มู่เวยเวยไม่สามารถทานคนเดียวได้ จึงตะโกนบอกจางเห่อ “จางเห่อ พวกคุณก็มากินข้าว วิ่งงานทั้งเช้าคงหิวแย่แล้ว”
จางเห่อมองมองไปที่คุณชายด้วยท่าท่างกลัว และพาพวกลูกน้องไปนั่งที่ข้างๆมู่เวยเวย
“ไม่ต้องเกรงใจไม่ต้องกรงใจ นี่เป็นงานเลี้ยงงานแต่งงานของเจ้านายคุณ กินเยอะๆหน่อย” พูดจบ มู่เวยเวยก็หยิบตะเกียบให้กับทุกคน
บอดี้การ์ดหลายคนไม่กล้าขยับ และค่อยๆมองไปที่จางเห่อ
จางเห่อก็ใจเต้น ไม่รู้ว่ามู่เวยเวยหมายความว่าอะไร ?
“มองฉันทำไม ไม่หิวเหรอ ?” มู่เวยเวยขมวดคิ้วถาม
“ครับ หิวนิดหน่อย” จางเห่อพูดอย่างตะกุกตะกัก
“หิวแล้วก็กินสิ ถ้ากินไม่อิ่มจะมีแรงไปมัดคุณชายของพวกคุณกลับได้ยังไง ?”มู่เวยเวยตรงไปตรงมา โดยไม่กลัวครอบครัวของเจ้าสาวได้ยิน
“มัดกลับไป ?” จางเห่อตกใจ
มู่เวยเวยทานเนื้อวัวและเคี้ยวลงคอและพูดว่า “ทำไม ? คุณอยากทำให้เขาหมดสติแล้วค่อยอุ้มกลับไป ?” ส่วนรสชาติของเนื้วัว เธอไม่ได้ชิม
หัวของจางเห่อมืดมิด ยืมความกล้าทั้งสามเขายังไม่กล้าเลย
“รีบกินสิ ”มู่เวยเวยกระตุ้นอีกครั้ง จางเห่อไม่กล้าขัดขืน หันไปขยิบตาให้พวกลูกน้องและทุกคนก็ยอมกินข้าว
หิวจริงๆด้วย
ตั้งแต่เมื่อกี้ บรรยากาศภายในงานค่อนข้างแปลกเล็กน้อย
งานแต่งของทั้งสองคนยังอยู่เหมือนเดิมและไม่รู้ว่าจะลงเอยยังไง มีเพียงคนสองคนที่แต่งงานที่ดื่มและทานอาหารอย่างไม่มีความสุข
“เกินไปแล้ว เกินไปแล้ว”เจ้าสาวโกรธจนตัวสั่น แต่ก็ไม่กล้าสร้างความวุ่นวายให้มู่เวยเวย เธอทำได้เพียงจับแขนเจ้าบ่าวและร้องไห้ว่า “พวกเขาทำอย่างนี้ได้อย่างไร ? ก่อความวุ่นวายในงานแต่งของพวกเรา และตอนนี้ยังแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก”
เย่ฉ่าวเฉินตบหลังมือของเธอ ขมวดคิ้วพูดว่า “งั้นผมจะให้พวกเขาออกไป”
เจ้าสาวลังเลเล็กน้อย เธอกลัวจริงๆว่าผู้ชายหลอกเธอและสุดท้ายจะหนีไปกับผู้หญิงคนนี้ เพราะยังไง ฝ่ายตรงข้ามก็สวยกว่าเธอมาก
เจ้าสาวไม่มีทางเลือก และเดินไปหาพ่อตัวเองด้วยท่าทางเด็ก “พ่อ คุณดูสิ”
พ่อเป็นชาวประมงที่ซื่อสัตย์ เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ยิ่งไปกว่านั้นลูกเขยยังไม่ทราบที่มา ตอนนี้เป็นแบบนี้ เขารู้สึกอับอายชาวบ้านมาก แต่หญิงสาวคือลูกสาวตัวเองเขาก็ทนไม่ได้ที่เห็นเธอเศร้า
“เธอต้องการให้ฉันทำอะไร” คุณพ่อทำอะไรไม่ถูก
