จางเหิงเห็นเธอกัดฟันแน่นไม่เปิดปากพูด และเขาเริ่มที่จะหมดความอดทนแล้ว“ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เฮ้ย พวกแก ตัดแขนของลูกมันซะ”
“หา——”หญิงสาวสะดุ้งขึ้น เธอรีบเข้าไปอุ้มลูกไว้ในอ้อมอก จากนั้นก็ตะคอกใส่จางเหิง“อย่ามาแตะลูกของฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะใช้ชีวิตของฉันแลกกับพวกแก”
“เพียงแค่เธอบอกมาว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน ฉันก็จะไม่แตะต้องลูกของเธอ”
“ได้ๆๆ ฉันพูดแล้วๆ”หญิงสาวเปิดปากอย่างกะทันหัน คนที่อยู่ในนั่นเงียบลงไปสักพัก เพื่อฟังเธอเล่า“ตอนเวลาสิบโมงกว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเคาะประตู แต่ว่าฉันไม่ได้เปิดให้ ฉะนั้นเธอก็เดินจากไป แต่ไปที่ไหนฉันก็ไม่รู้”
แน่นอนว่าจางเหิงก็ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เธอพูด กางเกงตัวนั้นเนื้อผ้าและฝีมือการตัดเย็บเป็นของแบรนด์ versace ของแท้ไม่ผิดแน่ และแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะรูปร่างค่อนข้างผอม
แต่ดูแล้วคงจะสวมไม่ได้
จางเหิงใช้สายตามองไปด้านซ้ายขวาเพื่อส่งสัญญาณให้ลูกน้องมาปรึกษากันก่อน จากนั้นก็กระชากลูกชายของเธอออกมาจากอ้อมอกของแม่
“แม่ ผมกลัว——”เด็กชายเปล่งเสียงร้องตะโตนออกมา
“อย่ามาแตะลูกของฉัน”หญิงสาวคิดที่จะวิ่งเข้าไปช่วยลูก แต่ถูกชายสองคนจับไว้เสียก่อน
จางเหิงหยิบมีดยาวที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมาเล่นไปพลางพร้อมกับพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ฉันขอเตือนเธอว่าถ้าหากยังไม่พูดออกมาล่ะก็ เธอรู้ใช่ไหมว่านิ้วที่มันขาดไปมันไม่สามารถจะต่อเข้าไปได้อีกแล้ว ”
น้ำตาของหญิงสาวไหลรินหล่นลงมา คำพูดจุกอยู่ที่ปากแต่เมื่อนึกถึงหน้าของมู่เวยเวยพร้อมกับเห็นแววตาอันบริสุทธิ์ของเด็กคนนั้น ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะเห็นพวกเราได้รับอันตราย เธอขอร้องด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้น “ฉันขอร้องพวกนายเถอะ ฉันไม่ได้พบพวกเธอจริงๆ ที่ฉันพูดมันเป็นความจริง”
“เชอะ!เธอเห็นว่าฉันเป็นตัวตลกหรือยังไง”เขาพูดขึ้นพร้อมกับยกมีดที่มีความวาววับขึ้นมา ปลายมีดที่มลงหวังจะตัดนิ้วของเด็กชาย แต่มีทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเขา
“หยุดนะ!”
