วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 254

คำพูดที่มู่เทียนเย่พูดออกมายิ่งทำให้เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกไม่พอใจ“ทำไมต้องนึกถึงความรู้สึกของนาย?”

“นาย——”เย่ฉ่าวฉันกำลังรู้สึกโมโหสุดๆ แต่เมื่อเห็นแววตาของมู่เวยเวยส่งสัญญาณให้เขาใจเย็น เขาจึงข่มอารมณ์และสีหน้าท่าทางเก็บเอาไว้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง“ใช่ นายเก่ง ฉันยอมแพ้แล้ว ”

มู่เทียนเย่มองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม เพียงแค่น้องสาวอยู่ที่นี่ เย่ฉ่าวเฉินก็คงจะไม่กลาทำตัวมีปัญหา เมื่อนึกถึงเรื่องบุญคุณและความแค้นระหว่างเขากับเย่ฉ่าเฉิน มีหลายต่อหลายครั้งที่ถูกเขากดขี่ข่มเหง และแล้วตอนนี้อำนาจทุกอย่างก็กลับมาอยู่ในมือของเขาแล้ว มันชั่งน่าสะใจจริงๆ

“ใช่แล้ว ซีหร่านบอกว่าเธอเคยไปที่บ้านของเธอ และเคยพอฉันแล้ว แต่ทำไมตอนนั้นเธอถึงดูไม่ออกว่าเป็นฉันล่ะ?”และแล้วมู่เทียนเย่ก็ถามคำถามที่ค้างคางอยู่ในใจเขามาตลอดออกมา

มู่เวยเวยพูดด้วยความรู้สึกแค้นเคืองใจ “ตอนแรกที่ฉันยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็มองเห็นหน้าพี่ไม่ชัด อีกทั้งตอนนั้นคุณพยาบาลก็กำลังรีบทำการช่วยชีวิตฉุกเฉิน ฉันก็ไม่อยากจะรบกวนพวกเขา จึงก็เดินออกไปจากตรงนั้น หากว่าตอนนั้นฉันเดินเข้าไปดูสักหน่อยล่ะก็ ก็คงไม่ต้องมีเรื่องมากมายเกิดแบบนี้หรอก”

มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านมองตากัน เหตุผลง่ายๆแค่นี้เองหรอ

“เทียนเย่ คุณถามเสร็จแล้วใช่ไหม”เสี่ยวซีหร่านนั่งขาไขว่ห้าง กระดิ๊กนิ้วมือเรียกมู่เวยเวยพร้อมกับพูดขึ้นด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่ง“คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ มานี่ๆ มาอธิบายให้ฉันฟังหน่อยว่าทำไมต้องใช้ชื่อฉู่เหยียนมาโกหกฉันด้วย ”

มู่เวยเวยวิ่งเข้าไปคลอเคลียและพูดแบบเขินอายว่า “ซีหร่าน ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ตอนนั้นฉันไม่อาจจะเดาเรื่องพวกนี้ได้ เธอก็ให้อภัยฉันเถอะนะ”

“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ทำไมทุกครั้งที่ถามถึงเรื่องตัวเอง เธอก็ทำเป็นไม่พูดอะไรต่อ ที่แท้เรื่องมันก็เป็นแบบนี้”

“ฮิๆ ซีหร่าน ดูสิ อีกไม่นานเธอก็จะมาเป็นพี่สะใภ้ของฉันแล้ว ต่อไปพวกเราก็จะมาเป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้ว อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับฉันเลยดีไหม?”

เสี่ยวซีหร่านยกมือขึ้นไปบีบที่แก้มเธอ พร้อมกับยิ้มแบบเขินอายและพูดว่า“ใครเป็นพี่สะใภ้ของเธอ?”

“เธอไง พี่ชายของฉันเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดที่โลกใบนี้มีแน่นอน เธอได้แต่งงานกับเขารับรองได้ว่าไม่ผิดคนแน่ ”มู่เวยเวยตบที่หน้าอกเพื่อเป็นการยืนยัน

เสี่ยวซีหร่านไม่ว่าจะยังไงก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อได้ยินมู่เวยเวยพูดแบบนี้แล้วก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้ “เธอไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ฉันทำการตรวจสอบเธอยังไม่เสร็จสักหน่อย

