เธอชอบพูดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนผู้ชาย แต่เดิมเธอก็เป็นหญิงสาวที่งดงามเสมอ เพียงแค่เย่จิงเหยียนไม่เคยเห็น
การบรรเลงเพลงจบสิ้นลง ต้วนอีเหยาลุกขึ้นขอบคุณอย่างสุภาพ ได้รับเสียงปรมมือด้วยความยินดี จากภายในห้องประชุมใหญ่ ขณะที่สาวน้อยเงยศรีษะขึ้นได้สบตาเขา เย่จิงเหยียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เป็นการแสดงอะไร เย่จิงเหยียนก็ไม่รู้ เขาคิดเพียงแค่เรื่องเดียว หลังจากการแสดงในสถานที่แห่งนี้จบลง ต้วนอีเหยาก็ออกจากโรงเรียนอนุบาล เขาก็จะไม่ได้พบเจอเธออีกแล้ว
นึกถึงตรงนี้ เย่จิงเหยียนลุกขึ้นออกจากที่นั่งไปที่หลังเวทีการแสดงชั้นโรงเรียนอนุบาล เขาก็ได้เห็นเด็กผู้หญิงของเขา
ต้วนอีเหยารู้สึกตื่นเต้นดีอกดีใจพูดแบ่งปันความสุขกับเพื่อนๆ มองเห็นเขาเดินเข้ามา รีบหยุดพูดคุยกับเพื่อนทันที ถามเขาว่า “นายมาได้อย่างไร?”
เย่จิงเหยียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “เธอเรียนจบแล้วก็จะไปต่อชั้นประถมที่ไหน? ปีหน้าฉันก็จะไป”
ต้วนอีเหยาชะงักงันไปสักพัก จับที่มือเขาแล้วพูดว่า “นายมากับฉัน”
ทั้งสองคนออกมาด้านนอก โดยปกติสนามกีฬาคนจะเยอะตอนี้ว่างเปล่าไม่มีคนสักคนเดียว หาสถานที่ร่มรื่น ต้วนอีเหยามีความรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย “ฉันจะไม่ได้เรียนชั้นประถมที่เมืองAแล้ว”
“ทำไมล่ะ?”เย่จิงเหยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ตลอดเวลาฉันไม่เคยพูด พ่อของฉันเป็นทหาร ตั้งแต่เด็กฉันเติบโตในเขตปกครองทหาร ปีนี้พ่อต้องไปทำงานที่อื่นแล้ว ดังนั้น ฉันกับแม่ก็ต้องไปกับพ่อด้วย”
เย่จิงเหยียนตกใจมึนงง นิ่งเงียบไปตั้งนานค่อยพูดว่า “แล้วอย่างนั้นพวกเธอต้องไปที่ไหน?”
“ฉันก็ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็ไกลมาก”
“อย่างนั้นต่อไปฉันก็ไม่ได้พบเจอเธอแล้ว?”เย่จิงเหยียนรู้สึกปวดใจเล็กน้อย แววตาก็โศกเศร้า
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างเปิดเผย แผ่มือสองข้างออกกว้างแล้วโอบกอดเขา“รอพวกเราโตขึ้น ฉันจะกลับมาเมืองAหานาย”
“คนมากมายเช่นนี้ เธอจะหาฉันพบไหม?”
“แน่นอนฉันหาเจอ”ต้วนอีเหยาปล่อยเขาออก มองตรงไปที่ดวงตาสีดำของเขา “ นายมีลักษณะพิเศษเช่นนี้ ฉันก็
แค่ถามก็หานายเจอแล้ว แต่ นายต้องเก่งมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้มีคนรู้จักนายมากขึ้น ฉันก็จะหานายง่ายขึ้น”
เย่จิงเหยียนออกแรงผงกศีรษะ “อืม ฉันเติบโตเจะเก่งให้มากขึ้น แน่นอนว่าเธอต้องกลับมาหาฉันนะ อย่าลืมฉัน”
“ไม่มีทางลืม” ต้วนอีเหยายิ้มอย่างเจิดจ้าสดใส “แต่ว่า ถ้าหากฉันมาหานาย นายไม่รู้จักแล้วฉันทำอย่างไรล่ะ?”