จางเหิงบิดมือเล็กน้อย มีดยาวด้ามนั้นฟันลงไปที่ด้านข้างของมือเด็ก ไม่โดนเด็กเลยแม้แต่น้อย
เขายิ้มอย่างสะใจ จากนั้นก็หันหลังกลับไปมองหญิงที่มีสีหน้าคับแค้นเดินออกมาจากห้องที่ซ่อนตัว“มู่เวยเวย ดูเหมือนว่าเธอยังใจอ่อนเกินไป อันที่จริงเมื่อฉันจัดการทุกอย่างจบลง หากว่าเธอไม่ออกมา บางครั้งเธออาจจะหนีรอดไปได้แล้ว”
มู่เวยเวยมีสีหน้าที่ไร้อารมณ์ สายตามีแต่ความรังเกลียด“ฉันไม่ใช่พวกแก ที่จะทำเรื่องที่น่ารังเกลียดและมันเลวทรามแบบนี้ได้ลงหรอก”
จางเหิงเก็บมีดยาวเหน็บลงไปที่เอวเหมือนเดิมและเดินเข้าไปตรงหน้าของเธอพร้อมพูดกับด้วยน้ำเสียงที่เศร้าๆว่า“ฉันอยากจะจัดการเธอในดาบเดียวลงซะที่นี้เลย และกลับไปบอกเจ้านายว่า เธอหนีไปแล้ว เธอคิดว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
“จางเหิง นายคิดว่าสิ่งที่นายทำมันคือสิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำแล้วหรอ?เย่ฉ่าวเฉินทำอะไรไว้กันนาย นายมีปัญญาก็ไปแก้แค้นกับเขาเองสิ จะมาคิดบัญชีกับผู้หญิงอย่างฉัน นายนี่มันไร้ความสามารถจริงๆ”มู่เวยเวยในใจไม่รู้สึกอะไรแล้วเมื่อมาถึงจุดๆนี้ มากสุดก็แค่ตามเขากลับไป ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกต่อไป
จางเหิงถูกคำพูดของเธอกระตุ้นต่อมโมโห เลยตบเข้าไปที่หน้าของเธอหนึ่งที ใบหน้าอันเนียนขาวของเธอบวมขึ้นมาทันที
“เพี๊ยะ——”เข้าไปที่บริเวณข้างหู แต่ครั้งนี้มู่เวยเวยส่งคืนกลับมาให้จางเหิงหนึ่งที
“เป็นอย่างไงบ้าง?รสชาติของการถูกตบมันรู้สึกดีไหม?”มู่เวยเวยยั่วโมโหเขา เธอไม่ใช่มู่เวยเวยคนก่อนที่ยอมเสียเปรียบให้ใครต่อใครอีกต่อไปแล้ว
จางเหิงบีบไปที่คอของเธอ จากนั้นก็พูดขู่เธอว่า“มู่เวยเวย เธอมันรนหาที”
“เอาสิ ฆ่าฉันเลย แล้วดูสิว่ากาวินจะตามมาหานายไหม?”มู่เวยเวยมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
ลูกน้อยไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาตอนไหน หันกลับมามองเห็นฉากนี้เข้าก็รีบวิ่งเข้ามา เด็กน้อยใช้มืออันอวบอ้วนน่ารักน่าชังแกะมือของจางเหิงออกพร้อมกับปากพึมพำร้อง“อ้อแอ้ๆ”เสียงดัง
จางเหิงไม่ได้คลายมือออก แต่กลับมีท่าทางเหมือนปีศาจเพิ่มแรงบีบให้หนักขึ้น ลูกน้อยเห็นแม่หน้าแดงไปหมด เขาก็อ้าปากเล็กๆของเขากัดลงไปที่แขนของจางเหิง
เพราะเขายังเป็นเด็ก ฟันของเขาจึงมีแค่สามสีซีก จะเอาเรียวแรงมาจากไหน แต่ทว่าท่าทางของลูกน้อยให้มู่เวยเวยรู้สึกได้ถึงความประทับใจในชั่วขณะหนึ่ง
แน่นอนว่าเธอไม่อยากตาย และยิ่งไม่อยากตายโดยไม่มีค่าในเนื้อมือของเขาคนนี้ เธอใช้สายตามองดูคนที่อยู่ทางด้านหลังของจางเหิงจากนั้นก็พูดขึ้นว่า“พวกนายจะแค่ยืนมองดูเขาฆ่าฉันอย่างนั้นหรอ?หรือว่าพวกนายไม่กลัวว่าจะถูกเจ้านายลงโทษ?”
