วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 261

ขณะเดินไปที่ห้องสอบสวน สารวัตรเว่ยก็แนะนำไปด้วยว่า “ เมื่อวานเราพยายามสอบสวนมาสิบกว่าชั่วโมง และสุดท้ายหนึ่งในนั้นก็บอกว่า พวกเขาทั้งหมดแปดคนเป็นคนไร้สัญชาติ ได้รับการว่าจ้างให้มาที่เมืองA และคืนวันที่ 27 ได้โจมตีบ้านตระกูลเย่ แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังอีก พวกเขาไม่ได้รับคำสั่ง”

“ใครเป็นคนจ้างของพวกเขา” มู่เวยเวยถามแทรก

“พวกเขาไม่รู้ พวกเขาเห็นเคยเห็นแค่ครั้งเดียว และอีกฝ่ายก็สวมหน้ากากด้วย”

จางเห่อกับมู่เวยเวยมองหน้ากัน คือกาวินจริงๆ

สายตาของผู้สารวัตรเว่ยแข็งขึ้น เขาเดาความคิดของพวกเขาได้ในทันที จึงถามว่า “พวกคุณรู้ใช่ไหมว่าเป็นใคร”

“พวกเรารู้จักชายสวมหน้ากากค่ะ เขาชื่อกาวิน” มู่เวยเวยพูดตามความจริง “ก่อนหน้านี้ฉันเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศกับเย่ฉ่าวเฉิน และคนคนนี้ก็ลักพาตัวฉัน”

ลักพาตัวหรอ สิ่งแรกที่สารวัตรเว่ยคิดคือทำไมไม่แจ้งความ แต่แค่แปบเดียวเขาก็คิดคำตอบให้ตัวเองได้ เพราะว่าอยู่ต่างประเทศไง

“จางเห่อ คืนนั้นคุณได้ต่อสู้กับคนกลุ่มนี้ วันนี้คุณมาช่วยชี้ตัวหน่อย เราจะได้ปิดคดี ส่วนหัวหน้าเราจะดำเนินการตรวจสอบต่อไป”

“ขอบคุณค่ะสารวัตรเว่ย”

“ไหนๆแล้วคุณก็มาชี้ตัวด้วยแล้วกัน ว่าคนพวกนั้นอยู่ในนี้ด้วยมั้ย”

มู่เวยเวยพยักหน้า เธอมาที่สนานีตำรวจในวันนี้ก็เพราะเหตุผลนี้

เมื่อมาถึงห้องสอบสวน มู่เวยเวยและจางเหอยืนอยู่ด้านนอกกระจกพิเศษ สารวัตรเว่ยผลักประตูเข้าไปและพูดบางอย่างกับตำรวจที่อยู่ข้างใน จากนั้นปิดประตูและออกมา

ไม่นานชายชาวต่างชาติคนหนึ่งก็เดินออกมาจากประตูเล็กของห้องสอบสวน เขาเป็นชายร่างกำยำ ถูกใส่กุญแจมือที่มือและเท้า

เมื่อเขามองตรงมา มู่เวยเวยก็ก้มหัวลงทันที

“ไม่ต้องกลัว เราเห็นพวกเขา แต่พวกเขาไม่เห็นเรา”

เมื่อมู่เวยเวยได้ยินดังนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นด้วยความโล่งใจ

ไม่ต้องมองหน้าแค่ดูรูปร่างมู่เวยเวยก็ให้คนแรกผ่านไปทันที เขามีกล้ามไม่ใช่กาวิน

มู่เทียนเย่ใช้โทรศัพท์แจ้งคนที่อยู่ข้างในว่า “เปลี่ยน”

คนที่สองเข้ามา เขาเป็นผู้ชายผิวคล้ำ รูปร่างผอมสูง เบ้าตาลึก นี่ก็ไม่ใช่กาวินเช่นกันอย่างเห็นได้ชัด

คนที่เจ็ดผ่านไป สารวัตรเว่ยพูดว่า “เหลือคนสุดท้ายแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่มีคนที่ชื่อกวินเลยหรอ”

