เย่ฉ่าวเฉินคิดอยู่พักหนึ่งพลางขมวดคิ้ว "เหมือนจะมีหนึ่งอัน แต่ผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน พ่อบ้านหวังน่าจะรู้"
"งั้นก็ถูกแล้ว ขนาดคุณยังไม่รู้ อีกฝั่งยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่"
พวกเขาทั้งสามกลับนั่งไปที่งานเลี้ยงสักครู่ จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็มาที่ห้องหนังสือกับมู่เทียนเย่ เพื่อจัดการธุระเรื่องต่อไป
เสียงรื่นเริงในบ้านดังต่อเนื่องไปจนถึงสี่ทุ่มกว่า
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นท่ามกลางความมืด จนทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวเป็นวงกว้าง บรรยากาศก็ปกคลุมไปด้วยกลิ่นควันไปทั่ว
เย่ฉ่าวเฉินยืนสบถอยู่มุมหนึ่งในบ้าน "เชี่ย ถ้าระเบิดนี่มาระเบิดอยู่ตรงหน้า เราคงเป็นฝุ่นกันไปหมดแล้ว"
มู่เทียนเย่กอดอก มองไปที่เปลวไฟด้วยสายตาเย็นชา "ก็ใช่น่ะสิ" จากนั้นก็ตบไหล่เย่ฉ่าวเฉิน "พอเถอะ เลิกจ้องได้แล้ว มีอะไรก็ไปทำ อย่าลืมว่าจับมันได้แล้วอย่าเพิ่งลงมือ ฉันอยากดูก่อนว่าหน้ามันเป็นยังไง"
เย่ฉ่าวเฉินไม่พอใจ "มีอะไรน่าดู ก็มีสองตา หนึ่งจมูก หนึ่งปากไม่ใช่รึไง"
"เฮ้ ถ้าแกจะบอกว่าทุกคนก็เป็นแบบนี้ แล้วทำไมถึงมีการแบ่งแยกคนสวยคนขี้เหล่ล่ะ"
"โอเคๆ จับมันได้ค่อยว่ากัน"
ที่จริงแล้ว หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า แขกคนทุกคนในบ้าน รวมถึงมู่เวยเวย เสี่ยวซีหร่านและผิงอันต่างออกจากบ้านกันไปหมดแล้ว
พวกเขาเดินทางโดยใช้เส้นทางที่ไม่ได้ใช้มาสิบกว่าปี ถ้าไม่ใช่เพราะมีพ่อบ้านหวังนำทาง ไม่แน่รถอาจจะขับหลงทางไปแล้วก็ได้
ก่อนจากไป มู่เวยเวยจับมือเย่ฉ่าวเฉินแน่น สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง "ฉ่าวเฉินคุณต้องระวังนะ อย่าเป็นอะไรเด็ดขาด"
เย่ฉ่าวเฉินลูบแก้มของเธอ ราวกับอยากจำหน้าของเธอเอาไว้ในใจ "ผมจะระวัง ผมมีภรรยาแสนสวย ลูกชายที่น่ารัก และลูกน้อยในท้องอีก ผมจะปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรไปได้ยังไง คุณวางใจเถอะ ผมต้องมาดูลูกสาวของเราคลอดด้วยตาตัวเองแน่นอน"
มู่เวยเวยกอดเขาเบาๆ จากนั้นก็จูบราวกับจะเป็นจูบลา
"พอแล้ว รอผมกลับมานะ" เย่ฉ่าวเฉินมองตาเธออย่างลึกซึ้ง
"อืม"
หลังจากมู่เทียนเย่พาคนท้องทั้งสองพร้อมผิงอันไปส่งที่บ้านเขาแล้ว เขาก็กลับมาที่บ้านตระกูลเย่อีกครั้ง ก่อนจากกันเสี่ยวซีหร่านก็ดูจะสงบลงมามากแล้ว เธอจึงย้ำเขาว่า "วางระเบิดไว้ไกลหน่อย ยิงปืนไปจุดชนวนก็พอ อย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด"
