พอมู่เวยเวยถอนหายใจแล้วลุกจากเตียงนอน ก็พบว่าของทุกอย่างที่อยู่ในห้องกลับไปอยู่ที่เดิม ถ้าเกิดว่าไม่ได้สัมผัสเองจริงๆ มู่เวยเวยอาจคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน
พอดีที่ฉินหม่าเปิดประตูห้องมา มู่เวยเวยรู้สึกว่าฉินหม่าเปลี่ยนไป เหมือนกับว่าฉินหม่าตั้งใจจะหลบหน้าเธอ มู่เวยเวยสังเกตุเห็น แต่ก็ไม่ได้กล่าวโทษเธอแต่อย่างใด
เธอกลับคิดว่าเป็นแบบนี้ยิ่งดี ทุกคนจะได้ตีตัวออกห่างเธอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเธอจะได้ไม่ต้องสนใจความรู้สึกของคนอื่น
เป็นแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว
มู่เวยเวยเดินออกจากห้อง เดินลงบันไดมาที่โต๊ะกินข้าว เห็นโต๊ะทานข้าวโต๊ะใหญ่ที่มีแค่อาหารเตรียมไว้สำหรับเธอคนเดียว
แต่ในขณะเดียวกันก็สงสัยว่า เย่ฉ่าวเฉินกับเฉียวฉินโยวก็อยู่บ้านไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่มีใครลงมากินข้าวล่ะ?
แต่ก็แค่สงสัย เธอไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เธอกลับคิดว่าแบบนี้จะได้สะดวกสะบายมากขึ้น ถ้าเกิดได้กินข้าวร่วมโต๊ะกัน ทุกๆ วันแบบนั้นเธออาจจะอ้วกได้!
“คุณหนูเชิญท่านข้าวก่อนค่ะ คุณชายฝากดิฉันมาบอกว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะเปลี่ยนเวลาทานข้าวของคุณหนู”น้ำเสียงของฉินหม่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แต่มู่เวยเวยไม่ได้คิดอะไร กลับยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “ฉันรู้แล้ว ฉินหม่าไปทำงานต่อเถอะ”
พอฉินหม่าเดินออกไป มู่เวยเวยก็เริ่มรับประทานข้าว ด้วยท่าทีมีความสุข อาหารที่ฉินหม่าเตรียมให้เป็นอาหารสองสามอย่าง เต้าหู้ท่าโผวและผัดถั่วเต้าเจี้ยวพร้อมกับซุปปลาทะเล
มู่เวยเวยรับประทานอาหารไปเรื่อยๆ แต่พอยกซุปขึ้นมา กินไปได้แค่คำเดียว เธอก็รู้สึกผะอืดผะอมมวนท้องคล้ายกับกำลังจะอาเจียน
เธอวางทุกอย่างลงบนโต๊ะ แล้ววิ่งไปอ่างล้างหน้าในห้องน้ำชั้นหนึ่ง เธออาเจียนออกมาอย่างหนักแทบจะอาเจียนเอาน้ำดีออกมาด้วย
มู่เวยเวยอาเจียนเสียงดัง จนทำให้ฉินหม่าตกใจวิ่งมาดูเขาที่ห้องน้ำ พอเห็นมู่เวยเวยอาเจียนอย่างหนัก และสีหน้าไม่ค่อยดี จึงเดินเข้ามาลูบหลังให้เธอ
“คุณหนู คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
ฉินหม่าตกใจมาก สีหน้าเริ่มไม่สู้ดีกลัวมู่เวยเวยจะเป็นอะไรไป แล้วถามต่อว่า “คุณหนูไม่สบายตรงไหนคะ?”
