ต้วนอีเหยามือไม้สั่น กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จึงรีบกดวางสาย
เสียงของผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เสียงของเย่ชูวเสวีย และก็ไม่ใช่เสียงของคนที่เธอรู้จัก
เธอคนนั้นเรียกเขาว่าพี่จิงเหยียนช่างดูสนิทสนมกันอะไรเช่นนี้ แถมยังป้อนอาหารกันอีก
ต้วนอีเหยาไม่รู้ว่าควรจะเสียใจหรือควรปล่อยวางดี เธอขว้างโทรศัพท์ไปบนเคาท์เตอร์จากนั้นก็เอนตัวนอนเหม่อลอยที่เปลพับ
เธอรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจราวกับว่ามีก้อนหินก้อนใหญ่ทับไว้อยู่
เธอนิ่งอยู่สักพักก่อนถอนหายใจยาว เธอรู้สึกขมขื่นในใจ คิดในใจใครมันจะไปรอผู้หญิงที่หายไปไม่มีข่าวคราว ไม่มีเธอเขาก็มีผู้หญิงอื่นที่เหมาะสมคอยอยู่ข้างๆเขา
"พี่อีเหยา ได้เวลากินข้าวแล้วค่ะ" ฮัวเสี่ยวกุ้ยเดินถืออาหารเข้ามาในร้าน ต้วนอีเหยาเมื่อได้สติก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่มีอะไร "ซื้ออะไรมากิน"
"มีก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานกับข้าวผัดไข่ค่ะหนูให้เขาใส่พริกให้แล้วค่ะ พี่อยากกินอันไหนคะ?" ฮัวเสี่ยวกุ้ยไม่ได้สังเกตว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอ เพราะท่าทียังดูยิ้มปกติดี
"เอาข้าวผัดไข่แล้วกัน"
ต้วนอีเหยากำลังกินข้าวผัดไข่เธอรู้สึกว่ารสชาติมันแย่กว่าปกติมากบางทีอาจจะเป็นเพราะเธออารมณ์ไม่ดี
"เสี่ยวกุ้ย แฟนทำงานอะไรเหรอ"
"เป็นพนักงานทั่วไปในบริษัทเล็กๆอ่ะค่ะ"
"แล้วปกติเวลากินข้าวแฟนเธอเขาป้อนไหม" ต้วนอีเหยาไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับคนเป็นแฟนกันต้องทำอะไรบ้างเลยอดไม่ได้ที่จะถาม
ฮัวเสี่ยวกุ้ยงงนิดหน่อยก่อนจะหัวเราะดังออกมา " พี่จะบ้าเหรอ ไม่มีแบบนี้หรอกค่ะ ขนลุกเลยอ่ะ พี่อีเหยาถามแบบนี้ไปทำไมเหรอคะ? "
"อ่อ พอดีพี่ไปดูคลิปหนึ่งในเน็ตมาอ่ะ เลยถามไปงั้นแหละ" ต้วนอีเหยาใจสลายราวกับเศษแก้ว ขนาดฮัวเสี่ยวกุ้ยยังรู้สึกขนลุก แล้วพวกเขาล่ะ......
