วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 238

มู่เทียนเย่จ้องไปด้วยใบหน้าหงุดหงิด เขาคิดมาตลอดว่าเป็นศัตรูจากภายนอก แต่ที่แท้คนที่อยู่เบื้องหลังก็เป็นหลานชายที่น่าสงสารของตัวเองกับหลานของภรรยาซะเอง”

“พี่สาว พวกเขาไม่ได้บอกหรอว่าจะไปไหน” เสี่ยวซีหร่านถามต่อ

“ไม่ได้บอก”

เย่ฉ่าวเฉินเดินมาตรงหน้าจางเห่อ กระซิบสองสามประโยค จากนั้นจางเห่อก็พยักหน้าและออกไป

ที่จะพูดก็พูดหมดแล้ว และไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลอะไรอีก ทุกคนจึงเตรียมตัวกลับ

ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง ที่พักกลายเป็นปัญหาหลัก เย่ฉ่าวเฉินถามพี่สาว “แถวนี้มีโรงแรมใหญ่ๆหน่อยมั้ยครับ

“แถวนี้มีแต่ภูเขา ไม่มีโรงแรมหรอกค่ะ ถ้าพวกคุณอยากได้ที่พักก็ต้องไปที่เมืองเล็กๆข้างหน้า ขับรถไปประมาณชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้วค่ะ”

“ครับ ขอบคุณมาก ไม่รบกวนแล้ว สวัสดีครับ” เย่ฉ่าวเฉินถอยตัวเดินออกไปข้างนอก แต่ก็ถูกพี่สาวรั้งไว้ก่อน

“คุณคะ พวกคุณต้องช่วยสาวน้อยคนนั้นกลับมาให้ได้นะคะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่สบายใจไปตลอดชีวิต” พี่สาวพูดด้วยความรู้สึกผิด

เย่ฉ่าวเฉินไม่เคยอ่อนโยนกับผู้หญิงคนไหน แต่ตอนนี้เขากลับยิ้มให้หญิงชาวนาแสนเรียบง่ายคนนี้ “พี่สาวสบายใจได้ครับ ถ้าผมช่วยเวยเวยกลับมาได้ ผมจะพาเธอมาเยี่ยมแน่นอน”

พี่สาวรีบโบกมือ “ไม่ๆๆ ไม่ต้องมาเยี่ยมฉันค่ะ ชนชั้นอย่างพวกคุณไม่จำเป็นต้องมาถิ่นทุรกันดาลแบบนี้ แค่ให้สาวน้อยคนนั้นปลอดภัยก็พอแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องการค่ะ”

“แน่นอนครับ”

พี่สาวมาส่งทุกคนจนกระทั่งรถขับลับสายตาไป จากนั้นก็ถอนหายใจและเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลูกชายร้องดังมาจากร้องครัว “แม่รีบมาเร็ว”

พี่สาวตกใจรีบวิ่งเข้าไปในครัว “มีอะไร เกิดอะไรขึ้น”

“ดูสิ”

พี่สาวมองตามนิ้วของลูกชาย ก่อนจะเห็นเงินสามห้อนวางอยู่บนเตาทำอาหารอย่างเรียบร้อย ก้อนละหนึ่งหมื่น ทั้งหมดสามหมื่น นี่เป็นรายได้ของบ้านพวกเขาทั้งปี

พี่สาวไม่ใช่คนโลภ เธออยากคืนเงินให้พวกเขามาก แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้

เดือนตุลาคมในภูเขาถือว่าเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ทำให้ทุกที่มีความหนาวเย็น มู่เทียนเย่กลัวว่าเสี่ยวซีหร่านจะหนาวจึงเอาเสื้อของเขามาคลุมให้เธอ และหญิงสาวก็ยอมรับอย่างง่ายดาย

เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ข้างคนขับเห็นฉากนี้ก็รู้สึกขัดตา ผู้หญิงคนนี้แกร่งกว่าผู้ชายยังจะต้องการเสื้อคลุมอีกหรอ แต่ถ้าคิดดูดีๆ ถ้ามู่เวยเวยอยู่ข้างๆ เขาก็อาจจะห่มให้เธอหนากว่านี้อีก

