“พี่ อย่าโกรธเลย! ฉัน ... ”
“ทะเลาะกับพ่อแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เขาไม่รอให้เย่ชูวเสวียพูดมากไปกว่านี้ เย่จิงเหยียนก็ถามอีกคำถามขึ้น ตอนนี้เขาเดาอะไรบางอย่างไว้แล้ว เพียงแค่รอให้เย่ชูวเสวียสารภาพออกมา
เย่ชูวเสวียมองกลับไปที่หนานกงเจาอย่างขี้ขลาดและพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ "ก็ก่อนวันที่โทรหาพี่วันหนึ่ง"
"กลับไปก่อนเถอะ!" เย่จิงเหยียนพยายามระงับอารมณ์ที่อยู่ในใจของเขา ทำให้ต้วนอีเหยาอยู่เหนือพวกเขาทั้งสองคน
“เห้ย? พี่ใหญ่ ... ” เย่ชูวเสวียรีบตามเย่จิงเหยียนให้ทัน ปล่อยเธอกลับไปเช่นนี้เธอจะต้องโดนด่ายับแน่ๆ
"ไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับ"
เย่จิงเหยียนไม่ได้หันหลังกลับแล้วเข้าไปในรถแท็กซี่ทันทีโดยทิ้งเย่ชูวเสวียไว้ข้างหลัง
"ชูวเสวีย มันอันตราย!" หนานกงเจารีบตามเย่ชูวเสวียและดึงเธอออกจากรถแท็กซี่
“จะทำยังไงดี เพราะนายนั้นแหละ!”
น้ำตาของเย่ชูวเสวียไหลออกมา เธอเรียกพี่ชายกลับมาไม่ได้เป็นเพราะให้เธอกลับไปทะเลาะกับพ่อแม่เธอต่อ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ภายใต้ขอบเขตของการคาดหวังของเธอ
"จิงเหยียน ทำไมคุณถึงทำแบบนี้กับชูวเสวีย?" ต้วนอีเหยามองไปที่เย่ชูวเสวียที่ค่อยๆห่างออกไป เธอกระโดดโลดเต้นอย่างกระวนกระวายและเหมือนกับว่าเธอยังเช็ดน้ำตาอยู่ด้วย
แน่นอนว่าเย่จิงเหยียนเองก็เห็นแล้ว เขาหันศีรษะกลับและไม่มองเธออีก “ไม่ปล่อยให้เธอมีความทรงจำกับเรื่องแบบนี้เพิ่มบ้าง ต่อไปก็คงไม่กลัวอะไรแล้ว”
ต้วนอีเหยาแอบหัวเราะ แท้จริงแล้วเขาเองก็อึดอัดมาก เห็นๆกันอยู่ว่าในใจเขาก็กังวลมากเหมือนกัน แต่เขาก็ยังต้องแสร้งทำท่าทางเป็นพี่ชายที่เข้มงวดคนหนึ่ง
...
บ้านตระกูลเย่
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยนั่งอยู่บนโซฟา จ้องมองไปที่เย่ชูวเสวียตรงประตูด้วยใบหน้าจริงจัง
"รู้จักกลับมาแล้วหรอ?" เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนแรกที่พูดออกมา โชคดีที่เขาเอาแต่ช่วยพูดสิ่งดีๆต่อหน้ามู่เวยเวย ไม่คิดมาก่อนว่าไอ้ตัวแสบคนนี้จะใจร้ายขนาดนี้เพราะไม่ได้กลับมาตั้งสามวันแล้ว!
"อืม พ่อ หนูผิดไปแล้ว!" เย่ชูวเสวียไม่กล้ามองไปที่มู่เวยเวย เธอจึงทำได้แค่จ้องไปที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร
ยังไงซะเธอก็เป็นลูกสาวของตัวเอง เมื่อเห็นเธอในสภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจอ่อนให้ เย่ฉ่าวเฉินกำลังจะผ่อนคลายลง แต่หนานกงเจาก็เดินเข้ามาจากด้านนอกพอดี
"คุณลุงเย่ คุณป้าเย่!" หนานกงเจาตะโกนด้วยเสียงที่ไร้ยางอายและทำให้ไฟที่กำลังจะมอดดับของเย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้งในทันที
“ใครให้นายมา?”