มู่เวยเวยนั่งอย่างเรียบร้อยเหมือนเด็กนักเรียน “ขอโทษนะ ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ฉันไม่ควรโกหกคนที่เป็นเพื่อนรักที่สุดของฉัน ฉันขอโทษจากใจจริงต่อเสี่ยวซีหร่านคนที่รูปร่างเซ็กซี่และหน้าตาดีที่สุดในโลก หวังว่าเธอจะใจกว้างยกโทษให้กับฉันด้วย”

เสี่ยวซีหร่านถูกชมจนเกือบจะลอย เธอลูบเบาๆไปที่หน้าของมู่เวยเวยอีกครั้ง “จะให้ยกโทษให้ ก็ต้องดูว่าต่อไปเธอจะทำตัวดีไหม”

มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู เธอไม่คิดว่าเรื่องนี้จะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย แต่ยังดีใจไม่ถึงสามวินาที เสี่ยวซีหร่านก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า “ฉันรู้สึกว่าแก้มของเธอเนื้อมันชักจะเยอะขึ้นนะ จับแล้วรู้สึกดีจริงๆ เข้ามาให้ฉันลูบอีกทีสิ”

มู่เวยเวยรีบดีดตัวยืนขึ้นและวิ่งหนีการถูกไล่จับจากเสี่ยวซีหร่าน เธอลูบๆคลำๆที่หน้าของตัวเองพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ตอนนี้แค่จับๆก็รู้สึกได้ถึงเนื้ออันนุ่มๆแล้วหรอ ?แย่แล้วๆ หรือว่าฉันจะอ้วนขึ้นจริงๆซะแล้ว ”

“อือ อ้วนขึ้นจากเมื่อก่อนนิดหน่อย แต่ก็ยังสวยมากอยู่ดี”คำพูดปลอบใจของเสี่ยวซีหร่านมันชั่งแผ่วเบา มู่เวยเวยได้ฟังแล้วรู้สึกอยากจะร้องไห้

“ไม่ได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันจะลดน้ำหนัก ถ้าลดไม่ถึงไซส์M ฉันจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาดเลย”

ความรู้สึกส่วนตัวของเย่ฉ่าวเฉิน เขาที่ไม่อยากให้เธอลดน้ำหนัก เรื่องที่เสี่ยวซีหร่านพูดมาทั้งหมดข้างต้น มีเนื้อเยอะๆเวลากอดถึงให้ความรู้สึกที่ดี จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “เวยเวย ไหนเธอลองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอทั้งหมดให้เราฟังหน่อย”

“เรื่องนี้……อันที่จริงมันก็ผ่านไปแล้ว คิดว่าไม่พูดคงจะดีกว่า”มู่เวยเวยยิ้มแบบอ่อนๆ เรื่องบางเรื่องค่อนข้างจะรุนแรงเกินไป เธอกลัวว่าถ้าเล่าไปคนที่ได้ฟังอาจจะเกิดระเบิดอารมณ์ออกมาก็ได้

มู่เทียนเย่แสดงท่าทางอย่างเคร่งขรึม“เวยเวย ตอนนี้กาวินคนนั้น มันหนีไปแล้ว พวกเรากลัวว่ามันจะกลับมาแก้แค้นใหม่ ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องรับทราบเรื่องราว เพื่อที่จะหาตัวเขาให้เจอก่อน วิธีนี้จึงจะเป็นการป้องกันความปลอดภัยของเธอและลูกได้”

เป็นอย่างนี้นี่เอง

มู่เวยเวยกัดริบฝีปากพูด“อย่างนั้นฉันก็จะเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่ฉันจากเมืองAไปแล้วกัน หลังจากที่เครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งหนึ่งในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก……”

เวลาผ่านไปมู่เวยเวยก็ค่อยๆเล่าได้อย่างคล่องแคล่วขึ้น ทั่วทั้งห้องโถงเงียบสงบมาก แขกที่นั่งฟังทั้งสามคนต่างมีท่าทางที่ไม่เหมือนกัน จะมีก็แต่ผิงอันที่ใส่ซื่อกำลังเล่นนิ้วมือของตัวเอง เมื่อเล่นเหนื่อยแล้วก็บีนขึ้นไปนอนหลับซบกับอ้อมอกของเสี่ยวซีหร่าน

ตอนที่เธอเล่าเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นและอันตรายที่เธอได้เจอมาจบลง ท้องฟ้าทางด้านนอกหน้าต่างก็มืดลง ความโกรธของเย่ฉ่าวเฉินเริ่มค่อยๆประทุขึ้น ราวกับว่าจะแผดเผาร่างของเขาเองให้มอดไหม้ได้

