"ไม่ใช่ๆ ฉันจะชดใช้แน่นอนๆ เพียงแค่รถคันนี้... "
“รถคันหนึ่งสำคัญกว่าชีวิตคนหรือไง”?
ทันทีที่เสียงของชายคนนั้นพูดจบ หญิงชราที่นั่งอยู่บนพื้นก็เริ่มส่งเสียงครวญครางอย่างแผ่วเบา เธอนอนอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรงและดูเหมือนจะหายใจลำบาก
"แม่ แม่เป็นอะไรไป!" ชายคนนั้นคุกเข่าลงบนพื้นทันทีและสำรวจร่างของหญิงชราอย่างวิตกกังวล
เย่ชูวเสวียถูกพวกเขารั้งอยู่ข้างนอก เธอทำได้เพียงเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างเป็นห่วงและกังวล “ตอนนี้คุณต้องไปโรงพยาบาล! ถ้าพวกคุณไม่มีเงิน ก็ ... ก็ใช้รถของฉันไปก่อน”
เย่ชูวเสวียถือกุญแจรถไว้และกำลังจะยื่นให้กับชายคนนั้น แต่เพียงครู่เดียวชายคนนั้นก็หยิบไปทันที
เธอมองดูชายคนนั้นเดินเข้าไปในรถอย่างไม่เต็มใจและพูดว่า "ระวังหน่อยนะ อย่าให้เสียหาย ฉันยังต้องเอาคืน!"
เหมือนกับว่าชายคนนั้นจะไม่ได้ยิน เขาเปิดประตูรถอย่างหยาบคายและทำเหมือนกับว่าลืม
"เดี๋ยวก่อน!"มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน มือใหญ่ของเขาดึงชายคนนั้นออกมาจากประตูรถ
เย่ชูวเสวียที่เป็นคนฟังได้ยินเสียงนั้นก็รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย เมื่อหันหน้ามามองพร้อมกับคนอื่นๆ ก็เห็นแค่ว่าหนานกงเจากำลังดึงชายคนนั้นไว้และมองมาที่เธอด้วยรอยยิ้ม
"ชูวเสวีย ฉันมาแล้ว!"
"นายมาได้ยังไง?" เย่ชูวเสวียประหลาดใจ ทำไมไปไหนก็เจอเขาทุกที่ แต่ในที่สุดวันนี้เขาก็มาถูกเวลา เธอหายใจเข้าออกลึกๆ ยังไงก็ปกป้องรถไว้ได้
"ชูวเสวีย เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอเอากุญแจรถให้คนนี้?"
การปรากฏตัวของหนานกงเจาทำให้เย่ชูวเสวียโล่งใจ เธอลังเลอยู่พักหนึ่งและพูดว่า "เมื่อกี้ฉันมองเห็นไม่ชัดเลยไปชนคนเข้า"
"ชนใคร?" หนานกงเจามองไปรอบๆ ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว จึงชี้หญิงชราที่นั่งอยู่บนพื้น "ชนเธอ?"
"ใช่" เย่ชูวเสวียทำอะไรไม่ถูก นี้มันชัดเจนมากไม่ใช่เหรอ เขามองไม่เห็นหรือไง?
“แล้วคุณเอาให้รถเขาทำไม?”
เย่ชูวเสวียไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรเพื่อให้เขาเข้าใจได้บ้าง เธอจึงทำได้เพียงแค่เม้มริมฝีปากและถามว่า "เอ่อ ... หนานกงเจา นายมีเงินไหม?"
“ทำไมเหรอ?” หนานกงเจาผงะ “คุณจะซื้ออะไรเหรอ?”