“พ่อไล่ให้พวกเขาออกไป ยังไงก็ตามเขาจะเอาอาหยงไปไม่ได้” เจ้าสาวพูดอย่างภาคภูมิ
พ่อถอนหายใจและพูดว่า “เสี่ยวเหมย ถ้าหากว่าอาหยงเป็นสามีของเขาจริงๆ เธอก็ให้เขาพากลับไปเถอะ พ่อจะหาคนที่ดีมาให้เธอเอง”
“ไม่ ฉันจะแต่งงานกับอาหยง ฉันไม่อยากแต่งงานกับใครอีกแล้ว”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเขาจะร้องไห้แล้ว พ่อก็ไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงรับปาก “ตกลง ฉันจะลองดู”
มู่เวยเวยที่ได้ยินเหตุผลของชายชราจากระยะไกล เมื่อเห็นเขาเดินมาเธอก็วางตะเกียบลงอย่างสุภาพ
“หญิงสาว ถ้ายังไงพวกคุณกลับไปก่อนเถอะ เมื่อครู่อาหยงก็บอกแล้วว่าพวกคุณจำคนผิดแล้ว พวกคุณทำแบบนี้ในหมู่บ้านนี้พวกเราจะดูเป็นคนยังไง ?”
มู่เวยเวยยืนขึ้นและมองเขา “คุณลุง ฉันก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล และฉันจะไม่รบกวนงานแต่งของพวกเขา อาหยงที่พวกคุณพูดถึงคือสามีของฉัน ตอนนี้เขาความจำเสื่อม เป็นปกติที่จะจำพวกเราไม่ได้ แต่มันจะต้องมีสักวันที่เขาจะจำได้ เมื่อถึงเวลานั้นจะทำยังไง ? นอกจากนี้ เขาทำแบบนี้มีความผิดฐานสมรสซ้อน ถ้าหากว่าเขาไม่ไปกับฉัน ตอนบ่ายฉันก็จะไปสำนักงานตรวจสอบเพื่อแจ้งความ เมื่อถึงเวลานั้นพวกคุณทุกคนอย่าหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ”
แน่นอน มู่เวยเวยแค่ทำให้เขากลัว เธอจะไปแจ้งความจริงๆได้ยังไง?
พ่อเจ้าสาวมองเธอพูดอย่างสาบาน และหันไปมองลูกสาวเขาท่ามกลางแสงแดด และพูดขึ้นว่า “งั้นถ้าหากว่าอาหยงไม่ใช่คนที่พวกคุณตามหาจริงๆล่ะ ?”
“ถ้าหากว่าพวกเราผิดจริง เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะออกเงินจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้ลูกสาวคุณเป็นการทดแทน พวกคุณอยากเลี้ยงกี่วันก็ได้ จะให้ฉันขอโทษแบบตัวต่อตัวก็ได้”
เมื่อพ่อได้ยินอีกฝ่ายพูดมาแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่สามารถยุ่งต่อไปได้อีกจึงหันหลังจากไปเงียบๆ
ไม่ไกลออกไป สายตาของเย่ฉ่าวเฉินก็จับจ้องไปที่เรือนร่างของมู่เวยเวย ปฎิเสธไม่ได้ว่าเธอสวยมาก แต่นอกจากความสวยของเธอที่ดึงดูดเขาแล้ว ก็เป็นนิสัยที่คุ้นเคยของเธอ
“เสี่ยวเหมย พวกเรารอให้คนของอีกฝ่ายมาแล้วบอกเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนดีกว่า”
“แต่ว่า.......”