กว่ารถจะมาถึงในเมืองเล็กๆก็ดึกแล้ว และก็หาโรงแรมได้แค่ที่เดียวเท่านั้น

ดังนั้นจึงเป็นอย่างนี้

วันถัดไปโรงแรมมีห้องว่างไม่พอ เหลืออยู่แค่ห้องเดียว และราคาก็สูงกว่ามาตรฐาน ห้องที่ธรรมดามากๆ แต่ราคาห้องกลับเท่ากับโรงแรมห้าดาวเลยทีเดียว

จางเห่อตั้งใจจะไปนอนในรถ แต่เย่ฉ่าวเฉินกลับบอกว่า “จางเห่อ นายนอนกับฉันก็พอ”

จางเห่อรู้สึกดีใจมาก เพราะเย่ฉ่าวเฉินออกเดินทาง ไม่เคยนอนกับใครมาก่อน

“บัตรประชาชน” เถ้าแก่ยื่นมือออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“ทุกคนเลยหรอครับ” จางเห่อถาม

เถ้าแก่พยักหน้าอธิบาย “ปกติหนึ่งห้อง บัตรประชาชนหนึ่งใบก็ได้แล้ว แต่ตอนนี้เข้มงวดเลยต้องลงทะเบียนทุกคน”

พวกเขายื่นบัตรประชาชนให้เถ้าแก่ จากนั้นเถ้าแก่ก็ลงทะเบียนทีละคน จนเมื่อเขาได้เห็นบัตรประชาชนของเย่ฉ่าวเฉิน เขาก็เผลออ่านออกมาเบาๆ “เย่ฉ่าวเฉินหรอ”

เย่ฉ่าวเฉินหูไวมาก เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองก็มองไปที่เถ้าแก่ “มีปัญหาอะไรมั้ย”

เถ้าแก่ตกใจกับสายตาเขาทันที รีบตอบว่า “ไม่มีอะไรครับ แค่รู้สึกเหมือนเคยเจอชื่อนี้ที่ไหน” ตอนนี้กระดาษชำระที่เขียนชื่อเย่ฉ่าวเฉินกับเบอร์โทรไว้คงกำลังร้องไห้อยู่ก้นถังขยะแล้ว

“เถ้าแก่ในเมืองนี้มีร้านอาหารดีๆมั้ย” จางเห่อถาม ครั้งนี้เขารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลต้องจัดการทั้งเรื่องกินและที่พัก

เถ้าแก่ลงทะเบียนพลางพูด “อ๋อ เดี๋ยวไปตามถนนเส้นนี้ทางทิศเหนือ ห่างไปประมาณห้าร้อยเมตรมีร้านอาหารพื้นเมืองอยู่ รสชาติไม่เลว”

“ขอบคุณครับ”

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ ทุกคนก็ไปกินข้าว ตอนที่มู่เทียนเย่เดินผ่านเคาน์เตอร์แล้วเห็นบันทึกผู้เข้าพักหนาเตอะ เขาก็ใจเต้น หยุดเดินทันที

เมื่อเขาหยุด เสี่ยวซีหร่านก็หยุดตาม ส่วนเย่ฉ่าวเฉินกับจางเห่อเดินไปถึงประตูใหญ่ เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ตามมา จึงเดินกลับไป

เถ้าแก่กำลังเปิดคอมดูละครที่กำลังฮิตตอนนี้ แต่เขาก็รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมามอง และก็เห็นกลุ่มคนที่เพิ่งลงทะเบียนให้เมื่อสักครู่

“มีอะไรมั้ย” เถ้าแก่ถาม

“ทุกคนที่มาพักที่นี่ต้องลงทะเบียนใช่มั้ยครับ” มู่เทียนเย่ถามหน้านิ่ง

“จะมีแค่ช่วงปีใหม่กับวันหยุดที่ลงบันทึกข้อมูลของทุกคน ปกติแล้วไม่มีกฎนี้ ทำไม” ไม่รู้ทำไมเถ้าแก่ถึงรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ

“ช่วงนี้มีคนที่ชื่อจางเหิงมาพักมั้ยครับ”

พอเขาพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็เข้าใจความคิดของมู่เทียนทันที