แม้ว่ามู่เวยเวยจะเล่าเรื่องต่างๆอย่างไม่ค่อยละเอียด แต่เย่ฉ่าวเฉินก็พอจะเดาได้ถึงอันตรายที่เกิดกับเธอ เขาพึ่งรู้ว่าตอนที่เธอพักอยู่ที่โรงแรมได้ทำการเก็บซ่อนหลักฐานขอความช่วยเหลื่อต่างๆไว้ และยังมีคนโทรศัพท์มาหาเขาแต่พูดรายละเอียดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางคนก็ไม่เคยเห็นหลักฐานขอความช่วยเหลือพวกนี้เลย แต่กลับบางคนกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับตัวเองจึงทำเป็นมองไม่เห็น

แต่ว่าโลกใบนี้ก็มีคนดีๆอยู่มาก หากไม่ใช่ว่ามีคนหลายคนที่หาช่องทางช่วยเหลือมู่เวยเวยแล้วล่ะก็ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะหาตัวเธอเจอ

“ไอ้สารเลว หากว่าฉันจับไอ้กาวินได้ล่ะก็ ฉันจะแร่เนื้อของมันออกมาเป็นชิ้นๆและโยนลงทะเลให้ปลากิน ”มู่เทียนเย่ตบลงที่โซฟาอย่างแรงพร้อมกับกัดฟันพูดด้วยความโมโห

น้องสาวที่เขารักทะนุถนอม นึกไม่ถึงว่าจะถูกไอ้คนสารเลวกาวินทรมานได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังดีที่คนสนิทของมันสองคนอย่างจางเหิงและอลิซได้ตายไปแล้ว มันก็พอที่จะเป็นการระบายความแค้นได้บ้าง

ความแค้นและความโกรธที่อัดแน่นอยู่เต็มอกของเย่ฉ่าวเฉินก็มีแพ้มู่เทียนเย่เลยสักนิด แต่เป็นเพราะว่าผิงอันกำลังนอนหลับอย่างอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะทุบทำลายแจกันดอกไม้สีขาวที่อยู่ทางด้านข้างเพื่อเป็นการระบายไปแล้ว

“พูดไปแล้ว ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นคนที่ใจกล้าพอสวมควรใช่หรือเปล่าล่ะ”มู่เวยเวยหัวเราะเพื่อเป็นการปรับบรรยกาศและหันไปพูดกับเสี่ยวซีหร่านว่า“ตอนนี้ฉันนี่สุดยอดไปเลยนะ ฉันสามารถกางเต็นท์สนามได้ ก่อไฟได้และยังทำอาหารป่าแบบง่ายๆได้ แถมยังมีความกล้ามากๆอีกด้วย เธอจะไม่ลองคิดทบทวนรับฉันเข้าในกลุ่มของเธอดูหน่อยหรอ”

เสี่ยวซีหร่านยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด“กลุ่มอะไร?”

“ก็กลุ่มพวกออกไปผจญภัยอันตรายด้านนอกไง ถ้ามีการเดินทางท่องเที่ยวต่อไปฉันก็จะเข้าร่วมด้วย ”

เสี่ยวซีหร่านไม่ได้คิดอะไรมาก ตอบตกลงออกมาคำเดียว“วางใจเถอะ ถึงตอนนั้นแล้วฉันจะโทรบอกเธอ”

“อย่างนั้นก็ดีเลย”ทันใดนั้นมู่เวยเวยก็นึกถึงคนสองสามคนขึ้นได้ เธอหันกลับไปถามเย่ฉ่าวเฉินว่า“เมื่อกี้ที่พวกคุณพูดว่ากาวินหนีไปได้แล้ว และพวกของจางเหิงล่ะ ?ยังมีคุณฉ่ายอีกคน เขาดีกลับฉันมากๆเลยนะ ไม่ได้คิดทำการขัดขวางเวลาฉันจะทำการใดๆ บ้างครั้งก็แอบช่วยฉันด้วย”

“ฉันปล่อยเขาไปแล้วล่ะ ก็เขานี่แหละที่เป็นคนพาพวกเรามาถึงที่ด้านลงของน้ำตก”เย่ฉ่าวเฉินตอบ

“จางเหิงกับอลิซล่ะ?”

