นี่คือเด็กวิเศษที่ได้ถ่ายทอดพลังไปหรอ? แต่ก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่แต่แค่ยังเด็กไปหน่อย
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นและพยายามยิ้ม“ มีอะไรเหรอ?”
"ดูสิ เสร็จแล้ว" ผิงอันยกตั๊กแตนขึ้นให้เธอดู นี่คือตั๊กแตนที่เขาถอดชิ้นส่วนออกและต่อขึ้นมาใหม่เป็นเวลากว่าชั่วโมง
"ว้าว ผิงอันเก่งจังเลย" มู่เวยเวยชมเชย จากนั้นชี้ไปคนที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองแล้วพูดว่า "นี่คือลุงเฉินกับลุงซวี่"
ผิงอันทักทายอย่างอ่อนน้อม "สวัสดีครับลุงเฉิน สวัสดีครับลุงซวี่"
ประธานเฉินทั้งสองรู้สึกยินดีและรีบส่งยิ้มกลับพูดว่า "สวัสดีจ้า สวัสดี"
อัยยะ เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ ทำให้คนที่เจออยากอุ้มมาแล้วหอมแก้ม
"ผิงอันมานี่มา ลุงจะพาไปเล่นทางนุ้น ตอนนี้แม่กำลังยุ่ง" มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหรานลุกขึ้นและพาผิงอันออกจากห้อง
มู่เวยเวยเฝ้าดูทั้งสามคนเดินออกไปและพูดต่อ "ประธานเฉิน ประธานซวี่ คุณสองคนเป็นมือขวาและมือซ้ายของฉ่าวเฉิน ช่วงที่เขาไม่อยู่ก็ได้พวกคุณสองคนที่คอยช่วยจัดการทุกอย่างฉ่าวเหยียนและฉันเชิญคุณสองคนมาในวันนี้ จะบอกเรื่องนี้กับพวกคุณ ไม่ได้เห็นพวกคุณเป็นคนนอก"
“คุณนายเย่ไม่ต้องเกรงใจครับ มันเป็นหน้าที่ของเราสองคน”
"ฉ่าวเฉินทางนั้น เรากำลังพยายามอยู่ ไม่ได้ปิดบังพวกคุณแต่ว่านานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ข่าวคราว กลัวว่าจะ...... " น้ำตาของเธอไหลลงมา เธอพยายามอดทนกับเรื่องนี้มาหลายวัน เย่ฉ่าวเหยียนเงียบเขาหยิบกระดาษส่งให้เธอ
ประธานเฉินรู้สึกเศร้าเมื่อทราบข่าว เขาและเย่เฉาเฉินไม่เพียงแต่เป็นแค่คนร่วมงานเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนที่ร่วมสู้มาด้วยกัน
“ คุณนายเย่ คุณกับคุณชายสองอย่าเศร้าไปเลย ประธานเย่อายุยืน ไม่นานเดี๋ยวเขาก็ต้องกลับมา”
"ขอให้เป็นแบบที่คุณพูด" มู่เวยเวยหายใจเข้าลึกๆและสงบลง "พวกเราโอเคกับเรื่องฉ่าวเฉิน แต่มันมีผลกระทบกับหุ้นของเย่ฮวางกรุ๊ป จะมีความผันผวนครั้งใหญ่ คุณสองคนน่าจะรู้ดีกว่าเราว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร "
ใบหน้าของประธานเฉินและประธานซวี่อึ้ง แน่นอนว่าพวกเขารู้ผลที่ตามมาอยู่แล้ว
"คุณนายเย่อยากให้พวกเราทำอะไร?" ประธานซวี่ถามออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“ฉันอยากให้พวกคุณทำสถานการณ์ให้ปกติ ถ้ามีคนถามหาเย่ฉ่าวเฉิน ให้บอกว่าเขาไปต่างประเทศ แล้วเรื่องที่สอง ฉ่าวเหยียนได้เข้าร่วมบริษัทในตำแหน่งรองประธาน เขามีหุ้นมากที่สุดนอกเหนือจากฉ่าวเฉิน แต่เขาไม่มีประสบการณ์ในการบริหารมากนัก ดังนั้นจึงยังต้องให้พวกคุณสองคนคอยช่วย "
การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องที่ประธานเฉินและประธานซวี่คาดไม่ถึง ตามความจริงแล้วหากเย่ฉ่าวเฉินประสบอุบัติเหตุหุ้นทั้งหมดของเย่ฉ่าวเฉินจะตกเป็นของมู่เวยเวย ซึ่งเธอสามารถครอบครองมันเองได้ แต่ไม่คิดว่าเธอยังกล่าวถึงเย่ฉ่าวเหยียน
เธอไม่กลัว......