ณ แหล่งท่องเที่ยวเมืองโบราณ
อีกฝ่ายตัดสายไปเย่จิงเหยียนก็รู้งงงวยในใจ รู้สึกแปลกประหลาดเหมือนกับว่ามีคนมาขโมยของบางอย่างไป
"พี่จิงเหยียนกินอีกสักชิ้นนะคะ" "ต้วนจื่ออิ๋งกำลังหยิบขนมโมจิอีกชิ้นเพื่อป้อนเขา แต่เขาก้าวถอยหลังและพูดเบาๆว่า "พี่ไม่ชอบกินของหวาน"
มะกี้เขาไม่ทันระวังโดนต้วนจื่ออิ๋งยัดขนมเข้าปากจนถึงตอนนี้ยังรู้สึกอึดอัดท้องอยู่เลย
"ใครโทรเหรอคะ ทำไมเหม่อลอยอย่างนี้"
"น่าจะโทรผิดอ่ะ ชูเสวียทุกคนไปไหนกันหมดแล้วเหรอ?"เย่จิงเหยียนค่อยๆเงยหน้าขึ้น เขารู้สึกประหม่าและไม่ชินที่ต้องอยู่สองต่อสองกับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จัก ถึงเธอจะหน้าเหมือนอีเหยาก็ตาม
ต้วนจื่ออิ๋งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแล้วชี้ไปที่ตรอกข้างหน้า"พวกเขาไปอยู่ตรงนั้นค่ะ"
"งั้นพวกเราตามพวกเขาไปเถอะ" พูดจบเย่จิงเหยียนก็รีบลุกขึ้นเดินออกไป แล้วต้วนจื่ออิ๋งก็รีบวิ่งตามไป
ในวันหยุดสุดสัปดาห์มีผู้คนมากมายมาเที่ยวที่เมืองโบราณ ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนที่อยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ต้วนจื่ออิ๋งตั้งใจเบียดไปที่ตัวของเย่จิงเหยียนและมือของเธอสัมผัสมือของเขา ในใจเธออยากจะจับมือเขามากแต่กลัวว่าเขาจะสะบัดมือเธอทิ้ง
เย่จิงเหยียนรู้ทันจึงเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
เขาแสดงออกว่ารำคาญต้วนจื่ออิ๋ง ถ้ามะกี้เธอมีความกล้าเข้าไปจับมือเขาในตอนนี้อาจมีความหวังอยู่บ้าง
"พี่คะ กินร้านนี้เถอะ ตอนนี้อากาศร้อนแล้วอยากพักผ่อนสักหน่อย" เย่ชูวเสวียยืนอยู่ที่ทางเข้าร้านอาหารโบราณ เธอสวมหมวกใบใหญ่และใส่แว่นกันแดดแต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถบดบังความสวยของเธอได้ ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างก็หันมามองเธอ
"อืม งั้นร้านนี้ก็ได้"
พวกเขาไปนั่งที่ห้องวีไอพีชั้นสอง ด้านนอกหน้าต่างเป็นสะพานเล็กๆมีน้ำใสไหลผ่าน กลุ่มปลาคาร์ฟว่ายอยู่ในน้ำและมีลมเย็นๆพัดเข้ามา บรรยากาศช่างน่ารื่นรมย์ใจ
หลังจากสั่งอาหารไปสองสามจาน พนักงานเสิร์ฟก็หน้าแดงรู้สึกประหม่ารีบเติมน้ำชาจากนั้นรีบเดินถอยหลังไปสามก้าว ไม่เคยเห็นลูกค้าเป็นกลุ่มไฮโซชั้นสูงขนาดนี้มาก่อน
"เสี่ยวอวี้หลินเมื่อไหร่จะไปยุโรป?" เย่จิงเหยียนมือหนึ่งวางแขนไว้ข้างหน้าต่าง อีกมือหนึ่งยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม
เสี่ยวอวี้หลินยิ้ม" ใกล้แล้วแหละ พวกเราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว อยากจะถอนกิจการที่ยุโรปกลับมา คุณยายกับพ่อแม่อายุเยอะแล้ว ฉันอยากอยู่ใกล้ๆพวกเขามากขึ้น
เย่ชูวเสวียพูดอย่างรีบร้อน "เอ่อ ปราสาทที่ยุโรปเก็บมันไว้ได้ไหม ฉันชอบมันมาก ถ้ามีเวลาว่างอยากไปพักผ่อนสักช่วงหนึ่ง"
"แน่นอนอยู่แล้ว คุณยายกำชับหนักแน่นว่าต้องเก็บปราสาทหรูหราที่สุดในอังกฤษไว้ให้เธอ"
เย่ชูวเสวียดวงตาเป็นประกาย "คุณยายดีกับฉันเสมอ ฉันจะทำเค้กให้คุณยายเองในวันพรุ่งนี้"
