เย่ฉ่าวเฉินออกค้นหาท่ามกลางฝูงชนด้วยใจร้อนรนเป็นกังวล เขาถามบรรดาเจ้าของร้านต่าง ๆ ว่าได้พบเห็นหญิงสาวที่สวมหมวกไหมพรมบ้างไหม ทุกคนต่างพากันส่ายหัว
ห้างสรรพสินค้านั้นมีขนาดใหญ่มาก ร้านค้าอยู่ติดกันไปหมด ต่อให้เย่ฉ่าวเฉินมีดวงตาสิบคู่ก็ไม่เพียงพอ บางทีทันทีที่เขาออกจากร้านหนึ่งมู่เวยเวยก็อาจเดินเข้าไปก็เป็นได้
หลังจากหาทั่วชั้นที่ห้าแล้ว แผ่นหลังของเย่ฉ่าวเฉินก็เปียกชุ่มไปหมด ระหว่างนั้นเขายังได้พบกับผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่ง หลังจากรู้ว่าไม่มีข่าวอะไรคืบหน้า ก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น
พ่อแม่ของเด็กไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้กระวนกระวายใจมากขนาดนี้ จึงถามด้วยความสงสัยว่า "คุณเย่ ภรรยาของคุณไม่ได้พกโทรศัพท์มาเหรอครับ?"
"ไม่ครับ" เย่ฉ่าวเฉินหยุดไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล "ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ และยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ครับ"
เมื่อผู้ปกครองได้ยินดังนั้นก็เข้าใจในความหมายของเขาได้ทันที จึงพูดปลอบใจว่า "คุณไม่ต้องกังวลไป จะหาเธอพบได้อย่างแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปลองตรวจสอบดูที่กล้องวงจรปิดได้"
คำพูดของผู้ปกครองคนนั้นสกิดใจเขา ใช่สิ ทำไมเขาถึงลืมไปได้ว่าสามารถตรวจสอบที่กล้องวงจรปิดได้
วิตกร้อนใจจนลืมคิดไปจริง ๆ
"ขอบคุณครับ ผมจะไปที่ห้องกล้องวงจรปิดเดี๋ยวนี้" เย่ฉ่าวเฉินหันตัวกำลังจะไปทางห้องทํางานที่ซ่อนอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เวลานี้เองที่โทรศัพท์ได้ดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาดูและเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นจางเฮ่อ
รีบรับสายทันที
"คุณชาย เจอตัวคุณนายแล้วครับ"
"ที่ไหน?"
"ที่ร้านชานมบนชั้นเจ็ดครับ"
ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกโล่งใจ เขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก "เข้าใจแล้ว ฉันจะรีบขึ้นไปเดี๋ยวนี้ ”
"เจอตัวคุณนายเย่แล้วเหรอครับ?"
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินผ่อนคลายลงอย่างมาก "ใช่ครับ เจอตัวแล้ว อยู่ที่ชั้นเจ็ดครับ"
"โอ้ ชั้นเจ็ดเป็นโซนอาหาร สงสัยว่าคุณนายเย่คงจะหิว" ผู้ปกครองหัวเราะ
"ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะครับ และรบกวนคุณช่วยแจ้งผู้ปกครองท่านอื่น ๆ ว่าไม่ต้องหาแล้ว พรุ่งนี้ผมจะต้อนรับทุกท่านที่บ้านเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ"
"คุณรีบไปเถอะ ผมจะแจ้งให้พวกเขาทราบเองครับ"
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าให้เขา จากนั้นก็รีบอุ้มผิงอันแล้ววิ่งไปที่ลิฟต์
บรรยากาศบนชั้นเจ็ดนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารอันโอชะนานาชนิด จางเฮ่อตะโกนมาแต่ไกลว่า "คุณชาย ทางนี้ครับ"
เย่ฉ่าวเฉินเดินฝ่าฝูงชนไปยังร้านชานม มู่เวยเวยนั่งดื่มชานมชมพูอยู่ภายในร้าน เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาเธอก็ยิ้มจนตาหยี โดยไม่ได้รู้สักนิดว่าการหายไปของเธอจะทําให้เขาตกใจกลัวได้ขนาดไหน
ในตอนนี้ ความโกรธและความกลัวทั้งหมดในใจของเขาก็พลันมลายหายไป โชคดีเหลือเกินที่เธอยังอยู่