บอกตามตรงว่าในโลกนี้เห็นแก่ผลกำไรและอำนาจ เป็นเรื่องปกติมากที่คนรวยมักจะเลือดเย็น แต่เธอไม่ได้ใช้เส้นทางปกติ ยอมปล่อยบริษัทไป ถ้าเกิดเย่ฉ่าวเหยียนไม่เห็นหัวเธอ สุดท้ายไล่เธอกับลูกออกจากบริษัทจะทำยังไง?”
“คุณนายเย่ แล้วคุณล่ะ? จะกลับไปที่บริษัทไหม?” ประธานเฉินถาม
มู่เวยเวยไม่ใช่คนโง่ แน่นอนเมื่อรู้ความหมายที่ลึกซึ้งของพวกเขา เธอจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า "ฉันจะไม่ไปที่บริษัทในตอนนี้ ฉันจะไปหาฉ่าวเฉินแม้ว่าจะมีความหวังก็ตาม แต่จะพยายามดู "
"แต่ว่า......" ประธานซวี่เหลือบมองเย่ฉ่าวเหยียนที่มีใบหน้าเรียบเฉย อยากจะเตือนแต่ไม่รู้จะพูดยังไง
มู่เวยเวยยิ้มอย่างเฉยเมย "ฉันรู้ว่าพวกคุณกังวลเรื่องอะไร ฉ่าวเหยียนเป็นคนที่ใจดีมาก ตรงไปตรงมาและฉลาด ถ้าฉ่าวเฉินไม่สามารถกลับมาได้เขาเป็นประธานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเย่ฮวาง อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนตระกูลเย่และน้องชายของฉ่าวเฉิน ฉันหวังว่าพวกคุณจะมอบความไว้วางใจให้เขา ฉันคิดว่านี่ก็อาจเป็นความคิดของฉ่าวเฉินเช่นกัน "
เย่ฉ่าวเหยียนมองไปที่เวยเวยด้วยสายตาที่ซับซ้อน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขามีภาพลักษณ์ที่ดีในใจเธอ เขาคิดว่ามันแย่ซะอีก
เนื่องจากมู่เวยเวยพูดเช่นนี้ ประธานเฉินและประธานซวี่ก็ไม่มีใครคัดค้าน เธอพูดถูก อย่างไรก็ตามเย่ฮวางเป็นของตระกูลเย่ พวกเขาก็เป็นแค่พนักงานเท่านั้น
"อีกอย่าง เมื่อปีก่อนเย่ฮวางกับมู่ซือกรุ๊ปมีความขัดแย้งกัน เป็นเพราะพี่ชายของฉันและฉ่าวเฉินมีความคับข้องใจส่วนตัว จากนั้นพวกเขาก็คืนดีกัน ดังนั้นหากบริษัทประสบปัญหาในวันข้างหน้า ไปหาพี่ชายฉันได้ เขาจะช่วยเย่ฮวางอย่างเต็มที่”
"โอเค เราเข้าใจแล้ว"
หลังจากที่มู่เวยเวยพูดสิ่งที่เธอควรพูดแล้ว เธอก็ปล่อยให้ทั้งสามคนได้สื่อสารกันเธอเชื่อว่าความสามารถของเย่ฉ่าวเหยียนรับมือจัดการกับผู้นำระดับสูงทั้งสองคนนี้ได้
"พวกคุณคุยกันก่อนนะ ฉันจะออกไปดูลูกซะหน่อย"
"โอเคโอเค"
อากาศค่อยๆร้อนขึ้น ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาอุณหภูมิก็สูงขึ้น
มู่เทียนเย่สอนการฝึกสุนัขอย่างปลอดภัยบนสนามหญ้า สุนัขสีขาวราวกับหิมะตัวนี้เขาเพิ่งส่งมาให้เมื่อวาน
เสี่ยวซีหรานมองกลับไปและเห็นมู่เวยเวยเดินเข้ามาช้าๆ ดวงตาของเธอยังคงเป็นสีแดง
“ ร้องไห้อีกแล้วเหรอ?” เสี่ยวซีหรานพูดอย่างช่วยไม่ได้
มู่เวยเวยถอนหายใจ "ฉันทนไม่อยู่"
เสี่ยวซีหรานลูบผมฟูสั้นๆของเธอ“ ยัยซือบื่อเอ้ย”