"พี่ใหญ่ ได้ยินว่าพี่จะไปเมืองหลวงเหรอ ไปทำอะไรเหรอ" มู่ยู่วฉีถามไปยิ้มไป
เย่จิงเหยียนที่กำลังจิบชาอยู่ถึงกับเลิกคิ้ว "ใครบอกเหรอว่าพี่จะไปเมืองหลวง"
มู่ยู่วฉีมองไปที่ใครบางคนในโต๊ะ เย่ชูวเสวียร้อนตัวตะโกนออกมาว่า"ก็บอกไงว่าอย่าบอกใคร"
"ฉันยังไม่พูดอะไรเลย"
เย่จิงเหยียนจ้องมองน้องสาวของตัวเอง "ช่างมันเถอะ รู้งี้ไม่รีบบอกพวกเธอซะดีกว่า"
"พี่ใหญ่ ประชุมอะไรคะ ทำไมต้องเป็นความลับขนาดนี้"
"การประชุมของกระทรวงพาณิชย์อ่ะ อย่างอื่นพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน"
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา เย่จิงเหยียนได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่งจากเมืองหลวง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่โทรหาเขาเป็นการส่วนตัว โดยบอกว่าผู้นำเรียกเขาเข้าร่วมการประชุม ตอนแรกเย่จิงเหยียนคิดว่ามันเป็นการโทรหลอกลวงและรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงเมื่อเขาเห็นจดหมายเชิญอย่างเป็นทางการ แต่เขาไม่รู้ว่าการประชุมนั้นเกี่ยวกับอะไร
"พี่จะไปเมืองหลวงเหรอคะ?" ต้วนจื่ออิ๋งถามด้วยความตื่นเต้น
"ยังเหลือเวลาอีกอาทิตย์หนึ่ง"
ต้วนจื่ออิ๋งพูดด้วยความกล้า"ให้หนูไปเป็นเพื่อนพี่นะคะ ถึงเวลานั้นหนูเป็นไกด์ให้พี่เอง พาพี่ไปเที่ยวรอบปักกิ่งเลยค่ะ"
เย่จิงเหยียนพูดผ่านๆ" ค่อยคุยกันอีกทีเถอะ ไม่รู้จะมีเวลาหรือเปล่า"
"พี่ใหญ่พาฉันไปด้วยได้ไหมคะ อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง" มู่ยู่วฉีขอร้องอ้อนวอน
เย่จิงเหยียนเผลอหัวเราะออกมา"เอ่อ จะพาไปด้วยยังไง"
มู่ยู่วฉีตบที่อกของตัวเองแล้วพูดว่า"ให้ฉันไปเป็นผู้ช่วยของพี่ก็ได้นะ เดี๋ยวฉันจะคอยบริการรับใช้พี่อย่างดีเลย"
"ผู้ช่วยค่าตัวแพงขนาดนี้พี่จ้างไม่ไหวหรอก"
"พี่ใหญ่ ขอร้องล่ะพาฉันไปด้วยนะ"
เย่จิงเหยียนเริ่มรู้สึกสงสัย "ทำไมพี่ต้องพาเราไปด้วยล่ะ"
เสี่ยวอวี้หลินรีบพูดแทนพี่ชายของตัวเอง" พี่ใหญ่ ไม่รู้หรอกว่าเขาแอบชอบดาราหญิงคนหนึ่ง ตอนนี้เธอกำลังถ่ายละครอยู่ที่ปักกิ่ง แต่ว่าพ่อแม่ไม่เห็นด้วยที่จะให้เขาคบกับผู้หญิงในวงการบันเทิง ห้ามเขาไม่ให้ไปที่ปักกิ่ง แต่ถ้าพี่พาเขาไปด้วยก็จะได้ใช้ข้ออ้างนี้"
"อะไร? ดาราหญิง?" เย่จิงเหยียนกับเย่ชูวเสวียพูดพร้อมกัน "คนไหน? ทำไมไม่เคยบอกพี่"
"โอ้ย ไม่ต้องถามแล้ว เรื่องนี้พูดไปยังไงก็ไม่จบเดี๋ยวรอผลลัพธ์ค่อยบอกพวกพี่ก็ยังไม่สาย"
"ถ้าคุณลุงกับคุณป้ารู้เรื่องเข้าต้องด่าพี่แน่นอนเลย" เย่จิงเหยียนรู้สึกเป็นกังวล
"ถ้าพวกเราไม่มีใครพูดพวกเขาก็ไม่รู้ ถ้าให้พูดอีกพ่อแม่เขารักพี่จะตาย จะด่าลงเหรอ"
เย่จิงเหยียนลังเลอยู่พักหนึ่งแต่เมื่อดูสภาพที่น่าสงสารของเขาที่อยากพบคนที่อยากเจอแต่กลับเจอไม่ได้ จึงยอมใจอ่อนให้ไปด้วย "โอเค พี่ให้ไปด้วย แต่อย่าเผลอไปพูดอะไรออกไปล่ะ”
"ฉันก็อยากไปด้วยเหมือนกัน"
"ไปไม่ได้!"เย่จิงเหยียนกับมู่ยู่วฉีพูดพร้อมกัน
"เชอะ ไม่ไปก็ไม่ไป"เย่ชูวเสวียทำหน้าบึ้งตึง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...