"พี่ ... พี่ใหญ่!" หนานกงเจาหันไปจ้องที่เย่จิงเหยียน แสดงท่าทีสงสัย "พี่ใหญ่บอกกลับมาบ้านค่อยคุยเรื่องนี้กันไม่ใช่เหรอ?"
"ฉันหมายถึงให้ชูวเสวียกลับบ้าน นี้ใช่บ้านนายที่ไหนล่ะ?" เย่จิงเหยียนที่ไม่พูดอะไรจู่ๆก็ถูกดึงเข้ามาในบทสนทนา เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมองมาที่ตัวเอง เขาก็ทำได้แค่ตอบกลับ
หนานกงเจาเกาหัว "เพราะตอนพี่ใหญ่พูดพี่มองมาที่ผม ผมก็เลยคิดว่ากำลังพูดกับผม!"
เย่จิงเหยียนทำอะไรไม่ถูก "ใครเป็นพี่ใหญ่นาย?"
"พี่ไง ชูวเสวียเรียกพี่ว่าพี่ใหญ่ ผมก็ควรเรียกพี่ว่าพี่ใหญ่ด้วย ถูกแล้วนิ!"
เย่จิงเหยียนพูดไม่ออก คนที่ไม่มีความคิดแบบนี้เขาจะช่วยได้ยังไง? เขามองไปที่เย่ชูวเสวียแล้วแบมือทั้งสองออกเพื่อแสดงให้เธอเห็นว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้
เย่ชูวเสวียรับรู้ทันทีและทำได้เพียงใช้วิธีของเธอเองเพื่อขอให้เย่ฉ่าวเฉินให้อภัย "พ่อ หนูผิดไปแล้ว หนูไม่ควรไปงานเลี้ยงกับเขาและทำให้พ่อต้องขายหน้า!"
เสียงอ้อนของเธอทำให้เย่ฉ่าวเฉินใจอ่อนลงบ้าง “รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว ...”
"ไม่ใช่สิ ชูวเสวีย ทำไมถึงขายหน้าล่ะ?" หนานกงเจาไม่เข้าใจในคำพูดนั้น เป็นเพราะว่าเขาขี้เหร่หรอ? หรือเป็นเพราะยังรวยไม่พอ?
"นายไม่ต้องพูด!" เย่ชูวเสวียมองไปที่เขาและทำท่าทางว่ากำลังพูดบางอย่างโดยไม่มีเสียงให้เขาเห็น
มู่เวยเวยวางถ้วยชาลงแล้วพูดว่า "ไม่ได้ขายหน้า เรื่องของพวกเธอฉันไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้แล้ว อยากทำอะไรก็ทำเถอะ!"
"อย่าทำแบบนี้สิแม่! หนูรู้แล้วจริงๆว่าหนูผิด หนูสาบานว่าต่อจากนี้หนูจะไม่ติดต่อกับเขาอีก!" เย่ชูวเสวียรีบหันไปกอดมู่เวยเวย "แม่ยกโทษให้หนูเถอะ!"
มู่เวยเวยหัวเราะอย่างเยาะเย้ย “ไม่เห็นมีอะไรน่าให้อภัย ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดนิ!”
“หนูผิดไปแล้ว หนูผิดไปแล้วจริงๆ วันนั้นสมองหนูมีปัญหาไม่ควรพูดแบบนั้นกับแม่!”
ในขณะที่พูดเย่ชูวเสวียก็หันหน้าไปมองเย่จิงเหยียน กระพริบตาปริบๆเพื่อขอความช่วยเหลือแต่แล้วก็รู้สึกเมื่อยที่ดวงตา ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็แดงไปหมดจึงทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกสงสาร
หนานกงเจาอยากไปปลอบเธออย่างมากแต่เมื่อเห็นว่าเธอกำลังขยิบตาให้ตัวเอง เขาก็กลั้นการกระทำของเขาเอาไว้
ก็แค่ต้องกล้ำกลืนความอัปยศไม่ใช่หรือ? เขาทนได้!แต่ที่ชูวเสวียบอกว่าจะไม่ติดต่อกับเขาอีก เรื่องนี้เขาไม่เชื่อหรอก!
