วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 217

"อ่า ช่วยเราถือถุงช้อปปิ้งก็พอ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ" มู่เวยเวยอธิบายอย่างไม่ค่อยใส่ใจ เพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการหลายเรื่อง

เสี่ยวซีหร่านก็ไม่เซ้าซี้ถาม และเธอก็มีบอดี้การ์ดคอยตามอยู่ แค่ตอนเดินช้อปปิ้งเท่านั้นปกติพวกเขาจะไม่ได้ติดตามไปด้วย

"คุณจะอยู่ที่เมืองAนานแค่ไหน แล้วพักที่ไหนคะ " ฉู่เหยียนถามอีกคนอย่างกระตือรือร้น เพราะอยากจะชวนมาพักด้วยกัน

"เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจา เร็วที่สุดก็3วัน มากสุดก็ครึ่งเดือน พักอยู่ที่บ้านพักบนเขาฝั่งตรงข้ามน่ะ" เสี่ยวซีหร่านที่ไม่ได้เป็นคนชอบโกหก แต่ระดับการโกหกค่อนข้างดี เพราะสีหน้าแววตาไม่มีพิรุธเลย

ฉู่เหยียนดีใจกับคำตอบนี้ "อ่า งั้นก็ดีเลยค่ะ ถ้างานคุณเรียบร้อยแล้วก็โทรมาหาฉันนะคะ ฉันจะพาคุณไปเที่ยว ความจริงแล้วฉันอยากจะชวนคุณไปพักที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ แต่ว่า......."

เสี่ยวซีหร่านพูดขัดจังหวะขึ้นมาก่อน "ดีที่เธอยังไม่เอ่ยปากชวนซะก่อน ฉันเองไม่ค่อยชินที่ไปอยู่บ้านคนอื่นน่ะ"

มู่เวยเวยระบายยิ้ม เพราะเป็นแบบนี้ก็ดี

"เอ่อใช่ หนุ่มหล่อที่อยู่ที่บ้านคุณเป็นยังไงบ้างคะ"

เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างตรงไปตรงมา "เขาฟื้นแล้วค่ะ วันที่มีแผ่นดินไหวที่เมืองA"

มู่เวยเวยตกใจอ้าปากค้าง "คุณพระ เขาฟื้นแล้ว แล้วเขาเป็นยังไงบ้างคะ ฉันขอพบได้ไหม"

เสี่ยวซีหร่านส่ายหน้าอย่างรู้สึกเสียดาย "เธอคงไปพบไม่ได้แล้วล่ะ"

"ทำไมล่ะคะ"

"เขากลับบ้านไปแล้ว บอกว่าจะตั้งใจเก็บเงิน แล้วมาสู่ขอฉันค่ะ " เสี่ยวซีหร่านพูดจบก็ระบายยิ้มออกมา เพราะยังไงก็ถือว่าเธอไม่ได้โกหก

มู่เวยเวยพูดแซว "งั้นเขาต้องเก็บเงินเท่าไหร่คะ ถึงจะเพียงพอเนี่ย"

เสี่ยวซีหร่านก้าวเข้าไปในลิฟท์ก่อน แล้วก็หันมาตอบเธอ "จริงๆแล้ว แค่เพียงเขารักฉันอย่างจริงใจ เงินเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ แต่เขาอยากทำแบบนี้ ฉันก็เลยไม่ขัดอะไร"

มู่เวยเวยก้าวเข้าไป ยืนเยื้องไปข้างหลังเธอนิดหน่อย "ก็ถูกค่ะ ผู้ชายต้องกล้าได้กล้าเสีย จะว่าไป คุณเป็นคนที่เข้มแข็งมากเลยนะคะ ถ้าผู้ชายทั่วไปเข้ามาคงต้องถอดใจไปก่อนแน่ๆ"

"ไม่เสมอไปหรอกค่ะ แต่ทว่า " เสี่ยวซีหร่านยิ้มบาง "เขาไม่ใช่ผู้ชายทั่วไป เพราะมั่นใจเต็มร้อยมากค่ะ"

"ยิ่งคุณพูดยิ่งน่าสนใจ อยากจะเห็นแล้วสิคะว่าเป็นยังไง ที่สามารถสยบคุณได้อยู่หมัด"

เสี่ยวซีหร่านตอบกลับไปว่า "รอให้เขามีเวลาว่างก่อน แล้วพวกเราจะเชิญมาทานข้าวกันนะคะ"

"ได้ค่ะ"

เสี่ยวซีหร่านแววตาเป็นประกาย แค่เพียงก้าวเข้าไปในร้านแบรนด์ดัง แถมมีมู่เวยเวยที่เป็นดีไซเนอร์มาด้วย สายตาตอนเลือกเสื้อผ้าช่างเฉียบแหลม ทั้งคู่เลือกซื้อเสื้อผ้ากันอย่างสนุกสนาน