"ฉันไม่ได้ซื่อบื่อเว้ย" มู่เวยเวยโต้กลับอย่างอ่อนแรง
“เธอเตรียมตัวจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” เซียวซีหรานถามถึงเรื่องจะไปหาเย่ฉ่าวเฉิน
"พรุ่งนี้"
“ เร็วจัง?เท้าของเธอหายแล้วหรอ?” เซียวซีหรานชำเลืองมองไปที่ฝ่าเท้าที่ยังพันด้วยผ้าก๊อซ
มู่เวยเวยยกขาขึ้นแล้วขยับ“ เกือบจะหายแล้ว ฉันรอไม่ได้อีกแล้ว ฉันแค่นึกถึงเขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่ไหนสักแห่งแต่ฉันกล้บอยู่ในคฤหาสน์โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารความเป็นอยู่อะไรเลย ฉันก็รู้สึกกังวลนั่งไม่นิ่ง”
“ แล้วผิงอันล่ะ? จะทำยังไง?”
มู่เวยเวยมองไปที่มองไปที่เจ้าตัวเล็กที่กำลังเล่นกับซามอยด์ตัวน้อย ด้วยความอ่อนโยนในดวงตาของเธอ "ให้เขาอยู่บ้านนี่แหละ ข้างนอกมันอันตรายเกินไป อีกอย่างฉันไม่ใช่ไปแล้วจะไม่กลับมานิ ตอนเช้าออกไป เมื่อตกดึกก็จะรีบกลับมา”
"ถ้างั้นก็โอเค พาคนไปหลายๆคน" เซียวซีหรานเตือน
“ ฉันรู้แล้ว จางเหอจัดให้แล้ว เธอล่ะ? เธอกับพี่ชายของฉันจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?” มู่เวยเวยยิ้มอย่างสดใสและมีร่องรอยของความเศร้าอยู่
"รีบทำไมกัน? เราเพิ่งเจอกันไม่ถึงปี ฉันอยากมีความสุขกับช่วงเวลาแห่งความรัก ใช่สิ ฉันจะกลับไปที่เมือง S กลางคืนนี้ ถ้าอารมณ์ไม่ดีโทรหาฉันได้นะ "
มู่เวยเวยไม่อยากให้เธอกลับ จับแขนของเธอและพิงศีรษะบนไหล่ของเธอ "ก็จริง เธอไม่ได้กลับเมืองSมานานแล้ว"
"พรุ่งนี้เป็นวันแรกของการทำงาน ตามปกติแล้ว ฉันต้องไปเช็คที่ร้าน" เซียวซีหรานจับใบหน้าที่เย็นชาของเธอ "ราวกับว่าต้องใบ้เวลาทั้งวันที่นั่น"
“ ก็ใครให้เธอเป็นคนรวยล่ะ?” มู่เวยเวยยิ้มและแซว
เสี่ยวซีหรานบีบหน้าเธอและหยุดพูด
ดวงอาทิตย์ยิ่งอยู่ยิ่งร้อนขึ้น จนคนที่ตากแดดรู้สึกอบอุ่น
ส่งคุณเฉินกับคุณซวี่ก่อน จากนั้นก็ไปส่งมู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่าน มู่เวยเวยนั่งมองดูผิงอันแกล้งเจ้าซามอยด์ เย่ฉ่าวเหยียนเดินมาพร้อมกับผ้าห่มและวางไว้บนขาของเธอ
"อุณหภูมิยังต่ำ เดี๋ยวเป็นหวัด" เขาพูดอย่างเรียบเฉย
มู่เวยเวยเอนหลังและพูดอย่างเขินอายว่า "ขอบคุณ"
"ไม่เป็นไร" เย่ฉ่าวเหยียนนั่งข้างๆเธอ "ผิงอันชอบเจ้าซามอยด์ตัวนี้มากเลยเนอะ"
“อืม ชอบมากเลยแหละ วิ่งกับมันทั้งวันแทบจะจนถึงเวลานอน” มู่เวยเวยหัวเราะ
แสงแดดเคลื่อนมาที่คนทั้งสองเล็กน้อย เงียบไปชั่วขณะ เย่ฉ่าวเหยียนพูดขึ้นว่า "เวยเวย ระหว่างเราไม่มีอะไรจะคุยแล้วหรอ?"