"แม่ ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกันเถอะ!" เย่จิงเหยียนขัดจังหวะบรรยากาศที่กำลังถกเถียงกัน
มู่เวยเวยเหลือบมองนาฬิกาบนผนังและไม่ได้พูดอะไรมาก “งั้นไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
เมื่อพี่เลี้ยงได้ยินคนพูดขึ้นว่าจะกินข้าว เขาก็รีบเอาอาหารทั้งหมดในห้องครัวออกมาเสิร์ฟ เย่ชูวเสวียถือโอกาสนั่งลงข้างๆมู่เวยเวย
ทุกคนหาที่นั่งได้แล้ว มีเพียงหนานกงเจาที่ยังยืนอยู่ตรงประตูอย่างเหม่อลอย ทำท่าจะเข้ามาก็ไม่ใช่จะถอยกลับก็ไม่ถูก
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นเขาทำตัวไม่ถูกจึงพูดเพื่อช่วยเขาตัดสินใจ "นายก็มานั่งด้วยกันเถอะ!"
"ได้เลยครับ!" เมื่อได้ยินเย่ฉ่าวเฉินพูดหนานกงเจาก็เหมือนได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งและเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆเย่ชูวเสวีย
“ฮาย ชูวเสวีย บังเอิญจัง!” ทันทีที่หนานกงเจานั่งลงเขาก็ยิ้มและเข้าหาเย่ชูวเสวีย
การกระทำนี้กระตุ้นความรังเกียจของเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยอย่างไม่ต้องสงสัย เย่ฉ่าวเฉินเคาะโต๊ะและชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆเย่จิงเหยียนที่ยังว่างอยู่ "นาย ไปนั่งตรงนั่น!"
หนานกงเจาจ้องไปที่เย่ชูวเสวียด้วยความน้อยใจ "ชูวเสวียผมไม่อยากไป!"
"บอกให้นายไปก็ไปสิ อย่ามัวชักช้า!"
หนานกงเจาเห็นว่าเย่ชูวเสวียเริ่มมีน้ำเสียงโมโห ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ลุกจากเก้าอี้และเดินไปข้างๆเย่จิงเหยียน "พี่ใหญ่ ยินดีที่ได้พบ!"
มุมปากของเย่จิงเหยียนกระตุกและยื่นมือออกไปเพื่อจับมือที่เขายื่นมาและกำชับว่า “กินข้าวดีๆ!”
เขาไม่อยากสร้างปัญหาในมื้ออาหารจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ แท้จริงแล้วหนานกงเจาคนนี้เสแสร้งหรือเป็นคนไม่รู้จักใช้สมองจริงๆกันแน่ ทำไมไม่รู้จักดูสีหน้าของคนเขาบ้าง
โชคดี สิ่งที่เย่จิงเหยียนกังวลไม่ได้เกิดขึ้น หนานกงเจาก้มหน้าก้มตากินเงียบๆจนน่าแปลกใจ พวกเขาพูดกันไม่กี่คำเป็นครั้งคราว แต่เขาเพียงแค่นั่งฟังเงียบ ๆ
ในทางกลับกันต้วนอีเหยากลับรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย เธอเริ่มรู้สึกไม่สบายท้องตั้งแต่เธอได้กลิ่นของเลี่ยน แต่เป็นเพราะอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของเย่จิงเหยียน เธอจึงไม่อยากแสดงออกมาชัดเจนเกินไป
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เย่จิงเหยียนคนที่ช่างสังเกตเห็นความผิดปกติของต้วนอีเหยาจึงก้มหัวลงเพื่อถามเธอที่ข้างหู
เนื่องจากหูของเธอที่ไม่ค่อยได้ยินแม้ว่าเย่จิงเหยียนจะควบคุมเสียงแล้ว แต่คนรอบข้างก็หันมาสังเกตเห็นแล้วเช่นกัน
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” มู่เวยเวยถามเธอเบาๆโดยปราศจากความเข้มงวดของเมื่อกี้
ต้วนอีเหยาโบกมือไปมาอย่างรวดเร็ว "ไม่เป็นไรค่ะๆ อาจเป็นเพราะเจ็ตแล็กยังไม่หาย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...