"ฉันชนคนก็ต้องชดใช้เงินสิ!" เย่ชูวเสวียหมดคำพูด หมดหนทางกับเขาคนนี้แล้วจริงๆ ในเวลาแบบนี้ยังคิดถึงเรื่องซื้อของได้
"อ้อ จะเอาเท่าไหร่?" หนานกงเจาเกาหัว ส่วนคนที่อยู่ในมือของเขาฉวยโอกาสนี้ค่อยๆแอบออกมาจากฝ่ามือของเขา
"กลับมา!" หนานกงเจาหันกลับไปแล้วลากเขากลับมาจากนั้นก็หยิบกุญแจจากมือของเขา "คืนกุญแจรถมา"
หลังจากการกระทำทั้งหมดเสร็จสิ้น เขาก็รีบวิ่งไปหาเย่ชูวเสวียเพื่อขอเครดิต "เย่ชูวเสวีย กุญแจรถของคุณ"
เย่ชูวเสวียรับกุญแจรถมาและไม่ได้พูดอะไร คนรอบข้างต่างรู้สึกไม่พอใจนานแล้วและชี้ไปที่พวกเขา
เมื่อคนแรกๆที่มาก่อนเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้องแล้วจึงรีบตะโกนว่า "ชนคนแล้วไม่ชดใช้ ยังจะทำร้ายคนอีก!"
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนรอบๆตัวต่างตื่นตระหนกขึ้นมาและตำหนิหนานกงเจา แม้แต่เย่ชูวเสวียที่อยู่ด้านข้างก็ไม่สามารถทนได้
พวกเขาทั้งสองถูกเบียดเข้าหากัน เย่ชูวเสวียเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เธอพูดไปที่หูของหนานกงเจาขณะที่ยืนอยู่และพูดว่า "นายไม่มายังดีกว่า ฉันเกือบจะแก้ปัญหานี้ได้แล้ว แต่พอตอนนี้กลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้"
หลังจากที่หนานกงเจาได้ยินเขาก็รู้สึกน้อยใจ "ชูวเสวีย ผมไม่ได้ตั้งใจ"
เขาตะโกนเสียงดังว่า "พวกคุณหยุดตะโกนได้แล้ว จะเอาเท่าไหร่ พูดมาตรงๆเลยดีกว่า”
เมื่อมีคนได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เพียงแค่ดูก็เห็นถึงท่าทางที่ร่ำรวยของเขา ทันใดนั้นทุกคนก็หยุดพูดทันทีและหันไปมองลูกชายของหญิงชราคนนั้น
จู่ๆก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา ชายคนนั้นไม่รู้ว่าจะพูดเลขอะไรถึงจะสมเหตุสมผล ผ่านมาสักพักแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดออกมา
"คุณก็แค่พูดออกมา ถ้าไม่พูดเราจะได้กลับ"ในขณะที่พูด หนานกงเจาก็จับมือเย่ชูวเสวียขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ
"เดี๋ยวก่อน!" ชายคนนั้นเห็นว่าพวกเขากำลังจะไปและรีบหยุดพวกเขาไว้
“แม่ของผมเป็นแบบนี้ก็ควรชดใช้ห้าแสนหยวน”
เขาไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ก็โพล่งออกมา ผู้คนในที่เกิดเหตุอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆด้วยความอึ้ง สำหรับข้อเรียกร้องที่สูงแบบนี้ของเขา เขาไม่ได้คาดหวังมันเลย
แต่หนานกงเจาโบกมือใหญ่ “อ้อ ... มันก็แค่ห้าแสนหยวนไม่ใช่หรอ ทำไมพวกคุณถึงตกลงกันนานขนาดนี้”
หนานกงเจาหยิบบัตรออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้ชายคนนั้น "ในนี้อย่างน้อยก็มีหนึ่งล้าน รหัสผ่านคือตัวเลขหกหลักสุดท้ายของบัตร"
ชายคนนั้นรับบัตรมาโดยแทบไม่อยากจะเชื่อ จู่ๆเขาก็ให้เพิ่มอีกครึ่งหนึ่ง ในโลกใบนี้จะมีเรื่องดีๆแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง!
"ผมจะเชื่อได้อย่างไรว่ามีเงินมากมายขนาดนี้อยู่ในบัตรใบนี้?"
หนานกงเจาชี้ไปที่ตู้เอทีเอ็มที่มุมถนนฝั่งตรงข้าม "คุณไปเช็คดูตรงนั่นก็พอ เราจะรอคุณอยู่ตรงนี้ มีคนจ้องเราเยอะขนาดนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก"
ชายคนนั้นเห็นเขาพูดอย่างฉะฉาน เขาทั้งเชื่อทั้งสงสัยพร้อมกับเดินผ่านฝูงชนไป ผู้คนต่างตั้งตารอดูว่าตกลงมีเงินอยู่ในบัตรเท่าไหร่กันแน่และพวกเขาก็หลีกทางให้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หนานกงเจาไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกเขามากนัก ในสายตาเขามีเพียงเย่ชูวเสวียเท่านั้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล จึงรีบปลอบเธออย่างรวดเร็ว "ไม่ต้องห่วง ข้างในมีพอแน่นอน!"
