“อยู่นี่ไงเตรียมไว้แล้ว”
เซี่ยอันน่าหยิบกล่องใหญ่ออกมาและเปิดออก ข้างในมีของขวัญสวยงามมากมาย
“ที่แท้กล่องนี้ก็ใส่ของขวัญไว้ ตะกี้ฉันคิดว่าเหล้าซะอีก ไม่อย่างนั้นคงเปิดดูนานแล้ว”
ทุกคนรุมกันเข้ามาดูของขวัญด้วยความตื่นเต้น เซี่ยอันน่าพูดอย่างมั่นใจ “ของพวกนี้ฉันเป็นคนตั้งใจเลือกมาอย่างดี ไม่เหมือนของทั่วไป ทุกอันมีเอกลักษณ์มาก ลองเลือกดูว่ามีอันที่ชอบไหม”
เมื่อฉีฉีเห็นอะไรบางอย่างสายตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา เธอหยิบมันขึ้นมา “ช็อกโกแลตกล่องนี้น่ากินจัง”
“ฉันรู้ว่าเธอชอบช็อกโกแลต”
เย่ชูวเสวี่ยหยิบกล่องบรรจุสวยงามออกมา และพูดด้วยความประหลาดใจ “นี่เป็นแม่พิมพ์อบขนมของวิลตันนี่นา ฉันชอบมานานแล้ว”
“คราวหน้าก็ทำขนมอร่อยๆให้พวกเราชิมหน่อย”
ฉีฉีกับเย่ชูวเสวี่ยกำลังเลือกของข้างในอย่างสนุกสนาน โดยที่ต้วนอีเหยายืนมองอยู่ข้างๆด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยอันน่าเห็นต้วนอีเหยาไม่ขึ้นไหวจึงถาม “พี่อีเหยา พี่ไม่เลือกอะไรหรอ”
“ฉันไม่รีบ เอาของที่เหลือให้ฉันก็ได้”
เมื่อเห็นเครื่องสำอาง น้ำหอมต่างๆในกล่อง เซี่ยอันน่าก็พูดอย่าหงุดหงิด “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าพี่ท้อง ไม่อย่างนั้นฉันจะซื้อเสื้อผ้าเด็กให้เป็นของขวัญ ตอนนี้ของพวกนี้คงไม่เหมาะกับพี่เท่าไหร่”
“ใช่ที่ไหนกัน”ต้วนอีเหยาเห็นตุ๊กตาในกล่องจึงหยิบมันขึ้นมา และพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันชอบตัวนี้ ฉันขอรับน้ำใจเธอไว้แล้วกัน”
การกระทำที่ทำให้คนอื่นสบายใจของต้วนอีเหยา ทำให้เซี่ยอันน่ายิ้มออกมา
แต่รอยยิ้มก็อยู่ไม่ได้นาน ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาทำลาย
“แจกของขวัญกันอยู่หรอ มีของพวกเราไหม”
เมื่อเห็นเสี่ยวอวี้หลินและคนอื่นๆเข้ามา เซี่ยอันน่าก็ทำท่าคัดค้าน “พวกคุณเข้ามาได้ยังไง”
เสี่ยวอวี้หลินยักไหล่พูด “ที่นี่ก็ไม่มีใครห้ามเราเข้าสักหน่อย”
เซี่ยอันน่าขมวดคิ้วมองไปด้านหลัง
เมื่อเห็นสายตาของเธอมองมา เย่ชูวเสวี่ยก็รีบโบกมือ “อันน่าเรื่องนี้ฉันไม่เกี่ยว ฉันไม่ได้บอกสถานที่กับพวกเขา”
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับชูวเสวี่ย พวกเราหาจุดนัดหมายจากโทรศัพท์ของคุณ พวกเราแอบฟัง”
คนที่พูดประโยคนี้คือหนานกงเจา
เมื่อได้ยินอย่างนั้นเย่ชูวเสวี่ยก็ส่งสายตาดุไป
“หนานกง คุณทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง”
หนานกงเจาทำอะไรไม่ถูก จึงทำท่าออกมาว่า “ผมไม่มีวิธีอื่นแล้ว”
“ไม่ต้องโทษหนานกง เรื่องนี้เป็นความคิดฉันเอง นานๆทีทุกคนจะมีเวลา ควรจะรวมตัวกัน ไม่ควรแบ่งแยกชายหญิงให้เห็นความแตกต่าง”