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วแล้วคิดอยู่สองวินาที หลังจากนั้นหยิบด้ายแดงตรงลำคอออกมาอย่างรวดเร็ว ด้านบนห้อยหยกสีขาวชิ้นหนึ่ง แต่ว่าใส่มานานแล้ว มีความโปร่งแสงทะลุเล็กน้อย
“สิ่งนี้คือพ่อของฉันไปวัดโดยเฉพาะทางด้านนี้หามาได้ ด้านหลังมีชื่อของฉัน ต่อไปเธอก็นำติดตัวมาหาฉัน ฉันมองก็รู้จักแล้ว”พูดแล้วเย่จิงเหยียนก็หยิบหยกใส่ที่คอให้แก่เธอ ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เย่จิงเหยียนเติบโตขึ้นมาก ความสูงพอๆกันต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยาลูบหยกซ้ำๆ ใส่เข้าไปภายในเสื้อกดไว้แล้วพูดว่า “ฉันจะเขียนจดหมายหานาย เพียงแค่ที่อยู่ของบ้านนายไม่เปลื่ยน”
“ไม่เปลื่ยน ไม่มีทางเปลี่ยนแน่นอน”
“อย่างนั้นพวกเราพูดคำไหนคำนั้น มาเกี่ยวก้อยกัน”ต้วนอีเหยายื่นนิ้วก้อยออกมา เย่จิงเหยียนเกี่ยวก้อยที่นิ้วมือเธอ “เกี่ยวก้อยกันหนึ่งร้อยปีก็ไม่เปลื่ยนแปลง ประทับตรา”
ฤดูร้อนนี้ เด็กไร้เดียงสาทั้งสองคนรับปากสัญญากันใต้ต้นดอกท้อ แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เพื่อที่จะจำซึ่งกันและกันได้ต้องทุ่มเทพลังอีกพันเท่า
หลังเลิกเรียน รถjeepคันหนึ่งพาต้วนอีเหยาออกไป เย่ฉ่าวเฉินวิ่งตามอยู่ด้านหลังเป็นเวลานาน จนรถหายไปลับสายตา เขาจึงจะร้องไห้ออกมา
มาถึงสองวันแล้ว เย่จิงเหยียนไม่ได้กินข้าวมีแต่คำเดียว
มู่เวเวยมองดูลูกชายเป็นอย่างนี้ก็กังวลใจมาก แต่ทว่าเย่ฉ่าวเฉินก็แสดงออกว่าไม่เป็นไร “โดยทั่วไปเขาหิวก็กินเอง อีกสองวันก็ดีขึ้นแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ตอนบ่าย เย่จิงเหยียนก็มีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นพันเท่า เพราะต้วนอีเหยาส่งจดหมายหนึ่งฉบับมาให้เขา
จิงเหยียน วันนี้ฉันกับพ่อแม่ออกจากเมือง Aแล้ว เพียงแค่ฉันมีเวลา ฉันจะเขียนจดหมายมาหานาย นี่คือเส้นคอสีทองตอนที่ฉันครบหนึ่งเดือนคุณยายให้ฉันไว้ ฉันใส่มานานมาก นายต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีๆแทนฉัน ลาก่อน เพื่อนที่ดีของนาย ต้วนอีเหยา
คำเขียนคดโค้งงอ มีหลายคำที่เขียนไม่ได้ก็ใช่พินอินเขียนแทน ถึงแม้ว่าเป็นเช่นนี้ เย่จิงเหยียนก็อ่านอย่างมีความสุข เธอตั้งใจเขียนจดหมายด้วยตัวเองให้เขา
“เฮ้ย ลูกคนนี้กลายเป็นของผู้หญิงคนอื่นแล้วอย่างรวดเร็ว ฉันยังไม่คุ้นชินจริงๆนะ” มู่เวยเวยซบอยู่ในอ้อมกอดเย่ฉ่าวเฉิน พูดด้วยอารมณ์ไร้ขอบเขต