"ใครเป็นห่วงเรื่องนี้กัน!" เย่ชูวเสวียเหลือบมองเขาเหยียดๆ เขาต้องการเพียงห้าแสนแต่นายให้เขาไปหนึ่งล้าน พูดง่ายๆก็คือแบบอย่างของคนโง่ที่ต้องเสียเงินฟรีๆ!
"แล้วคุณกังวลอะไร?" หนานกงเจางง ตอนนี้ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว เธอก็ควรจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ?
“เป็นห่วงกับผีนายนะสิ!” เย่ชูวเสวียขี้เกียจสนใจเขา ก็เลยหันหน้าไปทางอื่นและไม่อยากคุยกับเขาอีก
ผ่านไปไม่นาน ชายคนนั้นก็วิ่งกลับมาพร้อมกับบัตรในมือ เขาดูตื่นเต้นแต่ก็พยายามยับยั้งมันไว้อย่างเต็มที่
ก่อนที่จะมาถึงตรงหน้าหนานกงเจา เขาก็โค้งคำนับขอบคุณ "ขอบคุณครับเจ้านาย!"
"เป็นยังไงบ้าง?" ผู้คนจำนวนมากพากันรุมล้อมเขาทันที ทุกคนต่างอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วในนั้นมีเงินหนึ่งล้านหยวนไหม แต่ว่าลักษณะท่าทางของชายคนนั้นน่าจะใช่
แปดเก้าไม่พ้นสิบ
ชายคนนั้นรู้สึกตื่นเต้นและพยักหน้า“ มีเงินล้านอยู่ในนั้นจริงๆ!”
"ดูผิดรึเปล่า?มองชัดเจนแล้วหรอ? " มีคนถามขึ้น
ชายคนนั้นส่ายหัว "เป็นไปไม่ได้ ผมนับหลายครั้งแล้ว มีเลขศูนย์หกตัวจริงๆ!"
ผู้คนรอบข้างต่างพากันปั่นป่วน หนานกงเจาแอบดึงเย่ชูวเสวียออกไปอย่างลับๆ
"นายทำอะไร?" เย่ชูวเสวียอยากดึงข้อมือของเธอออกอย่างหงุดหงิด
หนางกงเจารีบเอื้อมมือไปปิดปากของเย่ชูวเสวียไว้และพูดใส่ข้างหูของเธอว่า "เบาๆหน่อย ไปที่รถก่อน!"
เย่ชูวเสวียถึงกับผงะ เพียงแต่รู้สึกว่าหัวใจของเธอสั่นคลอนด้วยลมหายใจที่เขาพ่นออกมาและในพริบตาก็มาถึงรถของเธอ
"เอากุญแจรถให้ผม!" หนานกงเจายื่นมือออกและเขย่าไปมาตรงหน้าเย่ชูวเสวีย ทำให้เธอกลับมามีสติอีกครั้ง
"อ่ะ!" เย่ชูวเสวียจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า "ตกลงนายกำลังจะทำอะไร?"
"จะไม่ทันแล้ว!" เย่ชูวเสวียไม่ได้ยื่นกุญแจให้เขา ดังนั้นหนานกงเจาจึงต้องลงมือคว้ามันโดยตรงแล้วกดที่ปุ่มของกุญแจและประตูรถก็ถูกล็อค
"หนานกงเจา! นายทำอะไร!"เย่ชูวเสวียจ้องไปที่หนานกงเจาอย่างโกรธเคือง "นายควรอธิบายให้ฉันฟัง!"
"คุณดู" หนานกงเจาไม่ได้อธิบายเพียงแค่ชี้นิ้วออกไปนอกหน้าต่าง
เย่ชูวเสวียมองตามทิศทางที่เขาชี้และมองออกไปด้วยความสงสัย ข้างนอกยุ่งเหยิงไปหมดโดยมีคนหลายร้อยคนหันหน้าเข้าหากัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...