เย่ฉ่าวเฉินไม่มีการพูดตอบกลับแต่อย่างใด เขาและหันกลับไปมองที่มู่เทียนเย่พร้อมกับพูดว่า“ไปในที่ที่พวกเขาควรไปแล้วล่ะ เธออย่าถามอีกเลย ”เขายังไม่ลืมเรื่องที่รับปากไว้กับมู่เวยเวยว่าจะไม่ฆ่าคน แต่ตอนนั้นมู่เทียนเย่เป็นคนออกคำสั่ง ก็ไม่นับว่าเขาผิดสัญญาที่ให้ไว้ใช่ไหม

มู่เวยเวยได้ฟังเขาพูดดังนั้นแล้วก็ไม่ได้มีความรู้สึกตื่นเต้นใดๆ เพราะว่าตอนที่พวกเขาทำการฆ่าคนเพื่อจะแย่งชิงเอารถในตอนนั้น เดิมทีในใจของมู่เวยเวยก็พอเหลือความเห็นใจพวกเขาอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เพราะเหตุการณ์นั้นมันทำให้เธอไม่มีความเห็นใจหลงเหลืออยู่เลย

พวกเขาเป็นปีศาจร้าย ก็สมควรแล้วที่จะได้รับกรรมที่พวกเขาก่อ

ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย

“พูดไปแล้ว เธอไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของกาวินเลยหรอ?”มู่เทียนเย่ขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย

“ไม่เคย ”มู่เวยเวยส่ายหน้าไปมาอย่างจำใจ “ฉันก็ลองจะเปิดหน้ากากเขามาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ก็ทำไม่สำเร็จสักที”

“แล้วถ้าเขายืนอยู่ตรงหน้าของเธอล่ะ เธอจะดูออกไหมว่าคนไหนคือเขา?”

“ก็ยังยากอยู่ดี”มู่เวยเวยพูดอย่างจริงจัง“แต่ ทำไมพี่ถึงรู้ว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นอีกล่ะ?”

ใบหน้าของมู่เทียนเย่เกิดมีรอยยิ้มแสดงออกมาเล็กน้อย“เพราะว่าพวกเราทำลายรังที่อยู่ของมันแล้ว”

“หา?เป็นฝีมือของพวกคุณอย่างนั้นหรอ?”มู่เวยเวยรู้สึกประหลายใจมาก “พวกคุณจะเก่งเกินไปแล้วนะ เรื่องนี้กาวินทำการสืบหามาตลอดว่าใครนะที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ แต่คงไม่นึกสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของพวกคุณ”

เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “เขาอวดดีเกินไป ถึงได้ประมาทพวกเราก็เท่านั้น”

“สรุปว่า ต่อไปหากเธอพบเห็นใครอยู่ด้านนอกที่มีลักษณะคล้ายกาวินหรือมีใบหน้าคล้ายกับเขา ต้องรีบแจ้งให้พวกเราทราบ”

“อือ ได้ ฉันทราบแล้ว”

เมื่อฟ้ามืดลง มู่เทียนเย่กับเสี่ยวซีหร่านพักทานอาหารเย็นที่บ้านตระกูลเย่ จะพูดไปแล้วครั้งนี้เป็นนับว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทานอาหารร่วมกันอย่างสงบสุข

มู่เวยเวยกลัวว่าการทานอาหารมื้อเย็นจะทำให้เธออ้วน อาหารที่เย่ฉ่าวเฉินคีบมาวางให้เธอ เธอก็ไม่มีความสนใจที่จะมองมันเลย เธอทานเพียงแค่ซุบไก่ดำเข้มข้น

เย่ฉ่าวเฉินทนดูไม่ได้ “เธอทานเข้าไปนิดเดียวเอง แผลที่หัวของเธอยังไม่หายดี ต้องทานอาหารบำรุงถึงจะถูก”

“สารอาหารภายในร่างกายของฉันมันมีเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ”แม้ว่ามู่เวยเวยอยากจะทานมากแค่ไหน แต่ทันทีที่นึกถึงไขมันและเนื้ออ้วนๆที่บริเวณรอบเอว เธอต้องใจให้หนักแน่น ไม่กินก็ไม่กิน

“เธอไม่ได้พูดว่าจะเริ่มลดน้ำหนักตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปหรอกหรอ?ตอนนี้ทานไม่อิ่ม และวันพรุ่งนี้จะมีแรงลดน้ำหนักได้ยังไง?”เย่ฉ่าวเฉินพูดเตือนสติเธอ