ทันใดนั้นพ่อก็พูดขึ้นมาอย่างโกรธๆ “ไม่มีแต่ ถ้าหากว่าอาหยงมีครอบครัวแล้ว เธอไม่สามารถแต่งงานได้ บ้านเรารับคนแบบนี้ไม่ได้”
เสี่ยวเหมยเม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนรอบๆเห็นว่าไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ก็ค่อยๆจากไป ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ภายในงานก็เหลือเพียงญาติเจ้าสาวและคนทางฝั่งของมู่เวยเวย
งานเลี้ยงงานแต่งได้ถูกกำหนดไว้แล้วไม่กินก็สูญเปล่า ทุกคนกำลังหิวกันพอดี พ่อเจ้าสาวจึงทักทายให้ทุกคนมานั่งทานข้าวก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยคุยกัน
เมื่อเจ้าบ่าวเดินผ่านโต๊ะของมู่เวยเวยก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ถูกเจ้าสาวรีบมาลากตัวไป
มู่เวยเวยกินดื่มอย่างเต็มอิ่มก็ยกขาขึ้นพาดโต๊ะ และมองไปที่เจ้าสาวที่จับมือของเย่ฉ่าวเฉินอย่างดูถูก เธอเอนร่างครึ่งหนึ่งไปพิงบนไหล่ของเย่ฉ่าวเฉินและทำตัวเหมือนเด็ก
ทันใดนั้นก็มีสิ่งกระตุ้นจนอยากจะทุบขวดที่อยู่บนโต๊ะออกไป
จางเห่อดูเหมือนจะเข้าใจความหมายในสายตาของเธอ จึงกระซิบเบาๆว่า “คุณหนู คุณอย่าทำอะไรวู่วาม”
มู่เวยเวยจ้องมองเขา “คุณพูดมากจริงๆ”
จางเห่อยิ้ม ตอนนี้หาคุณชายเจอแล้ว เขาอย่าเพิ่งดีใจไป “คุณหนู คุณชายความจำเสื่อม พูดอะไรทำอะไรล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ได้มาจากใจจริง ถ้าหากคุณจะโกรธจริงๆ รอเขาฟื้นความทรงจำแล้ว คุณอยากลงโทษเขายังไงก็ย่อมได้”
มู่เวยเวยมองไปทางจางเห่อด้วยรอยยิ้ม “คุณซื่อสัตย์กับคุณชายคุณจริงๆ เขาควรจะขึ้นเงินเดือนให้คุณนะ”
“ฮ่าฮ่า ผมก็ซื่อสัตย์กับคุณหนูครับ และสิ่งที่ผมพูดคือความจริง”
“พูดความจริงอะไร ?เห็นได้ชัดว่าเพียงเพื่อปกป้องเขา”
อีกโต๊ะหนึ่ง เจ้าสาวคีบผักมาให้เจ้าบ่าว เพราะกลัวว่าเขาจะหิว “พี่อาหยง คุณทานสิ”
“เสี่ยวเหมย คุณไม่ต้องดูแลผม ผมทานเองได้”เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างอบอุ่น
“ฉันก็แค่ชิน เมื่อก่อนตอนคุณป่วยฉันก็ป้อนคุณด้วยตังเอง คุณก็ไม่เห็นอายหนิ” เจ้าสาวพูดอย่างอายๆ เสียงของเธอดังราวกับจงใจให้มู่เวยเวยได้ยิน
มู่เวยเวยพูดอย่างเย็นชา อยากจะตัดลิ้นมันด้วยมืดยาวสี่สิบเมตรจริงๆ
และจางเห่อที่อยู่โต๊ะเดียวกันพูดในใจไม่หยุดว่า คุณหนู สงบไว้สงบไว้
เมื่อทุกคนทานเสร็จก็ไม่มีใครคิดจะกลับไป พ่อเจ้าสาวก็รู้สึกอายเกินกว่าจะเอ่ยปากพูด โชคดีที่ลุงของเจ้าสาวพูดออกมา “พวกเราจะอยู่เพื่อสนับสนุนเสี่ยวเหมย ถ้าเกิดว่าพวกเขาเข้ามายุ่งย่าม พวกเราจะได้ช่วยทัน”
พ่อเจ้าสาวก็คิดถึงเรื่องนี้แต่ก็ลืมมันไปแล้ว
คนมากเกินกว่าที่จะนั่งในบ้านได้ ทุกคนจึงมานั่งที่จัดงานเลี้ยงข้างนอก
พี่สาวของเจ้าสาวก้มศีรษะลงดูโทรศัพท์ สีหน้าของเขาดูมีชีวิตชีวา ราวกับว่าเจอข่าวสำคัญบางอย่าง เขาเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็เดินไปหาเจ้าสาวดึงแขนเสื้อและพูดว่า “มานี่ พี่มีเรื่องจะพูดกับเธอ”
“มีเรื่องอะไรเหรอ ?” เจ้าสาวถามอย่างร้อนรน
“บอกให้คุณมาก็มาสิ”
เจ้าสาวจำใจปล่อยมือของเย่ฉ่าวเฉิน และเดินตามพี่ชายเธอไปที่กำแพงที่ไกลออกไป “มีเรื่องอะไรทำไมดูลึกลับจัง ?”