"ทราบแล้วครับคุณภรรยา" มู่เทียนเย่ดึงมือเธอ "คุณไม่ล่ำลาหน่อยหรอ"
เสี่ยวซีหร่านจ้องเขา "ทำไมต้องลาด้วย ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่กลับมาซะหน่อย"
มู่เทียนเย่ยักไหล่ "ก็จริง งั้นผมไปละ"
"ไปเถอะ ขับรถระวังด้วย" เสี่ยวซีหร่านโบกมือให้เขาจนรถลับสายตาไป เธอถึงเพิ่งรู้ว่ามือตังเองเย็นชุ่มไปด้วยเหงื่อ
จะไม่กังวลได้ยังไง เขาเป็นคนที่เธอรักที่สุด แถมยังเป็นพ่อของลูกในท้องเธออีก ที่เธอไม่ร้องไห้ก็เพราะไม่อยากเพิ่มความกังวลให้เขา และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะเธอเชื่อในความสามารถของเขา
มู่เวยเวยเห็นฉากนี้แล้วรู้สึกอายกับการอำลาของเธอเมื่อกี้ไม่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะถาม "พี่สะใภ้ ฉันอ่อนแอเกินไปใช่มั้ย ทุกครั้งที่เจอเรื่องอะไรฉันก็กังวลไปหมด กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเย่ฉ่าวเฉิน"
เสี่ยวซีหร่านกุมท้อง เดินมานั่งข้างๆเธอ "ฉันก็กลัวเหมือนกัน แต่ฉันเชื่อในตัวพี่ชายของเธอมากกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะกลับมาอยู่ข้างกายฉันได้เสมอ ที่จริงเธอควรจะเชื่อใจเย่ฉ่าวเฉินมากกว่านี้ เพราะเขามีความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนคนปกติ ดังนั้นการป้องกันตัวเองไม่ใช่ปัญหาแน่นอน"
เมื่อได้ฟังคำพูดของเสี่ยวซีหร่าน มู่เวยเวยก็ค่อยๆเบาใจลง ใช่สิ เธอลืมไปได้ยังไง เย่ฉ่าวเฉินไม่เหมือนคนปกติ เขารอดจากความตายมาได้หลายครั้ง ไม่มีอะไรเหนือบ่ากว่าแรงของเขา
ผิงอันนั่งอยู่ข้างๆมู่เวยเวยพลางยกมือเล็กขึ้นมาลูบท้องนูนๆของเธอ และพูดเสียงเบา "น้องสาว เธอรู้ได้ยังไงว่าในเค้กมีเชื้อระเบิดอยู่ รีบๆเกิดนะ พี่อยากเห็นหน้าเธอแล้ว"
ตอนนี้มู่เวยเวยก็กำลังรอคอยเช่นกัน เธอมีลางสังหรณ์ว่าลูกสาวในท้องจะต้องมีพลังแข็งแกร่งกว่าผิงอันแน่ ลองคิดดูแล้วเธอยังไม่ทันคลอดก็สามารถเข้าฝันมาเล่นกันผิงอันได้ แถมตอนนี้ยังรู้ว่าอันตรายมาจากไหนอีก ไม่ต้องบอกว่าลูกในท้องเป็นคนมีความสามารถ ถึงบอกวาเธอเป็นนางฟ้ากลับชาติมาเกิด มู่เวยเวยก็เชื่อ
ที่จริงตอนทำอัลตร้าซาวน์เมื่อเดือนที่ห้า เธอก็เห็นรูปลักษณ์ของลูกแล้ว ลูกมีคิ้วเหมือนเธอ ปากเหมือนเย่่ฉ่าวเฉิน แต่ลูกไม่ได้ลืมตาจึงไม่รู้ว่ามีดวงตาสีม่วงมั้ย
.......