ผ่านไปกว่าสองชั่วโมง ในมือของบอดี้การ์ดที่ติดตามทั้งคู่เต็มไปด้วยถุงช้อปปิ้ง

เสี่ยวซีหร่านไม่ได้ใช้การ์ดที่มู่เทียนเย่ให้ไว้ ตอนนี้เธอไม่คุ้นเคยกับการใช้เงินของผู้ชายเท่าไหร่

ตั้งแต่ออกมาจากร้านแบรนด์ดังต่างชาติ ขณะที่ทั้งคู่ยังคงพูดคุยกันเกี่ยวกับชุดที่เพิ่งลองกันมา สายตาของเสี่ยวซีหร่านก็เหลือบไปเห็น ผู้ชายที่อยู่ห่างไปประมาณสองเมตร ท่าทางลับๆล่อๆกำลังจะล้วงกระเป๋าผู้หญิง เพราะผู้หญิงคนนั้นกำลังสนใจชุดที่โชว์อยู่บนหุ่น

เสี้ยววินาทีต่อมาหัวขโมยนั่นก็ล้วงเอากระเป๋าสตางค์สีชมพูออกมา ซึ่งกระเป๋าก็หนาพอสมควร ดูท่าจะมีทั้งเงินและการ์ดต่างๆมากมาย ชายคนนั้นยิ้มพอใจ กำลังจะหมุนตัววิ่งหนี เสี่ยวซีหร่านก็พุ่งตัวเข้าไป ถีบไปที่หลังของผู้ชายคนนั้นเต็มๆ

เสี่ยวซีหร่านใช้แรงเต็มที่ อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว จึงล้มไปกองอยู่ที่พื้น

เกิดเหตุขึ้นด้านหลังผู้หญิงคนนั้น เธอจึงตกใจจนร้องออกมา แล้วนิ่งค้างมองเหตุการณ์ทั้งหมด โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เสี่ยวซีหร่านไม่รอให้หัวขโมยลุกขึ้นมาได้ รีบเเอารองเท้าส้นสูงเหยียบหลังเขาไว้ "กระเป๋าสตางค์ล่ะ หยิบออกมา"

หัวขโมยเห็นว่าเป็นผู้หญิง จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง "กระเป๋าอะไร ปล่อยผมเดี๋ยวนี้"

"เห็นเป็นผู้หญิงน่ารังแกหรอ " เสี่ยวซีหร่านหยิบลูกรักราคาแพงใบใหม่ในมือฟาดไปศีรษะของหัวขโมย "จะหยิบออกมาไหม ถ้าไม่หยิบออกมาคืน เดี๋ยวฉันจะช่วยเอง"

หัวขโมยไม่คิดว่าเธอจะมุทะลุดุดันขนาดนี้ เหลือบมองไปข้างหลังก็มีชายร่างกายกำยำยืนอยู่อีกสองคน จึงรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา "หยิบแล้วๆ อย่าทำอะไรผมเลย"

รีบพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าสตางค์ที่เพิ่งขโมยไปออกมา หญิงสาวที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็เห็นเหมือนเป็นกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง

เสี่ยวซีหร่านเงยหน้าขึ้นมาพูดกับหญิงสาวคนนั้น "ไม่เอาคืนไปหรอคะ คราวหลังเวลาเดินช้อปปิ้งก็ดูแลกระเป๋าดีๆนะคะ"

หญิงสาวคนนั้นก็หยิบกระเป๋าสตางค์คืนจากหัวขโมย แล้วกล่าวขอบคุณเสี่ยวซีหร่าน

เสี่ยวซีหร่านกดแรงเหยียบไปที่กระดูกสันหลังของหัวขโมย ทำให้เขาเจ็บปวดจนกรีดร้องออกมา

"อายุก็ยังน้อย ไปหาอย่างอื่นทำดีกว่าไหม อย่ามาเป็นหัวขโมยแบบนี้ อย่าให้ฉันเห็นอีกนะ ไปซะ" เสี่ยวซีหร่านเตะเขาอีกครั้ง หัวขโมยคนนั้นก็รีบลุกขึ้นและวิ่งหนีไป

มองไปรอบๆเห็นผู้คนไม่น้อยหยุดยืนดูเหตุการณ์วุ่นวายนี้ เสี่ยวซีหร่านจึงหันไปมองในกระจกเพื่อจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ ทำให้มู่เวยเวยที่ยืนตะลึงอยู่เอ่ยขึ้นว่า "ไปกันเถอะ ไปช้อปปิ้งกันต่อค่ะ"