จางเห่อส่ายหน้า “ไม่มี ผมเคยเห็นกาวิน ถึงเขาจะสวมหน้ากาก แต่เขาสีผิวเขาก็เป็นอย่างคนจีน และเขาพูดภาษาจีนได้ชัดมาก”

“โอเค ปล่อยคนสุดท้ายเข้ามา” สารวัตรเว่ยพูดกับด้านใน

ผู้ต้องสงสัยคนที่แปดถูกนำตัวเข้ามา มู่เวยเวยและจางเหอตกตะลึงทันที เขาเป็นคนจีน สูงพอๆกับกาวิน แต่ที่น่าแปลกก็คือเขาดูธรรมดามาก ถ้าเดินอยู่บนถนนจะไม่มีใครรู้จักเขาเลย เขายิ้มมุมปาก และมองไปที่กระจกแก้วอย่างเย็นชาราวกับว่าเขารู้ว่ามีใครอยู่ข้างหลังนั้น

มู่เวยเวยมองเข้าไปในดวงตาของเขา พยายามที่จะหาความรู้สึกคุ้นเคยในดวงตาของเขา แต่ก็ล้มเหลว ดวงตาเป็นสีน้ำตาลอมเทาในขณะที่ดวงตาของกาวินเป็นสีดำเข้ม และเธอก็ไม่มีความรู้สึกคุ้นเคย

“ผิงอัน นั่นใช่อาๆมั้ยลูก” มู่เวยเวยไม่แน่ใจจึงถามลูกในอ้อมแขน

ผิงอันเหลือบมองและส่ายหน้า “ไม่ใช่อาๆ”

มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นมองจางเห่อ “คุณคิดว่าไง”

“ผมก็ว่าไม่เหมือน” จางเห่อพูด

มู่เวยเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่าเธอไม่ควรสรุปง่ายแบบนี้ เธอจึงพูดกับสารวัตรเว่ยว่า “ฉันเข้าไปคุยกับเขาได้ไหม อยากฟังเสียงเขา”

“ได้”

มู่เวยเวยส่งผิงอันให้จางเห่อ และตามสารวัตรเว่ยเข้าไปในห้องสอบสวน

ชายคนนั้นมองเธอปรากฏตัวด้วยใบหน้าเย้ยหยัน

“ นายคือแกคือกาวินใช่มั้ย” มู่เวยเวยถามไปตรงๆ

สายตาของเขาปรากฎความประหลาดใจ แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เขาเป็นใครฉันไม่รู้จัก”

โอเค เสียงไม่เหมือนเลยสักนิด จากนั้นจึงออกมาจากห้องสอบปากคำโดยไม่พูดอะไร

“ไม่ใช่เขา กาวินไม่ได้อยู่ที่นี่” มู่เวยเวยพูดอย่างใจเย็น

สารวัตรเว่ยสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่คนนี้ก็ดูรู้จักกาวินที่คุณพูดถึงอย่างเห็นได้ชัด”

“สารวัตรเว่ยรู้ได้ยังไง”

“ จากสิ่งที่เขาแสดงออกเมื่อกี้”

มู่เวยเวยแอบชมเขาในใจ สมกับที่เป็นนักสืบเก่า สัญชาตญาณของเขาไวกว่าคนอื่นๆ

“โอเค เราจะสอบปากคำเขาต่อไป แต่ก่อนที่ผู้บงการจะถูกจับคุณต้องระวังให้มากกว่านี้ ผมจะแจ้งให้คุณทราบทันทีที่มีข่าวเพิ่มเติม”

“ค่ะ ขอบคุณสารวัตรเว่ยมาก”

ทั้งสามคนออกไปพร้อมเด็กหนึ่งคน เมื่อไปถึงประตูสารวัตรเว่ยก็ถามจางเห่อ “มีข่าวฉ่าวเฉินรึยัง”

“ยังครับ พวกเราก็กำลังหาอยู่”

สารวัตรเว่ยตบไหล่ของเขาหนักๆ “ถ้าต้องการให้ช่วยอะไรบอกมาได้เสมอ เรื่องของฉ่าวเฉินก็คือเรื่องของผม”