มู่เวยเวยเหลือบตามองเขาเล็กน้อย“คุณไม่ต้องเอาคำพูดพวกนี้มาสอนฉันก็ได้ ตอนเย็นทานอาหารเข้าไปเยอะๆและไม่ได้ออกกำลังกาย มันก็จะกองกันอยู่ในร่างกายและกลายเป็นไขมัน”

“ใครว่าจะไม่ออกกำลังกาย?เย็นวันนี้เธอจะต้องออกกำลังกายอย่างหนัก”

“พุ——”เสี่ยวซีหร่านที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามเกือบจะพ้นเอาอาหารออกมา มู่เทียนเย่ลูบๆไปที่หลังของเธอเบาๆ และหันกลับไปพูดกับเย่ฉ่าวเฉินอย่างเย็นชาว่า“ตอนพวกเราไปแล้วพวกนายค่อยพูดเรื่องพวกนี้ก็ได้ แต่ตอนทานอาหารก็ควรสำรวมกันหน่อย”

เย่ฉ่าวเฉินยักไหล่พร้อมกับพูดเสียดสีเขาว่า“ล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว จะเสแสร้งทำเป็นใสซื่ออยู่ทำไม?”

และตอนนี้มู่เวยเวยถึงได้เข้าใจความหมายของคำว่าออกกำลังที่เย่ฉ่าวเฉินพูด หน้าของเธอแดงขึ้นทันที พี่ยังอยู่ที่นี่ ทำไมคุณถึงได้พูดเรื่องแบบนี้อย่างไม่อายนะ?

ฝ่ายหญิงทั้งอายทั้งโมโห เธอยื่นมือออกไปบิดที่เอวของเขา เย่ฉ่าวเฉินเจ็บจนกัดฟันร้อง“ปล่อยๆๆ ฉันไม่พูดแล้ว”

“ชิ!”

เสี่ยวซีหร่านมีอาการดีขึ้น เธอดื่มซุบร้อนๆเพื่อเป็นการชุ่มคอ จากนั้นก็ยิ้มแบบเกร็งๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เย่ฉ่าวเฉิน เมื่อกี้นายก็พูดไปแล้วว่าบาดแผลของมู่เวยเวยยังไม่หายดี ทางที่ดีที่สุดนายต้องระงับอารมณ์ของตัวเองหน่อยนะ นายดูขอบตาเวยเวยของพวกเราสิ มันคล้ำไปหมดแล้ว”

“ไม่ต้องการความเป็นห่วงจากเธอหรอก”เขาประชดเธอหนึ่งประโยค

“ฉันไม่ได้เป็นห่วงหรือกังวลนายหรอก แต่เป็นห่วงเวยเวยเขาต่างหาก เดิมทีเป็นดั่งดอกไม้ที่สวยงาม……อู๋ๆๆ……”เสียวซีหร่านยังไม่ทันได้พูดจบ มู่เวยเวยที่อยู่ทางด้านข้างก็ปิดปากของเธอไว้ไม่ให้พูดต่อ เธอหน้าแดงไปหมดและพูดขึ้นว่า“ไม่อนุญาตให้ทุกคนพูดอะไรแล้ว ฉันยังเป็นเด็กอยู่เลย”

เสี่ยวซีหร่านแกะมือของเธอออกและหัวเราะดังพร้อมกับพูดขึ้นว่า“มู่เวยเวย เธอน่าไม่อายจริงๆ ตอนนี้เธอเป็นแม่คนแล้วไม่ใช่หรอ?”

มู่เวยเวยทำหน้าให้หนาเข้าไว้พร้อมกับมีท่าทีที่เจ้าเล่ห์“เป็นแม่แล้วยังไง ก็ฉันยังอยากเป็นเด็กอยู่ พวกคุณที่มีประสบการณ์มากพอแล้วก็ยอมให้ฉันบ้างได้ไหม?”

เสี่ยวซีหร่านยอมแพ้ให้กับความหน้าหนาของเธอ“OK ได้ตามที่เธอขอ”

มู่เทียนเย่หัวเราะพร้อมกับส่ายหัว ทันใดนั้นเขาก็คิดเรื่องๆหนึ่งขึ้นมาได้“อีกสองวันพวกเราจะไปเยี่ยมพ่อกับแม่”

มู่เวยเวยดูจริงจังขึ้นมาทันที“อ่า ตกลง”

มู่เทียนเย่ชำเลืองตาไปมองเย่ฉ่าวเฉินพร้อมกับพูดออกมาว่า“คุณชายใหญ่ตระกูลเย่ หรือว่าคุณไม่อยากจะพาลูกของคุณไปพบคุณปู่กับคุณย่าเขาหน่อยหรอ?”

