เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว แล้วตะโกนถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ " ฉันเคยพูดออกไปตอนไหน เธอคือผู้หญิงที่ฉันรังเกียจที่สุด ถ้าหากว่าเคยพูดคำไหนออกไปแล้วล่ะก็ ให้ถือซะว่าฉันยกเลิกคำพูดคำนั้นไป"
มองดูสีหน้าท่าท่างที่เหน็บแนม น้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยามของเขา ทำเอามู่เวยเวยถึงกับส่ายหัวทนไม่ได้
"คำพูดที่พูดออกมาก็เหมือนน้ำที่สาดทิ้ง อยากจะยกเลิกคำพูดก็ยกเลิก ถ้าสมมุติว่าฉันตบหน้าคุณ แล้วขอให้คุณให้อภัยฉันทันที คุณจะให้อภัยไหม?"
เขาไม่เข้าใจว่าเธอจะสื่ออะไร เขาเป็นคนทำลายชีวิตของเธอกับมือ ทำให้เธอเหมือนตกนรกทั้งเป็น ตอนนี้เธอมีสิทธิอะไรมาพูดจะให้เขาให้อภัย เธอลืมความอับอายขายหน้าของเมื่อก่อนได้แล้วเหรอ?
เย่ฉ่าวเฉินมีสีหน้าที่ตกใจ นึกไม่ถึงว่าเธอจะเกลียดชังเขาขนาดนี้ "เธอจะเอายังไง?"
"ฉันไม่เอายังไงทั้งนั้น"
มู่เวยเวยรู้ตัวว่าน้ำใสๆกำลังไหลออกมาจากตา จึงหันหน้าไปมองทางหน้าต่างทันทีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง " ต่อจากนี้พวกเราต่างคนต่างอยู่เถอะ เรื่องราวของเมื่อก่อนฉันไม่อยากเก็บมาคิดแล้ว ถ้าคุณยังมีหัวใจอยู่บ้าง หลังจากนี้พวกเราอย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย"
"เป็นไปไม่ได้"
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองหน้าของเธอ เมื่อสังเกตหางตาของเธอก็ปรากฎน้ำตาที่กำลงเอ่อล้น ทำเอาคนที่หัวใจโหดเหี้ยมอย่างเขาถึงกับทนดูไม่ไหว จึงเอื้อมมือไปดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด สบตาแล้วใช้มือจับที่คางของเธอเบาๆ พูดถึงคำสัญญา
"นับตั้งแต่วันนั้นที่พวกเราแต่งงานกัน คุณก็ห้ามคิดที่จะจากผมไป!"
มู่เวยเวยคิดไม่ตกว่าทำยังไงถึงจะหลุดพ้นจากเขา เธอไม่เข้าใจว่าเขาจะยืนหยัดทำแบบนี้ต่อไปทำไม ตอนนี้มาเอาเอาใจเพื่ออะไร
เธอไม่คิดว่าคนอย่างประธานเย่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
"ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไป? คุณรู้ไหมว่าฉันเหนื่อยมาก? ไม่มีสักเสี้ยววินาทีที่ฉันไม่อยากไปจากที่นี่ สำหรับฉันแล้วที่นี่มันก็คือฝันร้าย!"
มองดูมู่เวยเวยที่ท่าทางสติแตก เย่ฉ่าวเฉินในใจถึงกับอึ้ง เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง
เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ราวกับว่ามีบางสิ่งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป......
สักพักมีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งขรึม "เข้ามาได้"
ประตูถูกเปิดออก เลขาหลิวเดินเข้ามาในห้อง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเคารพ
" ประธานเย่คะ อาหารกลางวันที่ท่านสั่งมาส่งแล้วค่ะ ต้องการจัดเสิร์ฟตอนนี้เลยไหมคะ?"
เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งเย็นชา" จัดเสิร์ฟได้เลย"
พอเลขาหลิวเปิดประตูห้องทำงาน พนักงานค่อยๆทะยอยจัดเสิร์ฟอาหารไว้บนโต๊ะรับแขกกันอย่างระมัดระวัง
พอทุกคนออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงมู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยมองดูอาหารบนโต๊ะก็ต้องแปลกใจ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี อาหารที่สั่งมาวันนี้ล้วนเป็นอาหารโปรดที่เมื่อก่อนเธอชอบกิน
สังเกตสายตาของมู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินจึงดึงตัวเธอไปบนโซฟา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "ผมไปถามคุณลุงของคุณ เขาเป็นคนบอกผมเองว่าคุณชอบกินอะไร "
เมื่อได้ยินคำที่เขาพูด มู่เวยเวยถึงตะลึงงัน เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะไปถามคุณลุงของเธอเกี่ยวกับอาหารที่เธอชอบ เป็นสิ่งที่เธอคาดการณ์ไม่ถึง
เธอยังจำตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ เธออยากพาเขากลับไปเยี่ยมบ้านของเธอ เขาไม่ลังเลที่จะปฏิเสธ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอยากได้ข่าวสารของพี่ชาย ดูท่าการกลับปีนั้นแทบจะคว้าน้ำเหลว!
อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องเธอเขาก็ไม่ได้ทุกข์ทนกับสิ่งที่เขาเก็บไว้น้อยลงเลย ตอนนี้เขากลับริเริ่มที่จะไปถามเรื่องแบบนี้ อะไรที่เกี่ยวกับเย่ฉ่าวเฉิน คิดไปในทางที่ดีไม่ได้เลย
ในขณะที่กำลังรับประทานอาหาร มู่เวยเวยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา "คุณต้องทุ่มเททำด้วยความเหนื่อยยากเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เพราะว่าหวังอยากรู้เบาะแสของพี่ชายฉันเหรอ แต่ดูเหมือนคุณจะต้องผิดหวังแล้วล่ะ"
“ หยุดปากไม่ได้แม้กระทั่งตอนกินข้าว? เย่ฉ่าวเฉินพูดขัดจังหวะเพราะทนความสงสัยของเธอที่มีต่อเขาไม่ได้
มู่เวยเวยไม่กล้าพูดอะไรต่อ ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่อไป
มู่เวยเวยค่อนข้างที่จะชอบอาหารรสจัด จึงทำให้อาหารมื้อนี้ไม่ค่อยถูกปากเย่ฉ่าวเฉินเท่าไหร่ เขาเงยหน้านั่งมองเธอกินข้าว เมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาที่แข็งกร้าวมู่เวยเวยก็รีบวางตะเกียบลงทันที เธอกังวลว่าอาหารจะไม่ย่อย จึงคิดจะหาข้ออ้างรีบไปจากที่นี่ ไม่อยากให้เย่ฉ่าวเฉินเอ่ยปากพูดก่อน
"กินอิ่มแล้วเเหรอ!"
มู่เวยเวยพยักหน้าพร้อมกับพูดขอบคุณ "ขอบคุณนะคะสำหรับอาหารมื้อนี้"
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย "พูดขอบคุณอย่างเดียวมันคงไม่พอมั้ง คิดหาวิธีที่จะตอบแทนผมได้หรือยัง"
"ห๊ะ! อะไรนะ"
มู่เวยเวยขมวดคิ้วพร้อมกับน้ำเสียงที่งงงัน
ในขณะที่มู่เวยเวยไม่ทันระวัง เย่ฉ่าวเฉินได้เดินมาอุ้มเธอเข้าไปในห้องพักผ่อน
" นี่คุณกำลังจะทำอะไรฉัน?"
"ทำอะไรงั้นเหรอ ตอนนี้คุณกินอิ่ม ก็ควรทำให้ผมอิ่มด้วยสิ......"
"อย่าเข้ามานะ! ปล่อยฉัน! คุณมันคนระยำ!
" ไม่ปล่อย! ต่อให้ดิ้นรนขัดขืนก็เปล่าประโยชน์ สู้ทำตัวดีๆไม่ดีกว่าเหรอ สักวันไม่ช้าก็เร็วคุณก็ต้องเป็นของผม !"