แก๊งที่ลักพาตัวมู่เวยเวยตอนนี้เขาพวกยืนยันได้แค่คนเดียวก็คือจางเหิง แต่พวกเขาอาจจะใช้บัตรปลอมก็ได้ ขนาดใบหน้ายังทำหนังปลอมมาใส่ได้ แค่บัตรประชาชนไม่กี่ใบก็คงทำได้ไม่ยาก

ถึงอย่างนั้นมู่เทียนเย่ก็ไม่อยากปล่อยเบาะแสไปสักอย่าง

“รอเดี๋ยวนะ ผมขอดูก่อน” เถ้าแก่เปิดสมุดบันทึกอยู่หลายหน้าก่อนจะตอบ “ไม่มีคนชื่อจางเหิง ที่นี่เป็นที่หางไกล ก็มีแต่คนในเมืองอย่างพวกคุณนี่แหละมาพัก”

มู่เทียนเย่รู้สึกผิดหวัง และอดไม่ได้ที่จะถามไปอีกหนึ่งประโยค “งั้นเคยมีคนมาพักเป็นกลุ่มมั้ย มีคนหนึ่งใส่หน้ากากสีเงิน แล้วก็มีผู้หญิงอายุยี่สิบกว่ากับลูกวัยหกเดือน

เถ้าแก่ได้ยินก็สีหน้าเปลี่ยนทันที เขาจำคนกลุ่มนี้ได้ดีมาก รีบพยักตอบ “เคยมาๆ”

“จริงหรอครับ” ไม่เพียงแต่มู่เทียนเย่ เสี่ยวซีหร่าน เย่ฉ่าวเฉินและคนอื่นๆก็ตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน “แน่ใจนะ”

เถ้าแก่ตกใจกลัวกับท่าทางของพวกเขา จึงหดคอลงตอบ “จริงสิครับ วันก่อนมานอนที่นี่คืนนึง พวกคุณถามทำไม”

“พวกเราเป็นญาติของผู้หญิงคนนั้น กำลังออกมาตามหาเธอ” มู่เทียนเย่ตอบอย่างคลุมเคลือ

เถ้าแก่นึกถึงกระดาษทิชชู่ที่ขอความช่วยเหลือนั้นได้ และในที่สุดเขาก็นึกได้ว่าเคยเจอชื่อเย่ฉ่าวเฉินที่ไหน เขาเงยหน้ามองเย่ฉ่าวเฉินและพูด “อ๋อ คุณคือเย่ฉ่าวเฉินหรอ”

“ใช่ผมเอง”

“ตะกี้ผมก็ว่าคุ้นๆอยู่ ตอนนี้นึกออกแล้ว ก่อนออกไปผู้หญิงคนนั้นเอาทิชชู่มาให้ผม แล้วฝากผมแจ้งตำรวจ แล้วบนกระดาษก็เขียนชื่อกับเบอร์โทรคุณด้วย”

เย่ฉ่าวเฉินระเบิดอารมณ์ทันที เขาจ้องเถ้าแก่เขม็งถาม “แล้วทำไมคุณไม่โทรหาผม”

“ผมโทรแล้ว” เถ้าแก่อธิบาย “คุณรับแล้วด้วย แต่พอพูดได้แปบเดียวสัญญาณก็ตัดไป”

“เป็นไปได้ไง ทำไมผมไม่รู้” เย่ฉ่าวเฉินพูดพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา “วันไหน”

เถ้าแก่เปิดสมุดบันทึก “วันที่สิบเก้ากันยา พวกเขาเช็คเอ้าท์ตอนเช้า”

เย่ฉ่าวเฉินหาประวัติการโทรวันนั้นจนเจอ ตอนเช้ามีเบอร์จากเมืองFโทรมา เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขากำลังส่งฉู่เจิ่นหยุนอยู่ พอมีเบอร์เข้าเขาก็รับและพูดแค่ประโยคเดียวแล้ววาง เขานึกว่าเป็นเบอร์มิจฉาชีพจึงไม่ได้โทรกลับ

ที่แท้...ก็เป็นสายขอความช่วยเหลือจากเวยเวย

ความเสียใจถาโถมเข้ามาในใจเขาทันที เย่ฉ่าวเฉินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