ประโยคนี้ทำให้ใครหลายๆคนมีปฏิกิริยาตอบสนอง มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาที่เข้ามาจับที่แขนของจางเหิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า“พี่จาง ใจเย็นๆก่อน ที่เจ้านายท่านเก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ต้องมีประโยชน์แน่ อย่าทำให้พี่น้องของพวกเราลำบากใจเลย”
เมื่อจางเหิงได้ฟังคำพูดประโยคนี้ของเขา ก็รู้ได้ทันทีว่ากาวินมีบทลงโทษลูกน้องได้โหดเหี้ยมมากขนาดไหน
จางเหิงกัดฟันแน่นพร้อมกับมองหน้าเธอ และค่อยๆคลายมือที่บีบคอเธอออก ลูกน้อยก็ค่อยๆอ้าปากปล่อยแขนของเขา
“มู่เวยเวย ความแค้นครั้งก่อนฉันต้องส่งกลับคืนให้เธอแน่”
มู่เวยเวยก็ไม่ได้มีท่าทีที่อ่อนลง “จางเหิง ใครเป็นคนทำใครเป็นคนรับ นายอยากแก้แค้นแน่นอนว่าฉันห้ามนายไม่ได้ แต่คิดให้ดีๆว่าความแค้นนี้ต้องไปชำระกับใคร ไม่ใช่มาลงกับผู้หญิงที่อ่อนแออย่างฉันคนนี้ เพราะแบบนี้ไม่เรียกว่าคนมีความสามารถหรอกนะ”
ดูเหมือนว่าเรื่องมันจะไม่หยุด ชายที่อยู่ทางด้านข้างเข้ามาพูดห้าม “คุณมู่ ถ้าคุณพูดน้อยลงก็ไม่ทำให้คุณตายหรอกนะ มีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดรอให้ถึงตรงหน้าเจ้านายก่อนค่อยพูดจะดีกว่า”
มู่เวยเวย เชอะ ออกมา จากนั้นก็หันหลังกลับไปอุ้มลูกของหญิงสาวคนที่ช่วยเธอไว้ “พี่สาว ขอบคุณมากที่ช่วยฉัน”
“น้องสาว เมื่อกี้เธอไม่จำเป็นต้องออกมา ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกมันจะตัดมือลูกชายของฉันได้ลงคอจริงๆ ”หญิงสาวยังคงพูดด้วยความคิดที่ใสซื่อ
เมื่อมู่เวยเวยมีรอยยิ้มบนใบหน้า ทำให้ทั่วทั้งห้องดูสว่างขึ้นมาทันตา “พี่สาว มันเป็นพวกปีศาจ จิตใจของมันทำได้อย่างแน่นอน หนูต้องไปแล้ว เดิมทีพรุ่งนี้อยากจะโทรศัพท์หาคนที่บ้าน แต่ดูเหมือนว่าคงจะไม่มีโอกาสแล้ว”
พี่สาวเมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้าไปจมูกก็เริมแดงขึ้น “น้องสาว เป็นเพราะพี่ที่ไม่ดีเอง ตอนนั้นไม่ควรที่จะเก็บกางเกงตัวนั้นไว้ เธอคิดดูสิหากว่าฉันโยนทิ้งไปก็คงจะไม่เป็นแบบนี้แน่”
“ไม่หรอก ฉันไม่โทษคุณหรอก นี่คือชะตากรรมของฉัน ที่ต้องมาเจอเรื่องโชคร้ายตลอดๆแบบนี้”
ทั้งสองคนพูดกล่าวคำร่ำลากัน คำพูดพวกนี้เมื่อได้ยินถึงหูจางเหิงก็ทำให้เขารู้สึกสยิวหู จากนั้นก็ผลักที่ไหล่ของมู่เวยเวยพร้อมกับใช้อารมณ์ตะคอกใส่เธอว่า“ไป”
มู่เวยเวยเดินไปด้านหน้าได้เพียงสองสามก้าวจากนั้นเธอก็หยุดและหันมาตะคอดใส่จางเหิงด้วยความโมโหว่า “อย่ามาแตะต้องฉัน ฉันเธอเองได้”
……
เมื่อกลับมาถึงโรงแรมเวลาก็ปาไปเที่ยงคืนแล้ว กาวินยังไม่นอน เขามองดูมู่เวยเวยที่มีสีหน้าท่าทางที่แข็งกร้าว อีกทั้งใบหน้าที่มีการบวมแดง ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของจางเหิง
“มู่เวยเวย หรือว่าช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมาฉันดูแลเธอไม่ดี ?เธอถึงได้หนีออกไป?”กาวินพูดออกมาเบาๆ
ใบหน้าของมู่เวยเวยก็ยังคงไร้ความรู้สึกอยู่ “คนเรามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรตามใจตัวเอง แกยังตามจับฉันได้เลย แล้วทำไมฉันจะหนีไปไม่ได้?”