ด้านนอกห้องทำงาน
เสียงดังแครก มองไปในถังขยะมีถุงสองสามใบวางอยู่ แล้วทันใดร่างบางก็วิ่งออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ภายในลิฟต์ตัวหนึ่ง เฉียวซินโยวได้นั่งกอดเข่า ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มเลอะเครื่องสำอาง
นิ้วมือที่ขาวบางหยิกลงบนขาของตัวเขาเอง ราวกับว่ามันคือเนื้อของมู่เวยเวย บนขาที่หยิกเต็มลอยเลือดกลับไม่รู้สึกเจ็บหรือมีความรู้สึกใดๆ ในหัวคิดแต่เรื่องที่เพิ่งจะยินไปมะกี้
ทำไมสิ่งที่เธอพยายามอยากได้มาอย่างสุดชีวิต กลับไม่เคยแม้แต่ที่จะได้ครอบครองเป็นของตัวเอง?
เธอทำอะไรผิด?
เธอแค่ต้องการไขว่คว้าหาความสุขก็แค่นั้น แต่ทำไมทุกครั้งสิ่งที่ได้รับกลับเป็นความทรยศ
มู่เวยเวย ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก !!
ถ้าหากว่าแกคือตัวขัดขวางความสุขของล่ะก็ เป็นเมื่อก่อนฉันแค่คิดอยากจะเข้าไปตบตี
แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันอยากอยากทำลายแกให้สิ้นซาก!
ฉันเฉียวซินโยวคนนี้จะไม่ปล่อยแกไปเด็ดขาด!
......
มู่เวยเวยดันตัวลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยความเมื่อยล้า สังเกตตรงคอพบว่ามีรอยจูบประทับไว้ ทันใดนั้นหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาอย่างผิดปกติ ในใจได้แต่ด่าคนเลวทรามอย่างเย่ฉ่าวเฉิน
มองดูนาฬิกาก็ได้พบว่าเกินเวลาทำงานมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว มู่เวยเวยขมวดคิ้วทำหน้าเซ็ง แล้วรีบใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
มู่เวยเวยออกมาจากห้องพักผ่อนก็พบว่าภายในออฟฟิศไม่มีคนอยู่สักคน เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว ณ เวลานั้นเธอเหนื่อยเลยไม่ทันสังเกต เย่ฉ่าวเฉินดูเหมือนจะได้รับโทรศัพท์ขอให้เขาไปประชุม
เธอรีบลงมาที่ชั้นล่างแล้วตรงไปยังแผนกของตัวเอง เธอเข้าไปหาผู้จัดการเหอเพื่อทักทาย แต่เขาแจ้งให้เธอทราบว่าเย่ฉ่าวเฉินลางานให้เธอเรียบร้อยแล้ว มู่เวยเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเธอกลับมานั่งที่ของตัวเอง ก็ได้รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่กำลังแผ่รังสีอำมหิตมาที่เธอ
มู่เวยเวยหันไปดู ก็เจอเฉียวซินโยวที่มีสีหน้าเยาะหยันยืนอยู่ แต่เธอก็ไม่สนใจ
เฉียวซินโยวมีความโกรธแค้นในใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาเห็นมู่เวยเวยมีท่าทีไม่สนใจ เธอยิ่งโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น พลันคิดหาวิธีมาแก้แค้นให้เร็ว
เฉียวซินโยวถือแก้วในมือเดินไปชงกาแฟ เสร็จแล้วตั้งใจเดินผ่านมู่เวยเวย แกล้งทำเป็นสะดุดล้ม ทำให้น้ำกาแฟกระเด็นไปโดนบริเวณหน้าอกของมู่เวยเวย
" โอ้ยย"
กาแฟที่เพิ่งชงยังมีความร้อนอยู่มาก มู่เวยเวยที่สวมใส่แค่ชุดพนักงานตัวบางน้ำกาแฟสาดลงมาโดน ทำให้เธอคร่ำครวญด้วยความเจ็บแสบเจ็บร้อนเป็นอย่างมาก ซึ่งดึงดูดพนักงานทุกคนหันมามองดู
" เวยเวย ฉันขอโทษเธอจริงๆนะ พอดีมะกี้เท้าฉันสะดุด รีบปลดกระดุมออกเร็ว ๆ ไม่งั้นจะเป็นแผลพุพองนะ !"