หลังจากที่มู่เวยเวยหายตกใจจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่แล้ว จึงหันไปแสดงความนับถือเสี่ยวซีหร่าน "ซีหร่าน คุณสุดยอดมาก"

เสี่ยวซีหร่านไม่ได้ใส่ใจอะไร "ก็ไม่ขนาดนั้น ก็แค่หัวขโมยคนหนึ่ง" เธอนึกย้อนไปตอนที่เคยถูกหมาป่าไล่ ช่วงที่ออกไปสำรวจ

มู่เวยเวยยังคงแสดงความชื่นชม "สมัยนี้คนที่รักษาความยุติธรรมแบบคุณไม่ค่อยมี คนส่วนใหญ่คิดในแง่ลบ พอเห็นเหตุการณ์แบบนี้ก็คงไม่เข้าไปช่วย"

"ฉันก็เคยโดนปล้นมาเหมือนกันค่ะ จึงรู้สึกโมโหมากไปหน่อย"

มู่เวยเวยนิ่งไป "เมื่อไหร่หรอคะ"

"เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ต่างประเทศ ฉันไปปีนเขากับเพื่อนค่ะ วางแผนกันว่าจะขึ้นไปตั้งแคมป์พักบนยอดเขา แต่ไม่คิดว่าตกดึกจะมีวัยรุ่นคนหนึ่ง เข้ามาขโมยของ ขโมยเอาของที่ใช้ตั้งแคมป์ไปจนหมด รวมทั้งพวกกระเป๋าสตางค์ พาสปอร์ต และของใช้ต่างๆ ครั้งนั้นเป็นครั้งที่โมโหมากจริงๆค่ะ แต่ก็โชคดีที่ฉันกับเพื่อนๆไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร"

เสี่ยวซีหร่านอธิบายสั้นๆอย่างแผ่วเบา ส่วนมู่เวยเวยตั้งใจฟังอย่างตื่นเต้น และถามต่อว่า "แล้วสุดท้ายทำยังไงกันต่อคะ"

เสี่ยวซีหร่านยิ้มเบาๆ "ตอนนั้นที่โดนช่วงประมาณตีสาม ก็มีคนเสนอว่าให้ลงจากเขา แต่เสียงส่วนใหญ่บอกว่า ของก็โดนขโมยแล้วยังจะไม่ได้ขึ้นไปเห็นทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้นอีกหรอ นั่นเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ไหนกัน หลังจากนั้นพวกเราจึงลงมติว่าจะอยู่ต่อ ฉันจำได้ว่าบนยอดเขาลมแรงมาก พัดแรงจนทุกคนมากองรวมกันเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ทุกคนตัวสั่นรอจนถึงเช้า พอพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกแล้ว พวกเราก็ดีใจกันมากๆ รู้สึกว่ามาไม่เสียเที่ยว แล้วฉันก็ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยขนาดนั้นมาก่อนเลยค่ะ"

มู่เวยเวยฟังอย่างหลงใหล จนเธอก็อยากไปเห็นพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกบ้าง

"พาสปอร์ตของคุณหาย แล้วอย่างงี้กับประเทศยังไงคะ"

"ก็ต้องไปสถานทูตเพื่อทำใหม่ไงคะ แต่ตอนนั้นก็ยุ่งยากลำบากมากค่ะ"

หญิงสาวทั้งคู่เดินช้อปปิ้งกันพอประมาณ จนถึงห้าโมงเย็น เสี่ยวซีหร่านที่ตอนแรกจะโทรเรียกมู่เทียนเย่ให้มารับ แต่ว่าฉู่เหยียนที่ตั้งใจอยากชวนไปทานข้าวด้วยกัน บอกอีกว่าไม่ได้มาเมืองAบ่อยๆ ยังไงก็ไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อ

เสี่ยวซีหร่านจึงตอบตกลงไป

หาร้านอาหารจีนท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อสักร้าน เมื่อเข้าไปนั่งด้านใน โทรศัพท์ของมู่เวยเวยก็ดังขึ้น มองชื่อก็เห็นว่าเป็นเย่ฉ่าวเฉิน

"มีอะไรคะ"

"เธออยู่ที่ไหน " เย่ฉ่าวเฉินดูเหมือนไม่ได้อยู่ที่บริษัท เพราะเสียงรอบข้างที่เข้าโทรศัพท์ค่อนข้างดัง "ผมจะไปรับ"

"ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันกำลังจะทานข้าวกับเพื่อน ทานเสร็จแล้วจะให้คนขับรถไปส่งค่ะ"