มู่เวยเวยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปมองดวงตาที่บริสุทธิ์ของเขา“ฉ่าวเหยียน เธออยากพูดอะไร?”
“ ตั้งแต่ฉันกลับมา เธอก็เอาแต่หลบฉัน เธอกลัวอะไร?”
มู่เวยเวยสำลักและพูดด้วยความโกรธเล็กน้อย "ฉันกลัวอะไร เธอก็รู้ดีที่สุด"
เย่ฉ่าวเหยียนหัวเราะเยาะ "เธอกลัวฉันยังชอบเธออยู่งั้นหรอ? ตามจีบเธอ?”
มู่เวยเวยรู้สึกอาย ไม่รู้จะตอบยังไงให้ดูเหมาะสมดี
"ฉันมีความรับผิดชอบและอยากบอกเธอ เวยเวย เธอคิดมากเกินไป" เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างจริงจัง
มู่เวยเวยแปลกใจเล็กน้อย เขาหมายความว่าเขาไม่ได้ชอบเธอแล้ว?
เย่ฉ่าวเหยียนดูเหมือนจะตัดสินใจแล้ว“ เวยเวย ฉันเคยชอบเธอมาก่อน แต่เวลาจะเจือจางทุกอย่าง ตอนนี้ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอคือความรักในครอบครัวและแน่นอนว่ายังมีมิตรภาพ”
“ จริงหรอ?” มู่เวยเวยดูประหลาดใจ
“ แน่นอนมันเป็นความจริง ฉันเคยพูดโกหกด้วยหรอ?”
มู่เวยเวยก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก "ทำไมไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้ฉันเกรงมาตั้งหลายวัน"
เย่ฉ่าวเหยียนไร้เดียงสามาก "ก็เธอไม่ได้ถามฉันนิ"
"ใช่ใช่ใช่ มันเป็นความผิดฉันเอง ฉันควรถามเธอตั้งแต่วันแรกที่เธอกลับมา พวกเราทั้งสองคนก็ไม่ต้องก้ำๆกึ่งๆแบบนี้ ทุกคำที่จะพูดออกมาต้องคิดเกือบครึ่งวัน "เวยเวยก้าวกลับมาและพูด
"มันไม่ใช่นิสัยของเธอนิ" เย่ฉ่าวเหยียนแกล้งเธอ
มู่เวยเวยกลอกตาให้เขา“ก็เธอบีบบังคับไม่ใช่หรอ?”
"จะว่าไปแล้วก็เป็นความผิดของฉัน" เย่ฉ่าวเหยียนยักไหล่และการแสดงออกของเขาก็อ่อนโยนขึ้น "หนึ่งปีมานี้ฉันอยู่ที่ยุโรปได้คิดอะไรเยอะมาก อาจจะเป็นเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ฉันตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เลยทำให้หวาดระแวง แต่พอเดินออกมาแล้วก็พบว่า......”