เป็นเพราะมีเพื่อนร่วมงานคนอื่นยืนดูเหตุการณ์อยู่ เฉียวซินโยวจึงแสร้งทำท่าทางเป็นกังวล แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยการยั่วยุเหน็บแนมราวกับจะบอกมู่เวยเวยว่าเจตนาตั้งใจกลั่นแกล้ง
ทุกกำลังมองดูอยู่ มู่เวยเวยทำได้แค่กลืนน้ำลาย ซึ่งเธอเองก็อยากจะปลดกระดุมเสื้อของเธอ แต่พอนึกถึงรอยจูบที่คอ ถ้าเพื่อนร่วมงานเห็นเข้าคงน่าอับอายไม่น้อย
ถึงในใจมู่เวยเวยจะโกรธโมโหให้ตายแค่ไหนก็ทำได้เพียงไม่แสดงสีหน้าโกรธออกมา "ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ"
เฉียวซินโยวอาศัยจังหวะที่มู่เวยเวยกำลังโกรธ และไม่อยากให้เดินไปเข้าห้องน้ำ เฉียวซินโยวแสดงออกว่าเป็นห่วงเป็นใย ยืนมือไปปลดกระดุมสองเม็ดของมู่เวยเวย
"เวยเวย รีบปลดกระดุมเสื้อระบายความร้อนเถอะ เดียวแบบนี้ผิวจะเป็นแผลพุผองเอานะ"
เฉียวซินโยวรู้สึกสะใจ แต่แกล้งแสดงสีหน้าเป็นกังวลและเป็นห่วง
มู่เวยเวยรู้ทันเล่ห์อุบายของเฉียวซินโยว จึงรีบเอามือกำคอเสื้อไว้แล้วกลั้นใจพูด "ไม่เป็นไร"
พูดจบก็เดินไปเข้าห้องน้ำทันที มองดูสภาพของตัวเองที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
ในใจทั้งโกรธทั้งเกลียด เธอไม่สามารถทนกับอะไรแบบนี้ได้ต่อไป เฉียวซินโยวตอนนี้กำลังคลั่ง เธอต้องเรียนรู้หาวิธีที่จะเอาคืน
เฉียวซินโยวจึงใจทำให้เธอขายขี้หน้า ตั้งใจสาดกาแฟทั้งแก้วลงบนตัวเธอ เธอไม่ได้
พกเสื้อมาเปลี่ยน จึงทำได้เพียงรบกวนเพื่อนร่วมงานหาเสื้อมาให้เปลี่ยนสักชุด แต่สภาพเนื้อตัวแบบนี้จะกล้าออกไปพบใครได้ล่ะ
เย่ฉ่าวเฉินนายสมควรตาย นายทำแบบนี้เกือบจะฆ่าฉันแล้วไหมล่ะ!
นั่งคิดไปคิดมาอยู่สักพัก มู่เวยเวยหยิบโทรศัพท์กดเบอร์โทรไปหาใครบางคนพูดด้วยน้ำเสียงกระสับกระส่าย "เย่ฉ่าวเฉินคุณอยู่ไหน มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับฉัน คุณรีบมาหาฉันหน่อย......"
"ตอนนี้คุณอยู่ไหน?"
เมื่อได้ยินที่เขาพูด มู่เวยเวยรู้สึกยากที่จะเอ่ยปากบอกเขา แต่สภาพแบบนี้ทำอะไรมากไม่ได้จึงทำได้เพียงกัดฟันพูดตอบเขาไป "ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องน้ำแผนกของเรา เสื้อของฉันสกปรก คุณรีบหาเสื้อสักชุดมาให้ฉันเปลี่ยนได้ไหม"
ณ เวลานี้อีกฝั่งฝากหนึ่งของการประชุมระดับสูงที่น่าเกรงขาม เย่ฉ่าวเฉินในขณะที่กำลังประชุมอยู่ได้ยินคำขอความช่วยเหลือจากมู่เวยเวย ทำให้เขาครุ่นคิดแล้วพูดแจ้งกับเหล่ากรรมการบริษัท "พักการประชุมสัก 10นาที พวกคุณลองพูดคุยหารือเกี่ยวกับแผนการของบริษัทหงอวี่อินเตอร์เนชั่นแนลกันสักพัก พอผมกลับมาให้มาบรรยายให้ผมฟัง"
จากนั้นเหล่ากรรมการบริษัทต่างพากันคาดเดาไปต่างๆนาๆว่าใครเป็นคนที่โทรมา
เดิมทีไม่มีอะไร แต่หลังจากที่เย่ฉ่าวเฉินเข้ารับตำแหน่งก็มีกฎเหล็กสำหรับการประชุมนั่นคือห้ามมิให้ผู้ใดรับสายหรือโทรออกระหว่างการประชุม!