"โอเค" พูดแค่นี้เย่ฉ่าวเฉินก็วางสายไป

มู่เวยเวยประหลาดใจนิดหน่อย เธอมีความคิดว่า หรือเย่ฉ่าวเฉินจะอยากมาทานข้าวด้วยกัน ไม่คิดว่าจะวางสายไปแบบนี้

แต่เธอคิดมากไป เพราะหลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็เห็นเงาของเย่ฉ่าวเฉินปรากฎ

"คุณมาได้ยังไงคะ" มู่เวยเวยถามอย่างตกใจ

เย่ฉ่าวเฉินยกยิ้ม "พอดีอยู่ใกล้ๆแถวนี้ " พูดพลางหันไปมองเสี่ยวซีหร่าน แล้วยื่นมือออกไป "คุณหนู่เสี่ยวสวัสดีครับ ผมชื่อเย่ฉ่าวเฉิน ได้ยินอาเหยียนพูดถึงอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่รังเกียจ ขอนั่งด้วยคนนะครับ"

เสี่ยวซีหร่านยื่นมือไปจับเพื่อทักทายเบาๆ แล้วคลายออก สีหน้าเรียบนิ่ง "ไม่รังเกียจหรอกค่ะ เชิญนั่งค่ะ "

เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงข้างๆมู่เวยเวย แขนยาวพาดไปที่พนักเก้าอี้ด้านหลัง เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ แต่เสี่ยวซีหร่านไม่ได้มอง ตั้งใจทานอาหารอยู่

"ช้อปปิ้งอะไรมา" เย่ฉ่าวเฉินถามมู่เวยเวยเสียงเข้ม

มู่เวยเวยที่ไม่ค่อยพอใจที่เขามาทานอาหารด้วย แต่ต่อหน้าเสี่ยวซีหร่านไม่สามารถแสดงอาการอะไรมากได้ จึงพูดนิ่งว่า "เสื้อผ้าสองชุดค่ะ"

เย่ฉ่าวเฉินจับความรู้สึกของเธอได้อย่างรวดเร็ว แต่ไหนๆก็มาแล้ว จะให้ออกไปตอนนี้คงไม่ได้ จึงจับมือเธอเบา เพื่อให้เธอหายหงุดหงิด

มู่เวยเวยสบตาเขา แล้วก้มลงมองที่มือตัวเอง

เย่ฉ่าวเฉินหันไปเอ่ยกับเสี่ยวซีหร่านเพื่อทำลายความน่าเบื่อ "คุณหนูเสี่ยวมาเที่ยวที่เมืองA หรือว่ามาทำงานครับ"

"มาทำงานค่ะ"

"อ๋อ ถ้ามาเที่ยว ผมอยากจะแนะนำให้ไปหลายที่เลยครับ อาเหยียนว่างพอดี ให้เธอไปเป็นเพื่อนนะครับ"

เสี่ยวซีหร่านยิ้มเบาๆ "ขอฉันเช็คเวลาอีกทีนะคะ"

แล้วบรรยากาศก็กลับไปนิ่งสงบอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินที่อ่านสีหน้าคนไม่ค่อยออก ไม่รู้ควรทำอย่างไร จึงเป็นตัวเองเหมือนเดิมก็แล้วกัน

เสี่ยวซีหร่านมองใบหน้าเย็นชาของเขา ก็รู้สึกถึงความทรมานจิตใจของฉู่เหยียน จึงรู้สึกโกรธแทนน้องสาวของมู่เทียนเย่ขึ้นมา แล้วถามขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า "คุณเย่วางแผนจะแต่งงานกับอาเหยียนเมื่อไหร่คะ"

เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง พวกเขาไม่คิดว่าเสี่ยวซีหร่านจะถามคำถามนี้ต่อหน้า

"ทำไมคะ หรือฉันถามคำถามที่ไม่ควรถาม" เสี่ยวซีหร่านยังคงยิ้ม แล้วจ้องไปที่เขาไม่วางตา

"ไม่มีอะไรที่ไม่สมควรถามหรอกครับ " เย่ฉ่าเฉินแย้งขึ้นมาทันที "รออีกครึ่งปี ผมก็จะเริ่มคิดเรื่องนี้แล้วครับ"

"ครึ่งปีหรอคะ" เสี่ยวซีหร่านแปลกใจ ครึ่งปีบวกกับหนึ่งปีที่หายไป ก็เป็นปีครึ่ง แบบนี้ตามกฎหมายยังไม่สามารถหย่าได้โดยอัตโนมัติ แต่เธอคิดว่า ถ้าเย่ฉ่าวเฉินอยากจะหย่าจริงๆคงจัดการได้

"ใช่ครับ ครึ่งปี "

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