“ครับ”

สารวัตรเว่ยมองไปที่ผิงอันด้วยความอ่อนโยน “เด็กคนนี้คล้ายกับฉ่าวเฉินมาก เขาต้องโตมาดีแน่นอน”

ผิงอันยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเขาชมตัวเอง

“น่ารักจริงๆ” สารวัตรเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มที่หายาก

“งั้นพวกเราไปก่อน” จางเห่อกล่าวอย่างสุภาพ

“อืม แล้วเจอกัน”

อากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เสื้อผ้าของผู้คนเปลี่ยนไปจากชุดฤดูหนาว เป็นฤดูใบไม้ผลิ และเปลี่ยนเป็นฤดูร้อนในพริบตา ผิงอันเริ่มเดินได้แล้ว แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เวยเวยกลับน้อยลงเรื่อย ๆ

ผ่านสามเดือนแล้ว เธอได้ค้นหาหมู่บ้านเล็กใหญ่ริมทะเลทั้งหมด แต่ก็ยังไม่พบเย่ฉ่าวเฉิน

ช่วงนี้มู่เวยเวยมักจะตื่นขึ้นมากลางดึก และถามตัวเองในความมืดว่าเย่ฉ่าวเฉินตายแบบนี้จริงๆหรอ

เมื่อไหร่เธอจะยอมรับความจริงนี้ได้ เธอจะตามหาไปถึงเมื่อไหร่

ดวงอาทิตย์ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า

วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส

มู่เวยเวยล้างหน้า รอยคล้ำใต้ดวงตาของเธอเป็นสีเข้มขึ้นจนไม่สามารถปกปิดด้วยแป้งหรือคอนซีลเลอร์ได้

ตอนรับประทานอาหาร เย่ฉ่าวเหยียน เห็นใบหน้าซีดเซียวของเธอก็พูดอย่างเสียใจว่า “คุณนอนไม่หลับอีกแล้วเหรอ”

มู่เวยเวยยิ้มอย่างขมขื่น “ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรตื่นขึ้นมากลางดึกทุกที”

“ให้หมอหานมาตรวจดูอีกทีมั้ย”

“ไม่ต้องหรอก เขามาก็พูดเหมือนเดิม ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบอกว่าฉันมีความเครียดมากเกินไปหรอก” มู่เวยเวยพูดเบา ๆ

ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเหยียนก็รู้สึกว่าอาหารตรงหน้าไร้รสชาติ เขาเงียบไปนานมาก ก่อนจะพูดว่า “เวยเวยไม่ต้องตามหาแล้ว”

ช้อนในมือของมู่เวยเวยสั่น น้ำตาตกใน ทั้งเจ็บและปวดใจไปหมด เธอไม่ตอบเขา แต่มันก็สื่อถึงความคิดของเธออย่างชัดเจน

ช่วงเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมา เย่ฉ่าวเหยียนเห็นเธอผอมลงเรื่อยๆ รอยยิ้มของเธอก็จางหายไป เขาอยากจะบอกเธอมาตลอดว่าหยุดหาได้แล้ว หาไปก็หาไม่เจอ แต่เขาก็ทนไม่ได้ นั่นคือพี่ชายของเขา เขาก็หวังว่าพี่ชายจะมีชีวิตอยู่และกลับมาเหมือนกัน

แต่ความหวังนั้นก็ถึงเวลาต้องทำลาย ตอนนี้เขาจำต้องยอมรับความจริง

“เวยเวย นี่มันนานมากแล้ว ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่เขาจะต้องหาวิธีกลับมาแน่นอน ถ้าเขาไม่กลับมาก็มีแค่เหตุผลเดียว….” เย่ฉ่าวเหยียนพูดออกมาอย่างอดไม่ได้

มู่เวยเวยหายใจเข้าลึกๆ ข่มความเจ็บปวดในใจ “ฉ่าวเหยียนไม่ต้องพูดแล้ว ฉันไม่อยากยอมแพ้ ถ้าวันหนึ่งฉันเหนื่อย และหมดหวังแล้วฉันจะหยุดเอง”

