหู่จากเธอเช่นกัน
แล้วทำไมเธอถึงหดหู่ล่ะ?
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” เสี่ยวจื่อเอ่ยถามเบาๆ
มู่เวยเวยส่ายหน้า พยายามปกปิดความคิดในใจ “รู้สึกเบื่อนิดหน่อยน่ะ”
เมื่อเสี่ยวจื่อได้ยินที่เธอพูด เขาก็ยิ้มอย่างพออกพอใจ “เบื่อเหรอ? งั้นคุณอยากดมกลิ่นดอกไม้ และฟังเสียงนกร้องไหม?”
เมื่อมู่เวยเวยได้ยินเช่นนั้น ก็คิดว่าเขาต้องพาเธอไปล่องลอยเล่นแน่ๆ จึงตอบตกลงไปอย่างมีความสุข “เอาสิ”
ใครจะรู้ว่า เสี่ยวจื่อจะหันหลังไปแล้วเปิดหน้าต่าง เมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไปจะเห็นสวนดอกไม้ของบ้านตระกูลเย่
มู่เวยเวยสงสัย จึงให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของเขา
เห็นเขาวาดแขนเป็นรูปวงกลมไปทางสวนดอกไม้ ปากพึมพำอะไรบางอย่าง เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
มู่เวยเวยจ้องมองไปที่หน้าต่าง เธอเริ่มอยากรู้อยากเห็น จึงเข้าไปมองใกล้ๆ เมื่อเห็นนกบินต่อแถวกันเรียงราย ในใจก็ตกตะลึง!
สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ มีดอกไม้สดใสห้อยอยู่ในปากนกแต่ละตัว!
น่าอัศจรรย์เหลือเกิน มู่เวยเวยอดอุทานในใจเสียไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...