“เร็วที่ไหนกัน อย่างน้อยก็ต้องยี่สิบปีหลังจากนี้”
“ยี่สิบปี เร็วมาก……”
หลังจากวันนั้นมา ต้วนอีเหยาก็ส่งจดหมายมาอยู่หลายครั้ง บางครั้งมาจากทะเลทางไกลบ้าง บางครั้งมาจากหุบเขาลึกบ้าง มีครั้งหนึ่งในจดหมายยังแนบรูปถ่ายหนึ่งรูปของตัวเอง ยืนอยู่หน้าพระอาทิตย์ตก มัดผมเปียสั้น ที่คอห้อยด้ายสีแดง ในมือถือหมวกหญ้า ยิ้มอย่างสว่างไสวสดใส วันนั้น เย่จิงเหยียนมองรูปถ่ายแล้วยิ้มอย่างเจื่อนๆป็นเวลานาน
หนึ่งปี สองปี สามปี……。
อยู่มาวันหนึ่ง เย่จิงเหยียนนั่งรถผ่านโรงเรียนอนุบาล ทันใดนั้นนึกขึ้นมาได้ นานแล้วเขาไม่ได้รับจดหมายต้วนอีเหยาเป็นเวลานานมาก กลับถึงบ้านก็พลิกค้นกล่องจดหมายไปมา จดหมายจำนวนไม่มากฉบับสุดท้ายที่ได้รับก็คือหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้า อีกทั้งส่งมาจากขอบชายแดน จนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่เคยได้รับจดหมายจากเพื่อนทีดีอีกเลย
นั่งลงบนพรมอย่างห่อเหี่ยว เย่จิงเหยียนรู้สึกหดหู่มาก ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? ไม่ใช่ลืมเขาแล้วเหรอ?
วันนี้ตอนเย็น เย่จิงเหยียนไม่ได้ลงมากินข้าว
มู่เวยเวยไปเคาะประตู ได้ยินลูกชายพูดออกมาจากข้างในว่า “ผมไม่หิว”เธอไม่มีวิธีจัดการ ก็กลับไปห้องรับประทานอาหาร
“ผิงอันไม่กินข้าว?”เย่ฉ่าวเฉินถาม。”
“คงจะคิดถึงเพื่อนคนนั้นของเขาขึ้นมา เลิกเรียนก็เข้าไปอยู่ในห้อง”
เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้มที่มุมปาก “คิดไม่ถึงเด็กคนนี้มีความรู้สึกผูกพันขนาดนี้ จะสามารถนึกถึงโหยหาได้นานเช่นนี้”
มู่เวยเวยถอนหายใจออกมา “น่าเสียดายพ่อของสาวน้อยคนนั้นเป็นนายทหาร ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็พาผิงอันไปเจอเธอได้”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเล็กน้อย ชายคนนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่นายทหารที่ธรรมดา
หยิบถ้วยเปล่ามาหนึ่งใบคีบอาหารไม่กี่อย่างให้ลูกสาว พูดปลอบโยน “หรูอี้ นำอาหารไปส่งให้พี่ชายข้างบน เขาไม่กินท้องก็จะหิว”
เสี่ยวหรูอี้โตมาห้าขวบร่างกายเติบโตสวยงามแล้ว ผิวพรรณเหมือนหิมะ ดวงตาเหมือนดวงดาว
เธอถือถ้วยด้วยมือทั้งสองข้างแล้วผงกศรีษะ ในชั่วพริบตาเดียวก็หายไปจากตรงนั้น
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้พูด สรุปเธอเป็นเด็กดีน่ารักของบ้านเมื่อไหร่กันนะ?