เย่ฉ่าวเฉินมีท่าทีเย็นชาขึ้น บรรยากาศในห้องเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ถูก มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านรู้สึกมึนงง ในใจกำลังคิดว่าชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ มีแต่มู่เวยเวยที่รู้เรื่องนี้ดี เธอกำลังจะพูดขึ้นว่าชั่งมันเถอะ แต่นึกไม่ถึงว่าเย่ฉ่าวเฉินจะพูดขึ้นว่า“ทราบแล้ว”

มู่เทียนเย่รู้ว่าพ่อกับแม่ของเย่ฉ่าวเฉินตายเพราะอุบัติเหตุ และตายไปตั้งหลายปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้เย่ฉ่าวเฉินมีปฏิกิริยาเป็นเช่นนี้ แต่ว่ามู่เทียนเย่ก็ไม่ได้เป็นคนที่ขี้สงสัยในเรื่องของคนอื่นมากมายขนาดนั้น เพราะว่าทุกคนล้วนแต่มีความลับเป็นของตัวเอง เรื่องของคนอื่นไม่ควรถามมากจะเป็นการดีที่สุด

……

จากที่มู่เทียนเย่ลองเดาดู หลุมฝังศพของพ่อกับแม่ตระกูลเย่น่าจะอยู่ที่บนหุบเขาเล็กๆลูกหนึ่ง เวลาผ่านไปนานมากแล้ว หญ้าก็คงจะขึ้นจนรกไปหมด

เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆใช้มือเช็ดป้ายหน้าหลุมฝังศพของพ่อให้สะอาด ตัวหนังสือและรูปภาพก็โผล่ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของคุณพ่อที่ดูอบอุ่นและดูหล่อเหลา และดูคล้ายกับเย่ฉ่าวเฉินมากๆ

จางเห่อและลูกน้องสองสามคนกำลังจะลงมือถางหญ้าที่มันขึ้นรกออก แต่เย่ฉ่าวเฉินก็พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องหรอก ตอนที่พ่อเกิดก็อยู่เพียงลำพัง หญ้าที่ขึ้นรกพวกนี้ก็เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างคุณพ่อ ให้มันรกไปเถอะ”

ที่หน้าสุสานได้มีการทำความสะอาดไว้แล้ว เย่ฉ่าวเฉินนั่งคุกเข่าลงไป จากนั้นก็กวักมือเรียกมู่เวยเวยและผิงอัน“เข้ามาสิ”

ครอบครัวสามคนคุกเข่าต่อหน้าหลุมฝังศพ เย่ฉ่าวเฉินเผากระดาษเงินไปพลางพูดอย่างจิตใจสงบๆไปพลาง“พ่อ ผมมาเยี่ยมพ่อแล้ว”

สีหน้าของมู่เวยเวยดูสงบมาก อาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยได้สัมผัมใกล้ชิดกับญาติอาวุโสท่านนี้ เธอไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย อย่างมากก็แค่มีความเคารพต่อท่าน

“คุณพ่อ นี่คือเวยเวย เป็นภรรยาของผม และนี่ก็คือผิงอันเป็นหลานชายของท่าน ผมพาพวกเขามาเยี่ยมท่าน ฉ่าวเหยียนไปเรียนต่อที่ยุโรปแล้ว เขาสบายดี พ่อไม่ต้องเป็นห่วง เย่ฮวางตอนนี้ก็พัฒนาขึ้นไปอย่างมาก……”

เย่ฉ่าวเฉินเมื่อเริ่มเปิดปากพูดกับพ่อขึ้น เขาเล่าเรื่องราวต่างๆเหมือนกับว่ากล่าวรายงานประจำปีต่อท่าน เริ่มตั้งแต่เรื่องการใช้ชีวิต เรื่องการทำงาน พูดอย่างระเอียดไม่ขาดตกเลยแม้แต่น้อย

อันที่จริง ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ความรู้สึกที่โศกเศร้าที่อยู่ในใจของเย่ฉ่าวเฉินมันก็ไม่มีหลงเหลือมากมายอะไร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