เย่ฉ่าวเฉินปรับลมหายใจและเดินเข้าไปในร้าน และนั่งลงบนเก้าอี้ของเธอ มู่เวยเวยส่งหลอดดูดให้และพูดด้วยรอยยิ้มหวาน "อร่อยมาก"
เย่ฉ่าวเฉินจิบตามไปคำหนึ่ง ของเหลวอุ่นๆ รสหวานหอมไหลลงมาในลําคอของเขา ทําให้ทุกเส้นประสาทที่ตึงเครียดอยู่ชุ่มชื้น
เมื่อเห็นมู่เวยเวยมองมาที่เขาด้วยแววตาที่คาดหวัง เย่ฉ่าวเฉินก็พยักหน้าและกล่าวชม "อืม อร่อยจริง ๆ"
มู่เวยเวยยิ้มเบิกบานราวดอกไม้ไฟ หยิบชานมกลับมาและค่อย ๆ จิบต่อไป
ผิงอันที่อยู่ในอ้อมแขนของเย่ฉ่าวเฉินก็เริ่มที่จะอยู่ไม่สุข เขาต้องการลิ้มรสมันบ้าง มู่เวยเวยกำลังจะให้เขาดื่ม แต่กลับถูกเย่ฉ่าวเฉินห้ามไว้ก่อน "เด็กเล็กไม่สามารถดื่มสิ่งเหล่านี้ได้ มันไม่ดีต่อท้องไส้"
"อ้อ" มู่เวยเวยยัดหลอดกลับเข้าไปในปากของเธอ ตอนนี้เธอกลายเป็นคนที่เชื่อฟังเย่ฉ่าวเฉินไปแล้ว
"ต่อไปนี้อย่าหายตัวไปแบบนี้อีกได้ไหม? ทำผมตกใจแทบแย่" เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ตําหนิ เขาเพียงจับมือขาวนุ่มของเธอไว้แน่น นิ้วที่สั่นเล็กน้อยยังคงเน้นย้ำถึงหัวใจที่หวาดกลัวของเขา
มู่เวยเวยหันไปมองดูเขา และดูเหมือนเธอจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงพยักหน้าตอบ
เรื่องของเรื่องก็คือ ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินกำลังคุยกับเหล่าผู้ปกครองอยู่ที่สนามเด็กเล่นบนชั้นสี่ ส่วนทางจางเฮ่อและพวกต่างก็จับจ้องอยู่ที่ผิงอันอยู่นั้น มู่เวยเวยที่นั่งเบื่อ ๆ อยู่บนโซฟา ก็หันไปเห็นเข้ากับเด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไปในมือถือแก้วชานมสีชมพูอยู่ สีสวยมาก
ด้วยเหตุนี้ ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น เธอจึงได้ตามเด็กผู้หญิงคนนั้นไป และเดินตามไปตลอดทางจนถึงชั้นเจ็ด เมื่อเด็กหญิงนั้นเห็นว่าเธอตามมา จึงถามว่าทําไมถึงได้เดินตาม มู่เวยเวยก็ชี้ไปที่ชานมในมือของเธอ
เด็กหญิงชี้ไปที่ทิศทางของร้านชานมและบอกว่าร้านอยู่ทางนี้ มู่เวยเวยก็ค่อย ๆ มองหาร้าน ในขณะที่เธอกำลังสั่งชานมชมพูอยู่นั้น เย่ฉ่าวเฉินก็กําลังตามหาเธอที่ชั้นสี่อย่างบ้าคลั่ง
จากนั้นก็ได้ถือโอกาสทานอาหารกันที่ชั้นเจ็ด ในระหว่างทางกลับบ้าน เย่ฉ่าวเฉินก็ได้พูดกับจางเฮ่อด้วยเสียงดุว่า "เงินเดือนเดือนนี้ของพวกนายจะต้องถูกหัก"
จางเฮ่อก้มหน้าลงและพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า "ครับคุณชาย เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกครับ"
"ถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก นายก็พาพวกทั้งหมดไสหัวไปได้เลย"
"ครับ"
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่ฉ่าวเฉินก็บอกกับพ่อบ้านหวังว่าจะมีแขกมาในวันพรุ่งนี้ ให้เขาเตรียมต้อนรับให้พร้อม
ผิงอันเพลียจากการเล่นมาทั้งวัน ดังนั้นเมื่อนอนลงบนเตียงเขาก็หลับไปทันที เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกดีใจมาก จึงค่อย ๆ อุ้มเขาขึ้นมาและวางลงบนเตียงเล็กที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็คลุมเขาด้วยผ้าห่ม
มู่เวยเวยเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ผมหน้าม้าของเธอห้อยต่องแต่งลงบนหน้าผาก เธอดูเหมือนเด็กหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง
"มานี่สิ นั่งตรงนี้" เย่ฉ่าวเฉินหยิบไดร์เป่าผมออกมาจากลิ้นชักและเตรียมเป่าผมให้เธอ
ผมสั้นก็มีข้อดีของมัน เช่น ใช้เวลาเป่าผมเร็วมาก เพียงไม่กี่นาทีก็แห้งแล้ว
......