มู่เวยเวยอาเจียนจนไม่มีอะไรจะอาเจียนแล้ว เธอเปิดก็อกน้ำป้วนปากแล้วพูดกับฉินหม่าว่า “ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉินหม่าไปทำงานต่อเถอะ”
ที่จริงแล้วมู่เวยเวยก็ไม่รู้ว่าตัวเองไม่สบายตรงไหน? เธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย และมีเรื่องให้คิดเยอะเลยทำให้ไม่สบาย
ฉินหม่าเดินตามเธอไป และพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “หรือให้ฉันพาคุณหนูไปตรวจที่โรงพยาบาลไหมคะ? ถ้าชะล่าใจ ร่างกายอาจอ่อนแอลง ถึงตอนนั้นอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้”
มู่เวยเวยส่ายหน้า น้ำเสียงอ่อนแรงพูดกับฉินหม่าว่า “ไม่เป็นไรหรอก ฉันกลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อยก็หายแล้ว”
ฉินหม่าถอนหายใจ แล้วพูดอย่างจริงใจ “พวกเราเป็นผู้หญิง สิ่งที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้ฉันเข้าใจดี คุณไปตรวจที่โรงพยาบาลเถอะค่ะ ถ้าเกิดว่าไม่ใช่แค่ไม่สบายล่ะ?”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น มู่เวยเวยนั่งคิดอยู่สักพัก พอเข้าใจในสิ่งที่ฉินหม่าพูดแล้วเธอก็ตกใจ “เธอจะบอกว่าฉัน……..”
“คุณหนูเข้าใจถูกแล้วค่ะ ฉันจะสั่งให้อาหวังพาคุณไปโรงพยาบาล ไปตรวจให้แน่ใจ ยังไงก็ดีกว่าไม่ตรวจนะคะ” ฉินหม่าพูด
ฉินหม่าคิด ถ้ามู่เวยเวยท้องจริงๆล่ะก็ เด็กในท้องก็คือลูกคุณชาย ถ้าอย่างงั้นก็ต้องดูแลมู่เวยเวยเป็นอย่างดี ถ้าเกิดแท้งขึ้นมา เป็นเรื่องแน่!
อีกอย่างเรื่องนี้ต้องรีบบอกให้คุณชายรู้…
ครั้งนี้มู่เวยเวยไม่เชื่อในความคิดตัวเอง เพราะถูกฉินหม่าหว่านล้อม เธอจึงเดินตรงไปนั่งในรถของตระกูลเย่ จุดหมายปลายทางก็คือโรงพยาบาลใจกลางเมือง
มู่เวยเวยอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองกับโรงพยาบาลมีโชคชะตาต่อกันหรือเปล่า ออกจากโรงบาลยังไม่ถึงวัน ก็ได้กลับเข้าไปอีกแล้ว
อีกด้านหนึ่ง เมื่อฉินหม่าเห็นรถขับออกไป เธอก็กลับไปในบ้าน เดินขึ้นไปบนชั้นสาม เพราะรู้ว่าตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินกำลังทำงานอยู่ที่ชั้นสาม
ภายในห้องแทบจะไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา ฉินหม่าอดส่งสัยไม่ได้หรือว่าคุณชายอยู่ที่นี่หรือไม่ ขณะที่หันหลังจะเดินกลับไปนั้นประตูห้องก็เปิดออก
เย่ฉ่าวเฉินกับสีหน้าที่ไม่สนใจโลกของเขาถามขึ้น “มีอะไร?”
ฉินหม่าเข้าไปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง สีหน้ายินดี แล้วบอกว่า “เมื่อกี่คุณหนูกินข้าวแล้วอ้วกออกมาอย่างหนัก ฉันคิดว่าเธออาจจะไม่สบายเลยสั่งให้คนขับรถพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลค่ะ”
พอฟังจบ เย่ฉ่าวเฉินก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เธออ้วกเหรอ?”