อีกด้านหนึ่ง ตอนที่ระเบิดระเบิดนั้น ป่าที่อยู่นอกบ้านก็ถูกไฟเผาลุกโชนท่ามกลางความมืด
จากนั้นก็ได้ยินคนกรีดร้องขอความช่วยเหลือ บางคนก็เรียกรถพยาบาล โดยมีร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ท่ามกลางความมืด กำลังมองผลงานของตัวเอง และหัวเราะด้วยความชั่วร้าย
เย่ฉ่าวเฉินฉันไม่เชื่อว่าครั้งนี้แกจะไม่ตายอีก
เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว เขาก็เดินกลับไปทางเดิม แต่ตอนที่เขากำลังจะเดินออกไปถึงถนนใหญ่นั้น คนคนหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในสายตาของเขา
เขารีบเข้าไปหลบอยู่ในความมืดทันทีตามสัญชาตญาณ แต่ก็ได้ยินอีกฝ่ายส่งเสียงเยาะเย้ยออกมา "ออกมาสิ ฉันรอแกมาทั้งคืนแล้ว"
เขาตกใจทันที คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเย่ฉ่าวเฉิน
เขาควรจะถูกระเบิดตายไม่ก็บาดเจ็บอยู่ในบ้านไม่ใช่หรอ มาอยู่นี่ได้ยังไง
"ไม่ต้องซ่อนแล้ว วันนี้แกหนีไม่รอดแน่"
ทันทีที่พูดจบก็ปรากฏชายร่างใหญ่กว่าสิบคนเดินออกมาทุกทิศทาง ในมือของทุกคนมีปืนกำลังล้อมเขาไว้
ชายคนนั้นตกใจ รีบยืดตัวขึ้น และแสร้งทำเสียงแหบพร่า ราวกับตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า พลางถาม "พวก...พวกคุณเป็นใคร ผมไม่รู้จักพวกคุณ"
เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พลางจ้องเขาเขม็งและพูดอย่างเย็นชา "กาวิน แกไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก แกคิดว่ากลเล็กๆแบบนี้จะหลอกฉันได้หรอ"
"ผม...ผมเป็นแค่คนจรจัด ไปไหนก็นอนนั่น วันนี้บังเอิญมาถึงประตูบ้านตระกูลเย่ และขี้เกียจเดินต่อ คิดไม่ถึงว่า..."
"หึ สร้างเรื่องเก่งไม่เบา แต่น่าเสียดายฉันไม่เชื่อเลยสักนิด เงยหน้าแกขึ้นมา" น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินแข็งกร้าวและโหดร้าย
ชายคนนั้นถอยหลังไปสองก้าวราวกับหวาดกลัวมาก และส่ายหน้ารัวๆ "ไม่ พวกคุณอย่ามองผม หน้าผมโดนทำร้ายมา ไม่กล้าเจอหน้าใคร"
"แกไม่กล้าเจอใครแน่อยู่แล้ว เพราะแกกลัวพวกเราจำแกได้ไงล่ะ" เย่ฉ่าวเฉินพูดเยาะเย้ย
ชายคนนั้นก้มหน้าลง พูดเสียงแหบพร่า "พวกเราไม่รู้จักกันมาก่อน ทำไมผมต้องกลัวคุณจำผมได้ด้วย"
"ได้ งั้นแกก็เงยหน้าแกขึ้นมาให้ฉันมองสิ"
จากนั้นแปบเดียว
ลำแสงหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ร่างเขาอย่างจัง จนเขาแทบมองไม่เห็น
แม้ว่าชายคนนั้นจะค้อมตัวลง แต่ก็ดูออกว่าเขาสูงมาก น่าจะสูงประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตรขึ้นไป เขาใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูสะอาดสะอ้าน ไม่มีคราบเลอะเทอะเลยสักนิด
เย่ฉ่าวเฉินมองสำรวจแค่นี้ก็มั่นใจขึ้นมามาก
"เงยหน้าขึ้น" เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างรุนแรง
ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา แสงส่องมาที่ใบหน้าของเขา และรวมถึงเย่ฉ่าวเฉินด้วย ทุกคนที่เห็นภาพนี้ต่างรู้สึกหดหู่ใจไปตามๆกัน