งานเลี้ยงต้อนรับเด็ก ๆ ครั้งแรกของผิงอัน แม้แต่สวรรค์ยังเป็นใจ วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใสมาก
เหล่าผู้ปกครองพากันพาลูกน้อยของพวกเขามาที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ พวกเขาต่างตกตะลึงกับการตกแต่งที่โอ่อ่าหรูหราของคฤหาสน์ พ่อบ้านหวังรู้ว่าจะมีเด็ก ๆ มา เขาจึงเตรียมขนมที่เหมาะสำหรับเด็กไว้อย่างมากมาย
ผิงอันเอาของเล่นทั้งหมดออกมาแบ่งปันกับพวกเด็ก ๆ อย่างกระตือรือร้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยมีมาก่อน เย่ฉ่าวเฉินมองดูอยู่ไกล ๆ ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดร้าว นี่คือรอยยิ้มของเด็ก นี่ต่างหากคือสิ่งที่เหมาะสมกับเขาในวัยนี้ เพราะตัวเองคอยปกป้องเขามากเกินไป และประเมินความสามารถในการปรับตัวของลูกชายต่ำเกินไป
ประมาณสิบโมงกว่า เย่ฉ่าวเฉินเดาว่ามู่เวยเวยน่าจะตื่นแล้ว เขาจึงขึ้นไปดูเธอ
ตามที่คาดไว้ หญิงสาวกําลังนอนอยู่ใต้ผ้าห่มและมองออกไปที่นอกหน้าต่าง
"เจ้าหมูขี้เซาตื่นแล้ว รีบลงไปข้างล่างกันเถอะ" เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงที่ข้างเตียงและเอื้อมมือจะไปลูบไล้ใบหน้าของเธอ แต่มู่เวยเวยกลับถอยหลังไปอย่างเย็นชา และหลบมือของเขา ดวงตาของเธอไม่ได้สับสนอีกต่อไป แต่ชัดเจนและห่างเหิน สายตาแบบนี้ทําให้หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินเต้นรัว และเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น
"เวยเวย คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?" มือของเย่ฉ่าวเฉินค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ และถามอย่างระมัดระวัง
มู่เวยเวยลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว เธอโอบรวบผ้าห่มไว้ด้านหน้าเพื่ออยู่ให้ห่างจากเย่ฉ่าวเฉินให้มากที่สุด จากนั้นเธอก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "คุณเป็นใคร?"
สมองของเย่ฉ่าวเฉินว่างเปล่า นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? อย่าบอกนะว่าเธอสูญเสียความทรงจํา?
"เวยเวย ผมคือเย่ฉ่าวเฉิน สามีของคุณ คุณจำผมไม่ได้เหรอ?"
มู่เวยเวยจ้องมองเขาอย่างสงสัย "พูดเหลวไหล ฉันอายุแค่สิบแปดเอง จะแต่งงานแล้วได้ยังไง"
"หือ?" เย่ฉ่าวเฉินทั้งโกรธทั้งขำ "เวยเวย ปีนี้คุณอายุยี่สิบห้าแล้ว ไม่ใช่สิบแปดปี"
"เป็นไปได้ยังไงกัน?" มู่เวยเวยไม่อยากจะเชื่อ "ฉันเพิ่งจะฉลองวันเกิดปีที่สิบแปดไปเมื่อวานนี้เอง"
"สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงนะ คุณอายุยี่สิบห้าปีแล้ว ไม่เพียงแค่แต่งงานแล้ว แต่คุณกับผมยังมีลูกชายด้วยกันอีกคนหนึ่ง ชื่อผิงอัน"
มู่เวยเวยมีสีหน้างุนงง เธอกลืนน้ำลายลงคอ "ฉันยังมีลูกชายอีกคนด้วยอย่างนั้นเหรอ?"