เย่จิงเหยียนโตมาเจ็ดขวบสง่างามเคร่งขรึมเป็นเด็กหัวรั้น พิงอยู่ที่หัวเตียงเริ่มต้นอ่านจดหมายเก่าที่เป็นสีเหลืองทีละแผ่น
“พี่ชาย กินข้าวเถอะ”หรูอี้ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างทันที ผิงอันไม่ประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว เขาก็คุ้นชินกับการที่น้องสาวมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงด้วยวิธีการอย่างนี้แล้ว
“วางไว้ด้านนั้น อีกสักพักพี่จะกิน”
หรูอี้เว้นระยะห่างสักพักหนึ่ง ถ้วยกับตะเกียบก็ลอยผ่านไปวางบนโต๊ะของตัวเอง
นั่งลงยองๆอยู่ต่อหน้าพี่ชาย มือสองข้างอยู่ที่คางแล้วถามว่า “พี่ชาย พี่กำลังอ่านจดหมายพี่สาวอีกแล้ว”
“ใช่แล้ว”เย่จิงเหยียนปิดจดหมายหนึ่งฉบับ แล้วเปิดอีกหนึ่งฉบับ
“พี่ชาย พี่สาวสวยไหม?”
เย่จิงเหยียนนึกถึงใบหน้านั้นที่เหมือนดอกไม้สดใส ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “สวยมาก”
“อยากเจอพี่สาวมากเลย”หรูอี้รู้สึกว่า หลายปีมานี้สามารถทำให้พี่ชายคิดถึงได้นานขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักมาก
เย่จิงเหยียนลูบผมของเธออย่างเอ็นดู แล้วพูดว่า “พี่ก็อยากเจอเธอ”
หรูอี้ลุกขึ้นยืน “พี่ชายรีบกินข้าว ฉันยังกินไม่เสร็จเลย ไปแล้วนะ”
พูดว่าจะไปก็ไปเลย หนึ่งวินาทีต่อมา ก็ไม่เห็นเธอแล้ว
มือของเย่จิงเหยียนหยุดชะงักในอากาศ นานมากถึงนำกลับมา ในปากพูดพึมพำหนึ่งประโยคว่า “เด็กผู้หญิงที่ไม่มีหัวใจ”
“ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิง” คำประท้วงของหรูอี้ออกมาอย่างว่างเปล่า
“เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิง หรือว่าพี่เป็นเด็กผู้หญิงเหรอ?”เย่จิงเหยียนจงใจหยอกล้อเธอ
“พี่ชายน่าเกลียดน่าชังเช่นนี้ ไม่ต้องกินข้าวแล้ว”เสียงเพิ่งจะเปล่งออกมา เย่จิงเหยียนเงยศีรษะไปมองถ้วยที่อยู่บนโต๊ะ เป็นไปตามคาดหายไปแล้วจริงๆ
เฮ้ เด็กผู้หญิงคนนี้ชอบอาฆาตอย่างนี้?
ต้วนอีเหยาจากไปห้าปีแล้ว
โรงเรียนผู้ดีมีเงินที่ดีที่สุดของเมืองA ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ วิชาคณิตศาสตร์
คุณครูผู้มีประสบการณ์กำลังเขียนคำถามลงกระดานดำ ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังออกมา หันกลับไปมอง นักเรียนทุกคนนั่งตัวตรงอย่างเรียบร้อยอยู่ สีหน้าจริงจัง ยกเว้นคนคนหนึ่ง
“เย่จิงเหยียน!”คุณครูพูดตะคอก
เด็กผู้ชายบุคลิกองอาจน่าเกรงขามนั่งตรงกลางของห้องเรียน “กระโดด” ลุกขึ้นยืน รีบหยิบสิ่งของยัดเข้าไปในลิ้นชักอย่างรวดเร็ว
“นายกำลังทำอะไร?”คุณครูซักถามอย่างเข้มงวด
สีหน้าของเย่จิงเหยียนทำเหมือนไม่ได้มีความผิด พูดด้วยเสียงเหมือนเด็กน้อยว่า“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”