เมื่อเย่จิงเหยียนพูดออกมา ทุกคนก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่ในใจจะคิดยังไงไม่มีใครรู้
บรรยากาศดูอึดอัดเล็กน้อย ต้วนอีเหยาจึงทำท่าไม่สนใจและพูดว่า “ในเมื่อมาแล้วก็นั่งกินข้าวด้วยกันสิ ยังไงที่นี่ก็มีที่ว่างพอดี”
ต้วนอีเหยาเป็นคนท้อง คนท้องใหญ่ที่สุด ในเมื่อเธออนุญาตแล้ว คนอื่นก็ไม่พูดอะไรอีก
ตอนแรกมู่ยู่วฉีอยากนั่งข้างฉีฉี แต่ก็ถูกเสี่ยวอวี้หลินดึงไว้ ทุกคนนั่งอยู่บนโต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง ตรงข้ามกับผู้หญิงอีกสี่คน
การนั่งอย่างนี้ดูเหมือนจะเป็นการเจรจามากกว่า
หนานกงเจาเดินออกไปข้างนอก และเรียกพนักงานเข้ามา “บริกรเอาเมนูเข้ามา พวกเราจะสั่งอาหาร”
บริกรตอบรับและเดินเข้ามา ในห้องนี้มีแต่คนหน้าตาดีทำให้เขาตาแทบไม่กระพริบ
เมื่อรับเมนูมาเสี่ยวอวี้หลินก็มองไปที่เซี่ยอันน่าและถาม “อันน่า คุณอยากกินอะไร”
เซี่ยอันน่าพูดอย่างเย็นชา “ฉันอยากกินอะไรล่ะมีประโยชน์อะไร ยังไงสุดท้ายคนที่ตัดสินใจก็ไม่ใช่ฉัน”
“วันนี้ผู้หญิงเป็นใหญ่ แน่นอนว่าต้องทำตามคำสั่งคุณ”
“จริงหรอ”
“จริงแน่นอน”
เซี่ยอันน่าหันไปมองรอบๆและพูดว่า “งั้นฉันไม่อยากกินข้าว อยากกินแต่เหล้า พวกคุณกินเป็นเพื่อนได้ไหม”
“ได้ไม่มีปัญหา”
“บริกรเสิร์ฟเหล้า”
เซี่ยอันน่าพูดอย่างมีอำนาจ จนทำให้พนักงานแอบตัวสั่น
ไม่นานเหล้าก็มาเสิร์ฟ
เหล้าที่วางอยู่ตรงหน้าผู้หญิง เป็นเหล้าที่มีดีกรีต่ำมาก
ส่วนเหล้าที่อยู่ตรงหน้าผู้ชาย ก็เป็นเหล้าที่มีดีกรีแรงมากเช่นกัน
เสี่ยวอวี้หลินมองเหล้าขวดต่างๆที่อยู่ตรงหน้า และยิ้มอย่างยากลำบาก “ดวลอย่างนี้ไม่ค่อยยุติธรรมมั้ง”
เซี่ยอันน่าพูดออกมา “ถ้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมคุณจะไปก็ได้ พวกเราไม่ได้บังคับให้คุณยอมรับความไม่ยุติธรรมนี้”
หนานกงเจารีบไกล่เกลี่ย “แค่กินเหล้าเอง จะมายุติธรรมไม่ยุติธรรมอะไรกัน แค่มีความสุขก็พอแล้ว”
“คำพูดนี้ตรงกับที่ฉันคิดไว้ หนานกง ฉันดื่มเทให้นายแก้วนึง”
พูดจบเย่ชูวเสวี่ยก็ไปเทเหล้าให้เค้าเต็มแก้วด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นแก้วเหล้าตรงหน้า หนานกงเจาก็รู้สึกขมขื่นจนพูดไม่ออก
เย่ชูวเสวี่ยดื่มเหล้าในแก้วจนหมด เมื่อเห็นหนานกงเจาไม่ขยับเธอจึงถาม “ทำไมไม่ดื่ม”
หนานกงเจาหายใจเข้าลึกๆ หยิบแก้วขึ้นมาดื่มทีเดียวหมด
เมื่อเห็นเค้ารีบดื่มขนาดนั้น เย่ชูวเสวี่ยก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา เธอตั้งใจจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่พูดออกมา
ถ้าดื่มอย่างนี้ต่อไป อีกไม่นานพวกเขาต้องตายกันหมดแน่.....