เสี่ยวซีหร่านกวาดตามองไปที่ทุกคนแล้วถามเถ้าแก่ “แล้วหลังจากนั้นคุณไม่โทรมาอีกหรอ”

เถ้าแก่พูดอย่างรู้สึกผิด “ตอนนั้นมีเรื่องเยอะมาก ผมเลยลืมเรื่องนี้ไป”

“คุณ!” มู่เทียนเย่เกือบจะตบเขา

ตอนนี้ทั้งสามคนไม่มีอารมณ์กินข้าวแล้ว เสี่ยวซีหร่านจึงพูดกับจางเห่อว่า “คุณพาทุกคนไปกินข้าวแล้วซื้อกลับมาด้วยนะคะ”

จางเห่อมองไปขอความเห็นจากเย่ฉ่าวเฉิน และเย่ฉ่าวเฉินก็ได้แต่พยักหน้า ตอนนี้ในหัวเขาคิดแต่เรื่องที่ไม่ได้รับสายนั้น

มู่เทียนเย่หยิบเงินจากกระเป๋าตังออกมาวางบนโต๊ะ และบอกเถ้าแก่ “มา พวกเรามาหาห้องนั่งคุยกันให้ละเอียด”

เมื่อเถ้าแก่เห็นอารมณ์รุนแรงของเขาก็ไม่กล้ารับเงิน จึงดันเงินกลับไป “พวกคุณถามอะไรผมก็จะตอบ ไม่ต้องให้เงิน”

“ห้ามโกหก” มู่เทียนเย่ขู่อย่างน่าเกรงขาม

เถ้าแก่เหยียดหลังตรง พูดอย่างสัตย์จริง “ไม่แน่นอน ผมเป็นนักธุรกิจต้องซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง ไม่มีทางโกหก และผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนั้น ทำไมผมต้องช่วยด้วย”

“รู้ก็ดี ไปเถอะ”

“นี่....” เถ้าแก่ชี้เงินสดบนโต๊ะด้วยท่าทางลังเล

“เงินค่าอาหารเช้าพรุ่งนี้ พวกซื้อมาเยอะหน่อย” มู่เทียนเย่พูดเสียงเย็น

เมื่อมีข้ออ้าง เถ้าแก่ก็รับเงินอย่างสบายใจ “ห้องทำงานผมอยู่ข้างๆ เข้าไปคุยกันเถอะ”

เมื่อทั้งสี่คนนั่งเรียบร้อยแล้ว สภาพของเย่ฉ่าวเฉินจึงดูดีขึ้นมาบ้าง มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเสียใจขนาดไหน

“คนกลุ่มนั้นมาพักตอนคืนวันที่28....”

เมื่อเถ้าแก่พูดเรื่องที่ตนรู้จนจบ บรรยากาศก็กดดันขึ้นมามาก ทั้งสามคนปะติดปะต่อเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นในใจ

มู่เวยเวยอุ้มลูกหนี และมาซ่อนตัวอยู่ที่บ้านพี่สาว คิดไม่ถึงว่าจะถูกจางเหิงจับได้และพากลับมา แต่จากที่ฟังเถ้าแก่เล่า คนใส่หน้ากากเงินนั่นไม่ได้ทำรุนแรงกับมู่เวยเวย อย่างน้อยคืนนั้นก็ไม่ได้ทำให้มู่เวยเวยต้องลำบากใจ

“คนที่ใส่หน้ากากเงินชื่ออะไร คุณรู้ไหม” เย่ฉ่าวเฉินถาม

“ไม่รู้ครับเขาไม่ค่อยพูด เรื่องทั้งหมดจางเหิงเป็นคนจัดการหมด”

“พวกเขามีทั้งหมดกี่คน” มู่เทียนเย่ถาม

เถ้าแก่นับนิ้วและตอบ “ถ้ารวมเพื่อนของคุณแล้วก็สิบคน ยังไม่รวมเด็ก”

“วันต่อไปพวกเขาไปทางไหน”

“ขึ้นไปบนเขา”