“เมื่อกี้นายเอาอะไรใส่เข้าไปในลิ้นชักแล้ว?”คุณครูนำหนังสือวางลงบนโต๊ะ แล้วลงจากแท่นมา
“ไม่มีอะไรสักอย่างเลย”
“นายหยิบออกมาด้วยตัวเอง” คุณครูเดินไปถึงด้านหน้าเขา ยื่นมือ “หยิบสิ่งของออกมา”
เย่จิงเหยียนกระพริบตาปริบๆ ถามด้วยความรู้สึกน้อยใจว่า “ คุณครูครับ ไม่มีอะไรสักอย่างเลยจริงๆ คุรครูจะให้ผมหยิบอะไร”
คุณครูไม่เชื่อ เขาเห็นชัดเจนว่าเย่จิงเหยียนนำสิ่งของอะไรสักอย่างใส่เข้าไปในโต๊ะ
“เย่จิงเหยียน นายไม่ต้องคิดว่าพ่อของนายเป็นเศรษฐีใหญ่ของเมืองA ก็จะสามารถละเมิดกฎของโรงเรียนได้ แล้วอย่าลืมนายเป็นเพียงแค่นักเรียนคนหนึ่ง”
คำพูดอย่างนี้เย่จิงเหยียนได้ยินตั้งแต่เด็กจนโตมานับไม่ถ้วนแล้ว เขาก็มีภูมิคุ้มกันมานานแล้ว แต่ว่าเขาเป็นเด็กเชื่อฟัง ไม่ทำอะไรสักอย่างเลยจริงๆ เพียงแค่เล่นหุ่นยนต์เล็กๆที่บริษัทของพ่อเพิ่งจะผลิตออกมา
แน่นอน สิ่งนี้ไม่สามารถให้คุณครูเห็นได้โดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเรียกพ่อมาที่โรงเรียน เขาก็ซวยนะสิ
“คุณครูครับ ผมไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเลยจริงๆ ไม่เช่นนั้นคุณครูก็มาค้นหาสักรอบสิ” เย่จิงเหยียนพูดแล้วจากนั้นก็เคลื่อนตัวออกจากที่นั่ง
คุณครูชะงักงันไปสักพักหนึ่ง สุดท้ายแล้ว…… จะค้นหาหรือไม่ค้นหา?
ถ้าค้นแล้วไม่มีสิ่งของจะทำอย่างไร?อย่างนั้นไม่ใช่จะน่าอับอายคนอื่นเหรอ? แต่ไม่ค้นหา ก็แสดงว่าตอนนี้ตัวเองใส่ร้าย เย่จิงเหยียน สีหน้ายิ้มออกมาอย่างเก็บไม่อยู่แล้ว
เขาก็ใจร้อนจะรับสอนห้องเรียนนี้ในเวลานั้น ก็มีคุณครูคนก่อนหน้าเคยบอกเขา ห้องเรียนนี้นักเรียนที่ดูแลยากที่สุดคือเย่ฉ่าวเหยียน เขาอยู่ในห้องเรียนทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง เพียงแค่ไม่กระทบต่อระเบียบในห้องเรียนก็พอแล้ว ก็อย่าไปให้เขาเข้าเรียนฟังคุณครูสอนเลย ถึงอย่างไรในทางกลับกันเขาก็สอบได้ที่หนึ่ง
ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว เขาจะทำอย่าไรดี?
เย่จิงเหยียนมองสีหน้าคุณครูที่สับสน ก็ถามไปอีกหนึ่งรอบ “คุณครูครับ สรุปแล้วจะค้นไหม?”
คุณครูจ้องเขม็งมองเขา พูดด้วยน้ำเสียงประนีประนอม “ในเมื่อนายบอกว่าไม่มี อย่างนั้นครูก็จะเชื่อคำพูดนายหนึ่งครั้ง แก้โจทย์ปัญหาบนกระดานดำนั้นเถอะ”
“อ้อ ครับ” เย่จิงเหยียนเดินขึ้นไปบนแท่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถ้ารู้มาก่อนว่าคุณครูคนนี้หวาดกลัวอย่างนี้ ก็จะเปลี่ยนไม่ให้หุ่นยนต์หายไปแล้ว มาถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ไหนแล้ว เขาอยากจะเล่นก็ไม่มีแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...