เจออะไร เย่ฉ่าวเหยียนก็ไม่พูดต่อ มู่เวยเวยถามด้วยความสงสัย "พบอะไร?"
"โลกนี้กว้างใหญ่และผู้หญิงที่สวยงามมีเยอะเหมือนก้อนเมฆ"
"ความคิดนี้ก็ไม่เลว" เมื่อพูดถึงตรงนี้ ในใจของมู่เวยเวยได้รับการคลี่คลาย แล้วเธอก็หันไปถามเขาว่า "คุณคุยกับรองประธานทั้งสองเป็นไงบ้าง?"
"ไม่เลว พรุ่งนี้ฉันจะไปที่บริษัท "
“ ฉันบอกแล้ว เธอฉลาดขนาดนี้ รับมือได้”
เย่ฉ่าวเหยียนถอนสายตาจากเด็กและมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขา "เวยเวย ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่เย่ฮวางยังอยู่ เธอกับผิงอันก็ไม่มีอะไรต้องกังวล"
“ฉันเชื่อเธออยู่แล้ว ผิงอันเป็นหลานเธอ เธอจะกล้าเพิกเฉยได้ไง และในใจของฉัน เธอยังเป็นเด็กน้อยที่รักษาคำพูดและใจดีคนนั้น” ใบหน้าของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยรอยยิ้มจางๆ อบอุ่นมาก
"เด็กน้อย? ขอเหอะ ปีนี้ฉันอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว" เย่ฉ่าวเหยียนไม่พอใจกับชื่อนี้
มู่เวยเวยพูดเสียงแข็ง“ อายุที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียงผิวเผิน จิตใจของคนหนึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลง อย่างน้อยฉันเชื่อว่าเธอจะไม่เปลี่ยนแปลง”
ทันใดนั้นหัวใจของเย่ฉ่าวเหยียนก็เริ่มหนักอึ้ง เขาเลิกคิ้วและยิ้มเล็กน้อย "ใช่ มันจะไม่เปลี่ยนแปลง"
“ว่าแต่ ถ้าเธอไปทำงานที่บริษัทแล้ว ทางโรงเรียนจะทำยังไง?”
เย่ฉ่าวเหยียนยืดหลัง เก้าอี้ของเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามและพูดด้วยความงัวเงีย "พักโรงเรียนไว้ก่อน ถ้ามีเวลาค่อยไปเรียนทีหลัง"
มู่เวยเวยรู้สึกเจ็บปวดในใจเมื่อได้ยินคำว่า "ทีหลัง" ทีหลัง? ทีหลังของเธอจะทำยังไง?
ถ้าเย่ฉ่าวเฉินตายจนกโลกนี้ไป เธอจะทำยังไง?
เธอไม่เคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้ เธอไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้เพราะเมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้น้ำตาก็จะไหลออกมา
“ พรุ่งนี้ระหว่างทางดูแลตัวเองดีๆนะ ไอ่สารเลวที่ทำพี่ชายฉันยังจับตัวไม่ได้ ฉันกลัวว่าเขาจะใช้โอกาสนี้ทำอะไรเธอ”
"ฉันรู้แล้ว จางเหอพาคนจำนวนมากไปด้วย" ทันทีที่มู่เวยเวยพูดจบ ก็เห็นผิงอัน "ตูบ" ล้มลงบนสนามหญ้า เธอกังวลและลุกขึ้นเพื่อช่วยเขา แต่ในวินาทีถัดมา ผิงอันลุกขึ้นเองโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆและวิ่งไล่ตามซามอยด์เหมือนเดิม
เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยกย่องว่า "ผิงอันเป็นเด็กที่ปราศจากความกังวลและแข็งแรงที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา"
“ อืม เขาก็เป็นแบบนี้แหละ” มู่เวยเวยรู้สึกยินดีมาก
เย่ฉ่าวเหยียนเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างลึกซึ้งและหยุดพูด