"ใช่แล้ว"
มู่เวยเวยหยิกแขนตัวเองอย่างแรง มันเจ็บมาก เธอพึมพำกับตัวเองว่า "นี่ไม่ใช่ความฝัน นี่ไม่ใช่ความฝัน หรือฉันข้ามมิติมาอย่างนั้นเหรอ? ทําไมจู่ ๆ ถึงอายุยี่สิบห้าปีได้ ทั้งยังแต่งงานและมีลูกแล้วอีกด้วย?"
เย่ฉ่าวเฉินที่ภายนอกดูสงบนิ่ง แต่จากการใช้มือจิกผ้าปูที่นอนไว้แน่นนั้นได้สะท้อนสภาวะอารมณ์ของเขาออกมา
เธอคงไม่......สูญเสียความทรงจําไปจริง ๆ หรอกนะ
แม้แต่ละครโทรทัศน์ก็ยังไม่เลือดเย็นขนาดนี้ มู่เวยเวยได้รับบทละครอะไรมาจากพระเจ้ากันแน่? ทำไมถึงต้องคอยมาทรมานเขาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง"
"ปีนี้ปีอะไร?"
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างสงบว่า "อีกสองวันก็คือวันขึ้นปีใหม่ และก็คือปี 2017"
"ปี 2017?" มู่เวยเวยเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ "เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ มันไม่สมเหตุสมผลที่ฉันจะหลับไปตื่นหนึ่งก็ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว เป็นไปไม่ได้"
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินไม่สามารถทําอะไรได้ เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาและเปิดข่าวให้เธอดู "คุณดูเองแล้วกัน ผมไม่ได้โกหกคุณ"
เย่ฉ่าวเฉินโถมตัวเข้าใส่เธอและกดเธอไว้ใต้ร่างกาย "ได้ นี่ถึงกับแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมเพื่อโกหกผมเชียวเหรอ"
มู่เวยเวยที่กำลังดิ้นรนอยู่ "ฉันความจําเสื่อมจริง ๆ ฉันไม่ได้โกหกคุณ"
มู่เวยเวยปวดเมื่อยไปทั้งเอวและขา และเธอก็ไม่สามารถทนความบ้าคลั่งได้อีก จึงใช้แรงผลักเขาออกไป "ยังมีแขกอยู่ข้างล่างอีก"
"ผมไม่สน" เย่ฉ่าวเฉินวางอำนาจบาดใหญ่ แสดงท่าทีหยิ่งผยอง
"ไม่ได้นะ จะทิ้งพวกเพื่อน ๆ ของผิงอันได้อย่างไรกัน?"
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินคําพูดนี้ เขาก็กัดไปที่ริมฝีปากของเธอก่อนที่จะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ในความเป็นจริง พวกเขาไม่รู้ว่าการที่เย่ฉ่าวเฉินไม่อยู่นั้นเป็นการที่ทําให้ทุกคนสามารถผ่อนคลายและพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น เมื่อเขาอยู่ บรรยากาศก็เหมือนกับถูกกดดัน
เมื่อมู่เวยเวยสวมเสื้อผ้า เธอก็พบว่าบนร่างของเธอมีเนื้อเยอะมาก และเมื่อดูขนาดของเสื้อผ้า ก็ทำให้เธอเกือบจะกรีดร้องออกมา
"ไซส์ L? นี่ฉันใส่ไซส์ L แล้วเหรอ?"