กาวินจ้องเธอสักพักจากนั้นก็พูดขึ้นว่า“ตามหาจับจนดึกจนดื่น ทุกคนคงจะเหนื่อยแล้ว ไม่พักเถอะ”
เมื่อได้ฟังเขาพูดจบ สามสีคนที่อยู่ในห้องถึงกลับมึนงง
“เจ้านาย คุณจะไม่จัดการทำอะไรเลยหรอ?”จางเหิงถามด้วยความประหลาดใจและความโมโห
กาวินขมวดคิ้วขึ้น ด้วยความรู้สึกรำคาญ“นายคิดจะทำอะไร?ฆ่าเธออย่างนั้นหรอ?หรือว่าอยากจะตัดขาของเธอ?”
“แต่ ก็ไม่ควรที่จะปล่อยเธอไปง่ายๆแบบนี้”
กาวินมีท่าทางที่เคร่งขรึมพร้อมกับพูดว่า“จางเหิง จำไว้ว่าที่เราทำแบบนี้มันมีจุดมุ่งหมายอยู่ พวกเราต้องการจะรีบหาขุมทรัพย์ให้เจอ อย่างอื่นยังไม่สำคัญ หากว่านายทำร้ายเธอตอนนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้แผนที่เราทำมาพัง แต่ยังจะทำให้ข่าวการเคลื่อนไหวของเขาลั่วไหลไปได้ นายคิดว่ามันคุ้มไหม?”
คำพูดของกาวินทำให้เขาพูดไม่ออก ในใจของเขาจะรู้สึกไม่ค่อยมีความสุขเป็นอย่างมาก
“ยังจะยืนอยู่ทำไมอีก?หรือว่าต้องการให้ฉันไปส่งเธอเข้านอน?”ประโยคนี้กาวินพูดกับมู่เวยเวย
มู่เวยเวยสะดุ้ง และรีบอุ้มเอาลูกวิ่งกลับไปที่ห้อง
เตียงด้านข้าง ในขณะที่อลิซกำลังนอนหลับอย่างมีความสุขอยู่นั้น มู่เวยเวยก็ได้นั่งซึมอยู่บนเตียง เธอมีความรู้สึกผิดหวังและหดหู่อยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกเสียดายกับสิ่งที่เธอทำลงไป อย่างน้อยเธอก็ได้ลองพยายามแล้ว เพียงแต่ตอนที่หนีไปไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย จึงทำให้จางเหิงรู้ตัว ครั้งต่อไปเธอต้องระวังให้มากกว่านี้
มู่เวยเวยที่นอนไม่หลับอยู่เตียง สมองของเธอคิดแต่เรื่องที่จะหลบหนี ทันใดนั้นก็เกิดไอเดียดีๆขึ้น เธอคิดวิธีดีๆวิธีหนึ่งออก
ท้องฟ้าไม่นานก็จะสว่างแล้ว อาจเป็นเพราะให้ยานอนหลับในปริมาณที่มากไปจึงทำให้อลิซยังนอนไม่ตื่น กาวินสั่งให้คนมาอุ้มเธอขึ้นรถไป
ส่วนมู่เวยเวยถูกเลือกให้ไปนั่งรถคันเดียวกันกับกาวิน ครั้งนี้เธอจะคิดหนีเห็นทีว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว
“ในเมื่อเธอชอบหนี ต่อไปก็ไม่ต้องอยู่ที่โรงแรมแล้ว ขึ้นเขาไปกับพวกเราจะดีกว่า”กาวินชำเลืองตามองเธอพร้อมกับพูดขึ้น
“อย่างนั้นลูกของฉันจะทำยังไง?”