ต้องขึ้นเขาอยู่แล้ว เพราะจุดประสงค์ของพวกเขาที่นี่ก็คือขึ้นเขาหาสมบัติ

“เถ้าแก่ที่นี่มีตำนานมั้ย อย่างเช่นตรงไหนบนเขามีสมบัติอะไรอย่างนี้”

เถ้าแก่หลุดหัวเราะทันที “นี่หนูคนสวย ถ้าบนภูเขามีสมบัติคงไม่เหลือมาถึงตอนนี้หรอก มันน่าจะถูกขุดหมดแล้วแหละ”

เย่ฉ่าวเฉินเงียบอยู่ครู่หนึ่งและพูด “เถ้าแก่ช่วยพวกเราหานายพรานได้มั้ย พรุ่งนี้พวกเราจะขึ้นเขา”

“ไม่มีปัญหา” เถ้าแก่ตอบตกลงและมองพวกเขาอย่างสงสัย “แต่พวกคุณมาหาเพื่อนหรือมาหาสมบัติกันแน่”

“พวกเรามาตามเพื่อน แต่คนกลุ่มก่อนหน้ามาหาสมบัติ” เย่ฉ่าวเฉินอธิบายง่ายๆ

เถ้าแก่งง “แปลกจริงๆ ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่เล็กๆ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าที่นี่มีสมบัติ คนพวกนั้นรู้ได้ยังไง”

“คิดว่ามีคนหลอกมา” เฉ่ฉ่าวเฉินพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกมา จริงๆแล้วเป็นเขาเองที่หลอกพวกนั้นมา

เมื่อถามเรื่องราวทั้งหมดเร็จ พวกจางเห่อก็กลับมาพอดี ในมือเขาถือถุงพลาสติกที่บรรจุกล่องอาหารหลายชนิด

มู่เทียนเย่ลุกขึ้นก่อน “กินข้าวก่อนค่อยคุยกัน”

เย่ฉ่าวเฉินกับเสี่ยวซีหร่านไม่ออกความเห็น

จริงๆสถานการณ์ตอนนี้ดีกว่าที่เย่ฉ่าวเฉินคิดไว้มาก เขาคิดว่าต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาข้อมูลของมู่เวยเวยได้ คิดไม่ถึงว่าแค่วันเดียวจะได้ข้อมูลมากขนาดนี้

เขาเชื่อว่าถ้าตามเบาะแสนี้ไป เขาต้องหาเวยเวยกับลูกเจอ

……

อีกด้านหนึ่ง

ภายใต้การนำทางของคุณฉ่าย กลุ่มของกาวินก็ข้ามน้ำข้ามภูเขามาจนถึงปากถ้ำครึ่งเขา เด็กนอนหลับบนหลังมู่เวยเวยตั้งนานแล้ว และรองเท้าของเธอก็เลอะโคลนจนดูไม่ออกแล้วว่าเป็นแบบไหนสีอะไร

หลังจากเดินเป็นเวลานานเธอก็หมดแรง

เธอนั่งหอบอยู่บนก้อนหินใหญ่ หลังจากที่เธอหนีและไม่สำเร็จในวันนั้น ไม่ว่ากาวินจะไปไหนเธอก็ต้องตามเขาไปด้วย จึงทำให้เธอไม่มีเวลาพัก และโอกาส

แถมอลิซก็แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรกับเธอมากๆด้วย แต่เธอก็เข้าใจดี เธอรู้ว่าถ้าไม่ใช่คำสั่งของกาวิน นอกจากจางเหิงแล้ว อลิซก็เอามีดมาจี้คอเธอหลายครั้งแล้วเหมือนกัน

คุณฉ่ายกับกาวินกำลังกระซิบคุยกันอยู่ไม่ไกล

“คุณว่าถ้ำนี้ใหญ่แค่ไหน” กาวินถาม

คุณฉ่ายมีท่าทีเคร่งขรึมมาก “ผมไม่รู้ แต่ไหนๆก็มาแล้ว ทำไมไม่เข้าไปดูหน่อยล่ะ”

กาวินมองถ้ำทึบ และคิดว่าจะให้ลูกน้องเข้าไปดู แต่เมื่อเห็นมู่เวยเวยนวดขาอยู่ จึงขมวดคิ้วพูด “มู่เวยเวยมานี่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