เพื่อที่จะปัดเป่าความกังวลในใจของเธอ เย่ฉ่าวเหยียนพยายามหักห้ามใจ จริงๆเขารู้ว่าจิตใจเธออยู่ที่ไหน เขาจึงไม่กล้าแตะต้องมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ เขาทำได้เพียงแค่ถอยห่างออกไป
เขายังรักเธออยู่ แต่ก็เบาลงกว่าปีที่แล้ว ไม่ได้ขนาดนั้นแล้ว
สองสามวันที่ผ่านมาเขานอนไม่หลับและคิดมาก ถ้าพี่ชายกลับมา เขาจะกลับไปยุโรปอีกครั้ง และเรียนวิชาเอกที่เขาชอบ แต่ถ้าพี่ชายของเขาไม่กลับมาจริงๆ เขาจะอยู่เคียงข้างเวยเวย และผิงอัน
เขาจะไม่บังคับให้เธอตกหลุมรักตัวเอง เขาต้องการความจริงใจของเธอ แม้ว่าจะเป็นเวลานาน แต่กับสิ่งนั้นเขาสามารถรอได้ตลอดชีวิต
แน่นอนว่าหากเธอตกหลุมรักชายอื่น เขาก็จะส่งคำอวยพรที่จริงใจที่สุดไปให้
วันที่แปดของฤดูไม้ใบผลิ มีแดดจัดและลมแรง
ในตอนเช้า เย่ฉ่าวเหยียนสวมสูทและรองเท้าหนัง วันนี้เป็นวันแรกที่เขาเข้าทำงาน เขารู้ดีว่าอนาคตเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่นี่คือสิ่งที่เขาควรรับผิดชอบในฐานะตระกูลเย่
มู่เวยเวยสวมแจ็คเก็ตและดูอบอุ่นมาก
เมื่อเธอลงมาจากชั้นสองเธอตกอยู่ในภวังค์ เมื่อเห็นหลังของเย่ฉ่าวเหยียน เขาดูเหมือนเย่ฉ่าวเฉินจริงๆ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเย่ฉ่าวเหยียนหันกลับมาและบังเอิญจับได้ว่าเธอเหม่อลอย
"ตื่นแล้วหรอ? ฉินหม่าทำโจ๊กรสโปรดของเธอ รีบไปกินสิ" เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
มู่เวยเวยฝืนยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดติดตลกว่า "ไม่คิดว่าเธอใส่ชุดสูทแล้วจะดูหล่อเหลาขนาดนี้ ตายแล้ว ฉันได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของสาวๆในบริษัทแล้ว"
"ขอบคุณสำหรับคำชม ฉันไปบริษัทก่อน วันนี้เธอก็ระวังตัวด้วย ขายังไม่หายดีอย่าเดินเยอะมากนะ ถ้ามีอะไร......"
มู่เวยเวยขัดจังหวะเขาทันที "โอยให้ตายสิ เธอทำไมพูดมากขนาดนี้? รีบไปรีบไป"
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวเดินออกไป ขึ้นรถ
อันที่จริง เขาออกไปได้ตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว รอนานขนาดนี้ก็เพื่ออยากจะทักทายเธอก่อน แต่เธอกลับรู้สึกเฉยชา
หลงใหล
หลังทานข้าวเสร็จ มู่เวยเวยก็ออกเดินทางไปกับจางเหอและคนอื่นๆ คราวนี้จางเหอพาบอดี้การ์ดที่คล่องแคล่วว่องไวไปด้วย
ก่อนออกจากบ้าน ผิงอันเสียใจมากและอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของผู้ดูแลหวัง แน่นอนว่าเขาไม่มีความสุข เมื่อวานนี้ยังมีลุงป้าน้าอาและแม่อยู่ที่บ้านหลายคนเล่นกับเขา แต่หลังจากตื่นมา ทุกคนก็ไปหมดแล้วเหลือแต่ปู่กับย่า และซามอยด์อีกตัว เขาจะดีใจได้ยังไง?
“ เดี๋ยวกลับคืนแม่ก็กลับมาแล้ว แม่จะไปตามหาพ่อ ผิงอันไม่อยากเจอพ่อหรอ?” มู่เวยเวยเล้าโลมเขาเบาๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...