“ฉันไม่อยากเห็นเธอเครียดอย่างนี้ เธอวิ่งวุ่นอยู่บนถนนทุกวัน ดูสิว่าตอนนี้เธอผอมไปขนาดไหนแล้ว”

“ถือว่าลดน้ำหนักก็ได้ ฉันไม่เป็นไร” มู่เวยเวยไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้แล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง “งานของนายเป็นยังไงบ้าง ปรับตัวได้รึยัง”

เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจในใจ และเปลี่ยนหัวข้อไปตามเธอ “ได้อยู่ โชคดีที่เรื่องที่เขาประชุมกันฉันฟังเข้าใจ ก็เลยวิเคราะห์ด้วยตัวเองได้”

"เชื่อมั่นในตัวเอง นายทำได้ดี ค่อยๆกินนะ ฉันจะไปดูผิงอันก่อน” มู่เวยเวยวางช้อนในมือของเธอลงแล้วลุกขึ้นเดินจากไป

เย่ฉ่าวเหยียนมองตามแผ่นหลังบาง ผมยาวประบ่าของเธอไป แล้วรู้สึกราวกับเข็มเล็กๆทิ่มแทงเข้ามาในใจ จนเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งเงียบอยู่ตรงนั้น

วันนี้มู่เวยเวยและจางเห่อไปที่หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ไกลที่สุด กว่าพวกเขาจะมาถึงก็เที่ยงแล้ว หมู่บ้านไม่ใหญ่ มีแค่สามสี่ถนน มู่เวยเวยที่ยืนอยู่กับผู้ใหญ่บ้านจึงได้ยินเสียงเป่าและจุดประทัดเป็นระยะๆ

พวกเขาไปหาร้านอาหารเล็กๆดูเรียบง่ายกินข้าว

ลูกสาวของเจ้าของร้านนำของทอดมาเสิร์ฟสองสามอย่าง จากนั้นก็เช็ดมือและพูดกับเจ้าของร้านข้างในว่า “พ่อพี่สี่ยวเหมยกำลังจะเริ่มพิธีแล้ว ฉันไปดูนะ”

“ไปไป อย่าลืมกลับมากินข้าว” ชายวัยกลางคนพูด และนำข้าวใส่กระบอกไม้ไผ่เล็กๆออกมาวางไว้บนโต๊ะของมู่เวยเวย

มู่เวยเวยชินแล้วที่จะถามเกี่ยวกับข่าวของเย่ฉ่าวเฉินทุกที่ และที่นี่ก็ไม่เว้นเช่นกัน

เธอถือตะเกียบพลางพูดกับเจ้าของร้านว่า “ลุงคะ ฉันตามหาคนๆหนึ่ง”

เจ้าของร้านเห็นท่าทางอ่อนน้อมของเธอจึงตอบด้วยความกระตือรือร้น “ถามมาสิ หนูมาตามหาใคร”

“ปีก่อนมีชายหนุ่มคนหนึ่งมาที่หมู่บ้านของลุงมั้ยคะ เขาสูงมาก หน้าตาหล่อเหลา และมีดวงตาสีฟ้า”

“ปีที่แล้วเหรอ” เจ้าของร้านพูดพลางเอามือแตะคาง “เหมือนจะไม่มี”

“ลองคิดดูอีกครั้งสิคะ ผู้ชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีใครในหมู่บ้านออกทะเล แล้วบังเอิญช่วยเค้าไว้มั้ย” มู่เวยเวยย้ำสิ่งที่เธอพูดเป็นพันครั้ง แต่ดวงตาของเธอมีความหวังไม่เปลี่ยน

เจ้าของร้านขมวดคิ้วและคิดอยู่พักหนึ่ง “ไม่ ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีใครไปช่วยคนมาจากทะเลนะ”

เมื่อมู่เวยเวยได้ยินอย่างนั้นดวงตาที่สดใสของเธอก็ค่อยๆหม่นแสงลง

จู่เจ้าของร้านก็ราวกับคิดอะไรออกจึงถามว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณตามหาคนตาสีอะไรนะ”

“ตาสีฟ้าค่ะ” มู่เวยเวยตอบกลับด้วยความหวังในใจ

“ คู่แต่งงานของเสี่ยวเหมยวันนี้ก็เป็นชายตาสีฟ้าเหมือนกัน แต่ฉันได้ยินมาว่าเสี่ยวเหมยรู้จักเขาจากข้างนอกนะ ไม่ได้ช่วยกลับมา”

คำพูดของเจ้าของร้านราวกับเสียงฟ้าผ่าลงมากลางสมองของมู่เวยเวย จางเห่อและทุกคน

จางเห่อยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ลุง ลุงพูดจริงหรอ เขามีตาสีฟ้าจริงๆหรอ”

เจ้าของร้านตกใจกับความกระตือรือร้นของเขาจึงถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง “ใช่ ฉันไปบ้านเขามาเมื่อวาน เขาเป็นคนหล่อ มีดวงตาสีฟ้า แต่มันอาจจะไม่ใช่คนที่คุณตามหา เห้ยๆๆ พวกคุณจะไปไหนยังไม่ได้จ่ายค่าข้าวเลย”

ขณะที่เจ้าของร้านกำลังพูดจ้ออยู่ มู่เวยเวยก็รีบออกไปแล้วจางเห่อกับคนอื่นๆก็รีบตามไป

เสียงดนตรีในหมู่บ้านดังพร้อมกับเสียงหัวเราะของผู้คน ดังนั้นไม่ต้องถามว่าจัดที่ไหน มู่เวยเวยก็สามารถเดินตามเสียงมาได้

หัวใจเต้นเธอเต้นแรง มู่เวยเวยไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน ราวกับกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้เขาจะหายไป

ไม่ว่าชายตาสีฟ้าที่คุณลุงพูดจะใช่เย่ฉ่าวเฉินรึเปล่า เธอก็ขอดูก่อน

หลังจากเลี้ยวไปมุมหนึ่ง มู่เวยเวยก็เห็นซุ้มประตูแต่งงานสีแดงสด เมื่อวิ่งไปข้างหน้าอีกก็มีคนจำนวนมาก คนที่อยู่ข้างนอกจึงต้องเขย่งเท้าเพื่อดูข้างใน

“ต่อไปคู่แต่งงานบูชาฟ้าดิน มาทางนี้เลย” เสียงของพิธีกรดังผ่านลำโพง

มู่เวยเวยยังคงไม่หยุดเท้า เธอฝ่าฝูงชนเข้าไปข้างในเรื่อยๆ

“โอ้อย่าดันๆ” ใครบางคนบ่นอย่างไม่พอใจ แต่มู่เวยเวยก็ไม่ได้ยิน เธอแหวกเข้าไปเรื่อยโดยมีจางเห่อและคนอื่นๆเดินเข้ามาตามรอยแหวกของเธอ

“สักการะครั้งที่สอง”

มู่เวยเวยไม่รู้ว่าเธอเหยียบเท้าของคนอื่นกี่คนแล้ว และในที่สุดเธอก็เข้ามาถึงข้างในสุด ได้เห็นคู่บ่าวสาวกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น

เจ้าสาวสวมชุดกี่เพ้าสีแดงโบราณ เจ้าบ่าวสวมสูทสีดำ ทั้งคู่หันหลังให้เธอ แต่มู่เวยเวยยังจำร่างนั้นได้ดีแม้ในพริบตา

เธอจำแผ่นหลังนี้ที่ปรากฏในความฝันนับครั้งไม่ถ้วนได้ แค่มองท้ายทอยเธอก็จำได้

ทันใดนั้นน้ำตาเธอก็ไหลลงมาราวกับสายฝน มู่เวยเวยร้องไห้โดยไม่มีเสียง ดวงใจที่เต้นแรงของเธอค่อยๆสงบลง

เขายังไม่ตาย เขายังไม่ตาย เธอหาเขาเจอแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