ฉินหม่าก็พยักหน้า ตอบกลับไปว่า “อ้วกอย่างหนัก ฉันถามเธอว่าเป็นอะไร เธอบอกว่าพอกินซุปแล้วก็อ้วก ฉันสงสัยว่า…”
หลังจากนั้นฉินหม่าก็ไม่พูดต่อ แต่ว่าเย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าประโยคต่อจากนั้นคืออะไร สีหน้าเขาเย็นชา พยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันรู้แล้ว สองสามวันนี้ก็ช่วยดูแลเธอเป็นอย่างดีด้วย ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรก็รีบมาบอกฉัน”
“ได้ค่ะ”
พูดจบเย่ฉ่าวเฉินก็ปิดประตู ในตอนนี้ความอึดอัดของฉินหม่าได้หายไปแล้ว เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก
ฉินหม่าสงสัยว่าคุณชายไม่ดีใจเลยเหรอ? หรือเป็นเพราะว่ายังไม่รู้ว่าคุณหนูท้องจริงๆ หรือเปล่า?
พอคิดต่อไปก็พอจะรู้เหตุผล เพราะช่วงนี้คุณหนูเอาแต่ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน อาจทำให้คุณชายไม่พอใจ คุณชายก็เลยเย็นชาและไม่สนใจเธอ
พอรู้เช่นนั้น ฉินหม่าก็เดินลงมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว พลางคิดว่า:ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของคนรับใช้อย่างเธอ แต่ว่าตอนที่คุณชายเปิดประตู ในห้องสมุดฉินหม่ามองเห็นเงาของคุณหนูเฉียว…
พอเย่ฉ่าวเฉินปิดประตู สีหน้าเหมือนกำลังคุ้นคิดอะไรบางอย่าง ถึงขนาดที่เฉียวซินโยวเดินออกมาจากห้องน้ำก็ยังไม่รู้สึกตัว
เฉียวซินโยวหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความโมโห ในหัวเมื่อคิดถึงเรื่องที่เพิ่งได้ยิน หน้าก็ร้อนขึ้นมาราวกับเปลวไฟ
พอนึกถึงรอยจูบสีม่วงบนคอของเย่ฉ่าวเฉิน เฉียวซินโยวก็ยิ้มมุมปาก เพราะก่อนหน้านั้นเธอรับรู้ได้ถึงความเร่าร้อนของเย่ฉ่าวเฉิน ที่ราวกับว่ากำลังเปิดใจยอมรับเธอ จูบนั้นช่างรุ่มร้อนและอบอุน…
ถ้าไม่ใช่เพราะฉินหม่าเข้ามาขัดจังหวะ ตอนนี้พวกเราอาจจะ…ทำไมถึงทำไม่เคยสำเร็จสักที? เฉียวซินโยววิตกกังวล
“ซินโยว”
เย่ฉ่าวเฉินเรียก ทำให้เธอหันหน้ากลับมา รอยยิ้มเหมือนมีเลสนัย แล้วพูดตอบรับอย่างอ่อนโยนว่า “มีอะไรเหรอคะ ฉ่าวเฉิน? ”
สีหน้าเย่ฉ่าวเฉินไม่สู้ดี เขาเอามือจับหน้าเฉียวซินอย่างเบาๆ น้ำเสียงโทนต่ำและมีเสน่ห์พูดกับเธอว่า “ซินโยว คุณกลับไปพักผ่อนก่อน อีกเดี๋ยวผมจะออกไปประชุม”
พอได้ยินเช่นนั้น เฉียวซินโยวรู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไป แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม ถึงจะน้อยใจแต่ก็บอกว่า “ได้ค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินมองตามเงาด้านหลังของร่างบาง แล้วหันกลับมาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง และรีบโทรหาจางเห่อทันที
“คุณชาย คุณมีเรื่องอะไรจะให้รับใช้ครับ?” เสียงของจางเห่อ
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกรำคาญใจ จึงจุดไฟแช็คสูบบุหรี่แล้วพ้นควันสีขาวออกมา หมอกขาวปกคลุมไปทั่วจนมองไม่เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่กำลังมีเรื่องให้รำคาญใจ ได้ยินเพียงแต่น้ำเสียงอันเย็นชาจากเขา “จางเห่อ นายไปตรวจสอบเรื่องบางเรื่องให้ฉันหน่อย”
ณ โรงพยาบาลใจกลางเมือง
มู่เวยเวยลงจากรถ มองไปที่หน้าโรงพยาบาล ภายในใจรู้สึกแย่เอามากๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...