ประธานเย่ของพวกเขาเคร่งครัดปฏิบัติต่อกฎระเบียบนี้มาโดยตลอด แต่ใครกันนะที่ทำให้เขาถึงกับละเมิดกฎระเบียบที่ปฏิบัติมาหลายปี แต่ดูจากสีหน้าเป็นกังวลของประธานเย่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับปัญหาของอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่
พวกเขาแทบไม่มีใครคาดเดาถูก ถ้าพวกเขารู้ว่าคนเทพๆในสายตาของพวกเขาอย่างประธานเย่ เพียงแค่เอาเสื้อไปส่งให้ผู้หญิงคนหนึ่งเปลี่ยน พวกเขาต้องช็อกอย่างกระอักเลือด
"นี่ไปโดนอะไรมาเหรอ?"
เย่ฉ่าวเฉินถามน้ำเสียงที่เรียบขรึม แล้วมองดูเธอที่สภาพดูไม่ได้
"คุณเฉียวเป็นคนทำ คุณจะรับผิดชอบสิ่งนี้แทนฉันยังไง " มู่เวยเวยพูดออกไปโดยไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น แต่ว่าก็ไม่ได้จะให้เขารับผิดชอบแทนจริงๆ
ฟังเธอพูดจบเย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วแล้วหันหลังเดินจากไป
มองดูเขาเดินจากไป มู่เวยเวยยิ้มมุมปากอย่างประชด ดูเหมือนว่าเธอยังไม่รู้จัก ตัวเองดีพอ
มู่เวยเวยนี่เธอกำลังหวังอะไรลมๆแล้งๆ คิดเหรอว่าคนอย่างเย่ฉ่าวเฉินจะไปจัดการกับเฉียวซินโยวให้เธอ
ไม่รู้หรือไงว่าในใจของเขาไม่ว่าใครก็ฐานะสูงกว่าเธอทุกคน
เป็นเพียงความอัปยศอดสู!
เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าที่เขาเอามาให้ แล้วเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง สังเกตว่าเฉียวซินโยวไม่อยู่ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกเข้าดังกริ่งขึ้นในหูของเธอ มู่เวยเวยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพบว่าไม่ใช่ของเธอ เธอหันไปหันมาเห็นโทรศัพท์กะพริบอยู่บนโต๊ะทำงานของเฉียวซินโยว เธอกำลังคิดจะไปปิดเสียงโทรศัพท์นั้น แต่เห็นเฉียวซินโยวกำลังเดินออกมาจากในลิฟต์พอดี พอเฉียวซินโยวเห็นหมายเลขผู้โทรเข้าก็มีสีหน้าตื่นตระหนกรีบลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำทันที
มู่เวยเวยที่แอบมองดูเฉียวซินโยวอยู่ก็รู้สึกงงงวยมาก แค่รับโทรศัพท์จำเป็นต้องไปเข้าห้องน้ำด้วยเหรอ และท่าทางที่ดูลุกลี้ลุกลนทำให้คนอื่นสัมผัสได้ถึงความอึดอัด
มู่เวยเวยรู้สึกว่าเฉียวมีอะไรบางอย่างปกปิดซ่อนอยู่
มู่เวยเวย อดสงสัยไม่ได้จึงลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่ห้องน้ำ แล้วเธอได้ยินเฉียวซินโยวพูดกับใครไม่รู้ "โอเค ฉันจะไปทันที ไม่ต้องกังวล ไม่มีใครรู้ได้หรอก"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...