พี่ชายแสดงรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ออกมา “ฉันเพิ่งหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมา อาหยงคนนี้เป็นคนร่ำรวย ที่บ้านมีหลายบริษัท ยังมีคฤหาสน์อีกมากมาย เธอห้ามปล่อยเขาเด็ดขาดรู้ไหม ? ถึงแม้ว่าเขาจะกลับเมือง A เธอก็ต้องตามเขาไป เมื่อถึงเวลาเธอจะได้รับผลประโยนช์มากมายจากเขา”
“พี่ ทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้ ฉันรักเขาจริงถึงแต่งงานกับเขา”เจ้าสาวพูดอย่างไม่พอใจ ที่จริงตอนที่มู่เวยเวยออกมาบอกว่าอาหยงคือสามีของเธอ เสี่ยวเหมยก็เชื่ออยู่บ้าง เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าชายคนนี้ลอยมากจากไหน เธอแค่ใจดี เห็นว่าเขาหล่อเลยช่วยไว้ก็แค่นั้น
“น้องที่โง่ของฉัน แน่นอนพี่ชายรู้ว่าเธอชอบเขา ดังนั้นคุณต้องจับเขาไว้ให้อยู่ ทางที่ดีต้องให้เขากับผู้หญิงคนนั้นหย่ากัน แล้วให้เขาแต่งงานกับเธอ แบบนี้บ้านของพวกเราก็ไม่ต้องอยู่กินในที่โทรมๆแบบนี้แล้ว นี่ไม่ใช่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเหรอ ?”
เจ้าสาวลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นดูไม่สามารถแตะต้องได้ง่ายๆ ฉันจะยุ่งกับเธอได้เหรอ ?”
พี่ชายพูดอย่างเหยียดหยามว่า “กลัวอะไร ? เธอช่วยชีวิตอาหยง นี่เป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ ในสมัยโบราณต้องชดใช้ด้วยร่างกาย ผู้หญิงคนนั้นก็แค่มีลูกหนึ่งคน เธอต้องพยายามตั้งท้องลูกของอาหยง ต้องอ่อนโยนกับอาหยงหน่อย อาหยงต้องหย่ากับผู้หญิงคนนั้นแน่”
คำพูดของพี่ชายทำให้เจ้าสาวสะดุ้ง ใช่แล้ว ขอแค่เธอมีลูกกับอาหยาง อาหยงก็ไม่มีทางทิ้งเธอ
“รู้แล้วพี่” ดวงตาของเจ้าสาวเป็นประกาย
“นอกจากนี้ พวกเขาจะต้องพาอาหยงกลับไป เธอต้องสัญญาว่าเมื่อถึงเวลานั้นพี่จะไปกับเธอด้วย”
“คุณไปทำไม ?”เจ้าสาวถามอย่างมุ่งร้ายไปที่พี่ชาย
พี่ชายหัวเราะ “เธอโง่เหรอ ถ้าเกิดว่าพวกเขาทำร้ายเธอล่ะ ? พี่ก็ยังสามารถช่วยเธอได้นะ ”
“ใช่สิ ฉันไปคนเดียวจะถูกพวกนั้นรังแกได้”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตามนี้นะ ?”