“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเธอ ไม่อยากจะทิ้งเขาไว้ให้อยู่ที่นี่แล้วเธอก็แอบหนีไปใช่ไหม”
มู่เวยเวยกัดฟันกรอด ในป่ามีความชื้นอยู่มาก เธอต้องสวมเสื้อผ้าให้ลูกหลายๆชั้นถึงจะได้
พนักงานของโรงแรมเข้ามาจัดการทำความสะอาด พบว่าบนเตียงมีกระดาษชำระอยู่หลายแผน บนนั้นยังเขียนข้อความไว้ด้วย เมื่อพนักงานได้เห็นก็รีบเอาไปให้กับเจ้าของโรงแรม
“เจอมันที่ไหน?”เจ้าของโรงแรมถามด้วยความสงสัย
“ก็เจอในห้องที่ผู้หญิงสองคนพักอยู่”
เจ้าของโรงแรมเห็นข้อความที่อยู่บนกระดาษชำระที่เขียนโดยลิปสติก:ฉันชื่อมู่เวยเวย เป็นคนเมือง A ถูกคนพวกนี้จับตัวมา ขอความเห็นใจจากคนมีน้ำใจช่วยฉันแจ้งตำรวจด้วย ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง เธอยังเขียนเบอร์โทรศัพท์ไว้ในกระดาษอีกแผนหนึ่ง:นี่เป็นเบอร์โทรของคนที่บ้านฉัน ชื่อเย่ฉ่าวเฉิน
กระดาษพวกนี้เป็นฝีมือของมู่เวยเวยเขียนขึ้นมาเมื่อคืนนี้โดยใช้ลิปสติกของอลิซ เธอรู้ว่าโรงแรมแบบนี้ เมื่อแขกเช็คเอ้าท์ออกไปพนักงานก็จะเข้ามาทำความสะอาด เธอจึงเอากระดาษพวกนี้ซ่อนไว้ที่ใต้ผ้าปูที่นอน เธอเชื่อว่าพนักงานต้องเห็นมันได้แน่ๆ
“หัวหน้า ทำอย่างไรดี ?จะแจ้งตำรวจไหม?”
“ก็ว่าเรื่องที่ฉันเห็นคนพวกนั้นมีท่าทางแปลกๆ กลางดึกวิ่งลงมาถามฉันว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกไปไหม ที่แท้ก็เป็นคนที่พวกมันจับมา”เจ้าของโรงแรมพูดพึมพำเบาๆ
“หัวหน้า ตกลงคุณจะแจ้งตำรวจไหม คุณก็พูดออกมาสักคำสิ”พนักงานร้อนใจ เห็นหัวหน้ามีท่าทางเหม่อลอย จึงได้ถามขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าของโรงแรมขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า“เธอมีงานอะไรก็ไปทำซะ วันมะรืนนี้ก็จะเป็นวันเทศกาลแล้ว แขกที่มาเยี่ยมชมบนภูเขาต้องมีจำนวนมากแน่ เธอทำความสะอาดห้องของแขกให้ดูสะอาดสะอ้านหน่อย ส่วนเรื่องนี้ฉันจะเป็นคนจัดการเอง”
“ออ”พนักงานจึงเดินหงอยๆออกไป
เจ้าของโรงแรมมองจ้องไปที่กระดาษพวกนั้นสักพัก เขารู้สึกอ่อนไหว หากว่าผู้หญิงคนนั้นถูกขายให้บ้านไหนไปก็จะทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต เขาไม่สามารถที่จะขาดศีลธรรมต่อเรื่องพวกนี้ได้
สุดท้ายเขาจึงได้หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรออกไปตามเบอร์โทรที่เขียนไว้บนนั้น
เสียงรอสายของโทรศัพท์ดังชึ้นเป็นเวลานานพอสมควรก่อนที่จะมีคนรับ เสียงชายคนหนึ่งที่พูดอย่างสุภาพดังเข้ามาในสาย พร้อมกับมีเสียงดังแทรกเข้ามาด้วย
“สวัสดีครับ ขออนุญาตสอบถามว่านั่นคือคุณเย่ฉ่าวเฉินหรือเปล่า?”เจ้าของโรงแรมถาม
“ใช่ครับ แล้วคุณคือใคร?”
“ผมเป็นเจ้าของโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง เรื่องเป็นแบบนี้ ตึดๆๆ——”พึ่งจะพูดได้เพียงครึ่งหนึ่ง โทรศัพท์มีเสียงติดๆขัดๆ เมื่อมองดูแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีสัญญาณอีกแล้ว
“ไอ้โทรศัพท์เฮงซวยนี่ ทำไมเมื่อถึงเวลาที่สำคัญแบบนี้ถึงได้ไม่มีสัญญาณนะ?”เมื่อรอมาสักพัก โทรศัพท์ก็ยังไม่มีสัญญาณกลับมา เจ้าของโรงแรมจึงไปทำงานอย่างอื่น สุดท้ายทำนูนไปทำนี่มาก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย
เมือง A สวนสนุกของเย่ฮวางกรุ๊ป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...