เย่ฉ่าวเฉินได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเธอจะต้องแสดงออกเช่นนี้ เขาพยักหน้าและพูดว่า "ไม่เป็นไร มีเนื้อมีหนังกอดแล้วสบาย"
"มีเนื้อมีหนังของคุณน่ะสิ ฉันเป็นดีไซน์เนอร์นะ จะให้ใส่เสื้อผ้าไซส์ L ได้ยังไง? แล้วยังมีผมที่น่าเกลียดนี่อีก พระเจ้า ฉันทำอะไรลงไปตอนที่ไม่ได้สติ?" มู่เวยเวยอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาออกมา จากนั้นก็ชี้ไปที่เขา "แล้วทําไมคุณถึงไม่ควบคุมอาหารของฉัน"
เย่ฉ่าวเฉินพูดแสดงความบริสุทธิ์ว่า "ตอนนั้นคุณป่วยอยู่ ผมจะกล้าทารุณคนป่วยได้ยังไง? อีกอย่าง ตอนนี้คุณก็ไม่ได้อ้วนนี่ ผมคิดว่าแบบนี้กำลังดี"
"ฉันไม่อยากพูดกับคุณแล้ว" มู่เวยเวยพูดด้วยความโมโห เธอบีบเนื้อที่เอวและหยิกมัน ราวกับว่าอยากจะเฉือนเนื้อเหล่านั้นออกด้วยมีด
เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปจับไหล่ของเธอ มองไปที่ผู้หญิงที่กำลังโกรธเคืองในกระจกแล้วพูดว่า "ในสายตาของผม คุณสวยที่สุดเสมอ ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนไปเป็นยังไงก็ตาม"
มู่เวยเวยรู้สึกตื้นตันใจมากเมื่อได้ยินประโยคนี้ แต่......
"ไม่ ฉันต้องลดน้ำหนัก ต้องลดให้ได้ ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่กล้าส่องกระจกอีกต่อไป"
"มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?" เย่ฉ่าวเฉินไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิง "ผมคิดว่าตอนนี้คุณก็ดูดีมากแล้ว"
"แต่ฉันไม่คิดว่ามันดี คนเราต้องมีเป้าหมายให้ตัวเอง โดยเฉพาะผู้หญิงถ้ายิ่งปล่อยตัวก็จะยิ่งแย่ลงเท่านั้น คุณไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงหรอก" มู่เวยเวยสูดหายใจเข้าลึก แขม่วเนื้อที่หน้าท้อง จากนั้นจึงติดกระดุมเสื้อ
เอาล่ะ เย่ฉ่าวเฉินไม่เข้าใจจริง ๆ นั่นแหละ เขามีความคิดแบบผู้ชายว่า การที่ผู้หญิงลดน้ำหนักนั้นก็เพื่อจะใส่เสื้อผ้าแล้วดูดี จากนั้นก็มาทำให้ผู้ชายพอใจ แต่เขาไม่รู้เลยว่า การที่ผู้หญิงอยากมีรูปร่างที่ผอมเพรียว แล้วใส่เสื้อผ้าได้สวย ๆ นั้น ก่อนอื่นต้องทําให้ตัวเองพอใจเองเสียก่อน
ผมสั้นมากเกินจนไม่สามารถจัดแต่งทรงผมอะไรได้ ยังดีที่เย่ฉ่าวเฉินซื้อหมวกให้เธอไว้มากมาย เธอเลือกหมวกมาสวมใบหนึ่ง ดูไม่เลวเลย
เย่ฉ่าวเฉินเดินจูงมือมู่เวยเวยลงไปข้างล่าง นึกถึงสิ่งสำคัญขึ้นได้จึงถามว่า "ทําไมจู่ ๆ คุณถึงหายดีแล้วล่ะ?"
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกสมองปลอดโปร่ง และยังพอจําอะไรได้อยู่บ้าง"
เย่ฉ่าวเฉินไม่เข้าใจจริง ๆ จึงพูดหยอกล้อขึ้นว่า "ถ้ารู้ก่อนว่าทำแบบนั้นแล้วจะทําให้คุณหายดี ผมทําไปนานแล้ว"
มู่เวยเวยรู้สึกงุนงงเล็กน้อย "ทำแบบไหน?"
เย่ฉ่าวเฉินกระซิบข้างหูเธอ "ก็แบบที่คุณขอร้องให้ผมทำเมื่อคืนยังไงล่ะ"
ลมหายใจอุ่น ๆ พุ่งเข้าไปในหูของเธอ ทำให้เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัว เธอจ้องมองเขาด้วยความเขินอาย "เย่ฉ่าวเฉิน ฉันจะเก็บเรื่องนี้เข้าบัญชีไว้ แล้วจะให้คุณได้ชดใช้แน่"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...