“คำไหนคำนั้น”
พี่น้องพูดคุยกันเสร็จก็กลับเข้าไปหาผู้คน มู่เวยเวยมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา และรู้สึกได้ว่าสองคนนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล เหมือนกำลังวางแผนบางอย่าง
เป็นจริงตามนั้น เจ้าสาวเดินที่ไปข้างกายเย่ฉ่าวเฉิน และดึงมือของเขาบอกว่ามีเรื่องจะพูดด้วย เย่ฉ๋าวเฉินก็เดินตามไปอย่างไม่สงสัยอะไร
“จางเห่อ” มู่เวยเวยพูดเสียงเบา จากนั้นก็บอกทางสายตา จางเห่อพยักหน้าและเดินตามไปเงียบๆ
เวลาผ่านไปว่าสิบนาที ทั้งคู่ก็กลับมา เจ้าบ่าวมองมู่เวยเวยด้วยสายตาแปลกๆ ไม่นาน จางเห่อก็กลับมา สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ในใจมู่เวยเวยคิด มีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ
“เป็นอะไรไป ? ”มู่เวยเวยถาม
จางเห่อนั่งลงอย่างโกรธๆและกระซิบว่า “ผู้หญิงคนนั้นขอคุณชายว่าไม่ว่ายังไงก็พาเธอไปเมือง A ด้วย ยังบอกอีกว่าคุณชายไม่ใช่เหอหยง”
มู่เวยเวยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้ “ไม่ใช่ว่าเธอปฎิเสธที่จะไม่ยอมรับไม่ใช่เหรอ ?”
“เธอไม่ยอมรับก็คงไม่ได้ มีหลักฐานมากมายขนาดนั้น ถ้าไม่เชื่อจริงๆก็ยังสามารถตรวจ DNA ได้ เธอรู้ว่าปิดไม่ได้ โชคดีแล้ว” แต่แน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดเดาของจางเห่อ
“เย่ฉ่าวเฉินมีปฎิกิริยายังไง ? ”มู่เวยเวยถามอย่างสงสัย
“ยังจะมีปฎิกิริยาตอบสนองอะไร ตกตะลึงไปตั้งนานกว่าสติจะกลับมา”
มู่เวยเวยหัวเราะเบาๆ “ผู้หญิงคนนี้แปลกจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้ดันยอมรับเอง เธออยากทำอะไร ?”
จางเห่อเตือนสติเธอ “คุณหนู คุณลืมเรื่องสำคัญที่ผมพูดไปแล้วเหรอ ? เธอให้คุณชายพาเธอกลับเมือง A”
มู่เวยเวยเริ่มสมคบคิด “แบบนี้ก็ถูกแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาตัดสินใจหลังจากรู้ภูมิหลังของเย่ฉ่าวเฉิน ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้โง่ คาดว่าขั้นต่อไปคงให้เย่ฉ่าวเฉินหย่ากับฉัน แล้วเธอก็จะได้แทนที่ได้”
“อืม เป็นไปได้มาก ดังนั้นคุณหนูห้ามให้ความตั้งใจของเธอประสบผลสำเร็จ”
มู่เวยเวยไม่ได้ตอบและมองไปที่ชายคนนั้นที่อยู่ไกลๆ และถามว่า “เย่ฉ่าวเฉินเห็นด้วยแล้ว ?”