เป็นดังที่ชายคนนั้นว่า หน้าของเขาได้รับบาดเจ็บมาก่อน และได้รับบาดเจ็บไม่น้อยด้วย ใบหน้านี้แทบจะเรียกว่าหน้าไม่ได้แล้ว ใบหน้าของเขาราวกับโดนอะไรบดมาก่อนจนเกิดเป็นหลุมใหญ่ และผิวหนังก้หดเข้าหากันจนดูแบบไม่เป็นรูปเป็นร่าง
ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างในภาพจำ แต่มันกลับดูลึกล้ำจนมองไม่ออกว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
"เห็นหน้าผมแล้วใช่มั้ย ถามหน่อยเรารู้จักกันมั้ย" ชายคนนั้นถามอย่างโหดร้าย เมื่อรวมกับใบหน้าของเขาแล้ว จึงทำให้คนมองรู้สึกใจสั่นขึ้นมา
เย่ฉ่าวเฉินควบคุมอารมณ์และถามอย่างสงสัย "ในเมื่อแกเป็นคนจรจัด แล้วมีคนจรจัดที่ไหนใส่เสื้อผ้าสะอาดแบบนี้"
"น่าขำ" ชายคนนั้นหัวเราะเสียงเย็น "ใครบอกว่าคนจรจัดต้องใส่่เสื้อผ้าสกปรกเท่านั้นล่ะ"
"งั้นข้าวของของแกล่ะ หนาวขนาดนี้แกนอนที่ไหน" เย่ฉ่าวเฉินถามต่ออย่างไม่ลดละ
ชายคนนั้นไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่ถึงแสดงออกมา เย่ฉ่าวเฉินกับคนอื่นๆก็มองไม่เห็น
ชายคนนั้นพูดเสียดสี "ก็ในเมื่อเป็นคนจรจัด ไปไหนก็นอนนั่น แล้วจะมีข้าวของทำไม"
"จะว่าอย่างนั้นก็ถูก" เย่ฉ่าวเฉินเดินสำรวจไปรอบๆตัวเขาอย่างละเอียด จากนั้นก็ยิ้มออกมา "แต่ฉันเป็นคนที่ไม่เคยปล่อยใครไป แม้จะฆ่าผิดตัวก็ตาม ในเมื่อวันนี้แกบังเอิญตกมาอยู่กำมือของฉันแล้วก็อย่าหาว่าฉันใจร้าย ถ้าจะโทษก็โทษที่แกโชคไม่ดีเอง มาเอามันไปตัดมือตัดขา มัดมันแล้วเอาไปฝังซะ"
ยังไม่ทันที่บอดี้การ์ดจะได้ตอบ ชายคนนั้นก็พูดด้วยความโกรธ "แกไม่สนกฏหมายเลยรึไงถึงได้ฆ่าคนแบบนี้"
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างไม่สนใจ "ถ้าแกมีครอบครัว มีเพื่อน มีฐานะทางสังคมฉันอาจจะไม่กล้า แต่แกเป็นแค่คนจรจัด ถ้าตายไปก็คงไม่มีใครรู้"
"แก...." ชายคนนั้นโกรธมาก "ฉันไปทำอะไรให้แก แกถึงจะฆ่าฉัน"
เย่ฉ่าวเฉินเตะหินบนพื้น และพูดอย่างสบายๆ "เมื่อกี้ฉันก็บอกแล้วว่าแกโชคไม่ดี รออะไรกันอยู่ รีบลงมือสิ"
บอดี้การ์ดเดินตรงมากดชายคนนั้นลงกับพื้น โดยไม่ให้มีโอกาสขัดขืน
มือและเท้าหนักๆกระแทกลงบนตัวเขาไม่หยุด เขาจึงตะโกนออกมาว่า "ช่วยด้วย มีคนจะฆ่าผม" แต่ที่นี่เป็นเขตบ้าน และเป็นช่วงกลางดึกจึงไม่มีคนผ่านมา ต่อให้เขาร้องจนคอแตกก็ไม่มีใครได้ยิน
แต่สิ่งทีทำให้ชายชุดดำหมดหวังก็คือ เสียงที่เขาเรียกทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามา และคนคนนั้นก็คือมู่เทียนเย่
"คนนี้เป็นใคร" มู่เทียนเย่มองคนที่นอนอยู่บนพื้น และถามเย่ฉ่าวเฉิน
"เมื่อกี้เห็นข้างใน ฉันรู้สึกน่าสงสัย" เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองชายที่โดนรุมจนเลือดออกโดยไม่มีความสงสารสักนิด จากนั้นก็พูดต่อ "พวกเราไม่เจอคนอื่น เขาเพิ่งออกมาจากป่า และมาเจอฉันเข้าพอดี"
มู่เทียนเย่ก้มมองชายคนนั้นอย่างละเอียด ก่อนจะถามเสียงเบาอย่างตื่นตระหนก "มันใช่ไอ้สารเลวนั่นมั้ย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...