เสี่ยวอวี้หลินคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็คิดว่าคุยกันก่อนจะดีกว่า
เค้ายิ้มและพูดกับเซี่ยอันน่า “อันน่าผมมีเรื่องจะบอกคุณ ผมเห็นคุณย้ายออกไป ผมอยู่บ้านคนเดียวก็ไม่มีประโยชน์ พอดีกับที่ห้องของมู่ยู่วฉีว่างพอดี ผมกับหนานกงเลยตั้งใจจะไปอยู่ด้วย”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นเซี่ยอันน่าก็ยกยิ้มขึ้นมา และพูดอย่างเสียดสี “ทำไม จะรวมตัวกันหรอ”
“เปล่า แค่ผู้ชายสามคนเหงาๆจะมาอยู่ด้วยกัน ให้มันคึกครื้นหน่อย ไม่อย่างนั้นพวกเรากลับไปบ้านใครบ้านมัน ก็ได้แต่อยู่อย่างโดดเดี่ยว”
“คุณตัดสินใจไปแล้ว แล้วฉันจะมีสิทธิ์พูดอะไร ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีคนคุม พวกคุณก็ใช้อิสระเถอะ”
“ขอบคุณครับภรรยา”
ถึงจะรู้ว่าเธอไม่ได้อยากให้พวกเขารวมตัวกัน แต่เสี่ยวอวี้หลินก็แกล้งทำเป็นฟังไม่ออก และพูดขอบคุณแทน
เซี่ยอันน่าพูดไม่ออก หันหน้าหนีไม่อยากสนใจเสี่ยวอวี้หลิน
หลังจากที่เข้ามาในห้องอาหาร มู่ยู่วฉีไม่มีโอกาสได้คุยกับฉีฉีเลย
เค้าเห็นผู้หญิงที่อยู่ในใจนั่งหัวเราะ และเค้าก็ได้แต่นั่งมองอยู่ห่างๆ ทำให้มู่ยู่วฉีรู้สึกว้าวุ่นใจมาก
เขาจึงถือโอกาสตอนที่เซี่ยอันน่าคุยกับเสี่ยวอวี้หลินเข้าไปใกล้ฉีฉี และส่งยิ้มให้เธอ
เมื่อเห็นมู่ยู่วฉีเอนตัวมาใกล้ เธอก็นั่งตัวตรงทันที
“ฉีฉี สองวันมานี้สบายดีไหม”
“สบายดี”
“กินยาตามเวลาไหม”
“ตอนนี้ไม่ต้องกินยาแล้ว”
“งั้นก็ดีมาก ทบทวนบทเรียนต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ดูแลตัวเองดีๆ อย่าหักโหมเกินไป”
“อืม”
เพื่อนเสาร์ก้มหน้าลงทำให้เห็นใบหน้าที่สวยงามของเธอ ทำให้มู่ยู่วฉีอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายออกมาด้วยความโหยหา
เค้าสูดหายใจเข้าลึกๆ และตั้งใจจะพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป
“ฉีฉี ผมอยาก....”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...