จางเห่อพูดอย่างกล้าๆกลัวๆว่า “เห็นด้วยแล้ว”
“พวกคุณผู้ชายล้วนเจ้าชู้ตัวพ่อ เจอใครเข้าก็รัก เมื่อก่อนก็เฉียวซินโยว ตอนนี้ก็เสี่ยวเหมย เจ็บใจจริงๆ” มู่เวยเวยพูดอย่างโกรธๆ
จางเห่อยิ้มแห้งๆ “คุณชายไม่ใช่คนแบบนั้น เขาก็แค่ความจำเสื่อม”
“เมื่อก่อนก็ความจำเสื่อม ?” มู่เวยเวยตะคอก
“ก่อนหน้านี้.....เขาถูกเฉียวซินโยวหลอกมาก่อน ”จางเห่อพยายามแก้ตัวให้เจ้านายของเขา ว่ากันว่าผู้หญิงมีความขุ่นเคืองอยู่ เป็นจริงด้วย เรื่องที่ผ่านมานานแล้วนั้น คุณหนูก็ยังพูดออกมา
มู่เวยเวยพูดอย่างประชดประชัน “หึ คนอย่างเขาเรียกว่าหน้ามืดตามัว”
จางเห่อพูดอะไรไม่ออก ไม่มีทางเลือก ตอนนั้นใครบอกให้คุณชายทำแบบนั้นกันล่ะ ?
เมื่อคิดกลับไปถึงเรื่องของเฉียวซินโยว ในใจของมู่เวยเวยก็หนักอึ้ง ถ้าหากว่ามีฉากในตอนนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง เธอจะไม่กลับมาที่ตระกูลเย่แน่นอน
เธอไม่สามารถตกหลุมพลางสองครั้งได้ ครั้งแรกคือโง่ ครั้งที่สองอับอายขายหน้า
จางเห่อมองดูใบหน้าของเธอ และรู้ว่าเธอกำลังคิดถึงเรื่องในอดีตอยู่ เขามีความตั้งใจจะพูดเรื่องดีๆให้คุณชาย แต่เมื่ออ้าปาก ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดอะไร และอีกอย่างตัวตนของเขาก็ไม่เหมาะสมจริงๆ
ผ่านไปชั่วโมงกว่า จางเห่อก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินผ่านหมู่บ้านจากไกลๆ เสียงใบพัดดังกระหน่ำ มู่เวยเวยเหลือบมอง เป็นเฮลิคอปเตอร์ของตระกูลเย่
จางเห่อและคนอื่นๆลุกขึ้นโบกมือให้เฮลิคอปเตอร์
“พวกเราอยู่ที่นี่.......” จางเห่อตะโกน
คนที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์เห็นพวกเขา บินวนไปมาอยู่สักพักก็บินจากไป
เสียงผู้คนซิบซุบคุยกันดังมาจากด้านหลัง
“นั่นเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่มารับลูกเขยของเสี่ยวเหมยเหรอ” รวยจังเลย มีคนพูดขึ้นด้วยความอิจฉา
“ฉันว่าไม่ใช่นะ ไม่อย่างนั้นจะบินห่างออกไปทำไม ?”
“บางทีอาจจะไปลงจอดที่ลานกว้างนะ”
“ไอ่หย่า เสี่ยวเหมยกลายเป็นคนร่ำรวยแล้ว ถึงขนาดมีเงินซื้อเฮลิคอปเตอร์ได้”
มู่เวยเวยได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ส่ายหัว หรือว่าพวกเขามองเห็นแค่เงิน มองไม่เห็นว่าเสี่ยวเหมยเป็นเมียน้อยเหรอ ?
ไม่กี่นาทีต่อมา คนสี่ห้าคนก็วิ่งมาจากที่ไกลๆ ด้านหน้าสุดคือเย่ฉ่าวเหยียน เขาสวมชุดสูทราคาแพงที่ทำด้วยมือ ผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถปิดบังความหล่อได้ และสีหน้าของเขาก็ดูตื่นเต้น
เขาวิ่งมาที่ด้านหน้าของมู่เวยเวย และถามโดยไม่ทันหายใจว่า “พี่ชายล่ะ ?”
มู่เวยเวยหันไปด้านหน้า และใช้คางพยักไปทางคนตัวสูงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน
เย่ฉ่าวเหยียนมองตามไปและดวงตาก็ระเรื่อไปด้วยน้ำตา ฝูงชนพร้อมใจกันหลีกทางให้เขา เย่ฉ่าวเหยียนเดินไปอย่างรวดเร็ว และรีบสวมกอดเขาแน่นจะแทบหายใจไม่ออก “พี่ชาย ดีจังเลยที่คุณยังมีชีวิตอยู่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...