รถมายบัคสีดำจอดอยู่บนถนนที่มีต้นไม้ร่มรื่นสองข้างทางด้านหลังโรงพยาบาล
เว่ยเหอเปิดประตูอย่านุ่มนวล ฉินซูเห็นสันกรามคมชัดของฉู่หลินเฉิน เขาใส่สูททอมือสีดำ ดูงดงามมีความปราณีต
ตอนเข้าที่บ้านตระกูลฉู่ เธอไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไร
แต่ตอนนนี้เธอรู้ภูมิหลังทั้งหมดของตระกูลฉู่แล้ว
และยังรู้ด้วยว่าคุณชายฉู่เป็นคนที่เธอไม่อาจแตะต้อง เพราะรังสีที่น่าเกรงขามของเขา
ฉินซูเลือกที่นั่งข้างคนขับให้ตัวเอง เธอเตรียมตัวลดตัวลงนั่ง
“มานี่!”
เสียงคำสั่งเย็นชาจากคนที่นั่งอยู่เบาะหลังดังขึ้น ไม่ง่ายที่เธอจะขัดขืนคำสั่งนั้น
ฉินซูทำได้เพียงขยับย้ายตัวเองไปนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
เธอนั่งห่างกับฉู่หลินเฉินหลายสิบเซนติเมตร มือขวาวางไว้บนประตูรถข้างนึง ราวกับว่าการทำแบบนี้มันจะทำให้เธอคลายความกดดัน ที่ต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มคนนี้ได้บ้าง....
ฉู่หลินเฉินวางแล็ปท็อปเครื่องหนึ่งไว้บนตัก มุมหนึ่งของดวงตาชำเลืองมองท่าทางเหล่านั้นของฉินซู เขาหัวเราะเยาะเบา ๆ
รถยนต์วิ่งไปอย่างราบรื่น
ฉู่หลินเฉินจ้องแล็ปท็อปอย่างเดียว มือที่เรียวยาวของเขาสัมผัสแป้นพิมพ์นั่น ราวกับว่าเขากำลังจัดการกับเรื่องบางอย่างอยู่ และไม่ได้สนใจฉินซูสักนิด
ฉินซูนั่งเงียบ ๆ ที่ข้างเขา เธอตั้งสมาธิและกลั้นหายใจเอาไว้ เพื่อลดความรู้สึกที่ว่าเธอกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น
เวลาผ่านไปสักพัก เมื่อเห็นว่าฉู่หลินเฉินไม่ได้สอบสวนอะไรเธอ เธอจึงรู้สึกผ่อนคลายลงเล็ก
น้อย
เธอมองทิวทัศน์นอกกระจกรถ ในขณะเดียวกันก็ครุ่งคิดว่าพ่อแม่บุญธรรมของเธอ พาคุณย่าย้ายไปที่โรงพยาบาลไหนกันแน่
เมืองไห่เฉิงใหญ่โตนัก โรงพยาบาลก็มีไม่น้อย
แต่โรงพยาบาลที่รักษาคุณย่าได้นั้นมีไม่เกินสิบแห่ง
เธอค้นหาไปทีละแห่ง ๆ และเธอก็พบว่า....
จู่ ๆ เสียงทุ้มต่ำที่แสดงความไม่พอใจก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง “ฉันให้เธออยู่ที่บ้านพักตากอากาศ แล้วเธอมาที่โรงพยาบาลทำไม?”
ฉินซูรู้สึกหนาวขึ้นมาทั้งตัว ราวกับถูกตรึงไว้กับลมหายใจที่เย็นเยียบนั่น
เธอหันหน้ามา
ฉู่หลินเฉินละสายตาจากแล็ปท็อปและเงยหน้าขึ้น มองเธอตรง ๆ อย่างเย็นชา รอคำอธิบายที่สมเหตุสมผลจากเธอ
ฉินซูเผชิญกับสายตาที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ เธอรู้ตัวว่าต่อหน้าผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าจะมีวาทศิลป์ใด ๆ หรือสำบัดสำนวนเก่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
เธอยอมรับอย่างจริงใจว่า “ฉันได้รับโทรศัพท์จากพ่อแม่บุญธรรมที่โทรมาขู่ ให้ฉันเอาเงินให้พวกเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะขัดขวางการรักษาของคุณย่า ฉันกังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน จึงมาที่โรงพยาบาล”
ฉู่หลินเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่เขากลับไม่พูดอะไร
ฉินซูรู้ตัวว่าเขาไม่อาจเชื่อคำเธอ แววตาของเธอเศร้าลงอย่างอดไม่ได้ “ฉันเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าพวกเขาจะวางยาฉัน ส่งฉันมาที่ตระกูลฉู่ ถึงกับเอาความปลอดภัยของคุณย่ามาขู่เอาเงินจากฉัน ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วว่าการอยู่บ้านหลังเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นครอบครัวกันได้”
พูดจบฉินซูก็กัดริมฝีปากล่างไว้แน่น
ฉู่หลินเฉินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาเคยอ่านประวัติของฉินซู เขารู้ว่าเธออาศัยอยู่ที่บ้านของพ่อแม่บุญธรรม
แต่ว่าคำพูดของผู้หญิงคนนี้เชื่อได้หรือไม่?
ฉู่หลินเฉินพูดออกมาเบา ๆ “เธออยากจะบอกฉันว่า เธอเข้ามาอยู่ในกระกูลฉู่โดยที่ตัวเองไม่ยินยอม เธอโดนบังคับมางั้นเหรอ?”
“แล้วนายคิดว่าฉันตั้งใจทำให้ตัวเองดูน่าสงสารหรือไง?”
ฉินซูถามกลับ แลกมาด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของฉู่หลินเฉิน
เธออดตกใจไม่ได้
จริงอยู่ที่ว่า เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องของเธอ พูดให้เขาฟังมันจะไปได้อะไร เป็นไปได้หรือที่จะคาดหวังให้ผู้ชายคนนี้เมตตาตนเอง?
คิดได้ดังนี้ ฉินซูจริงเม้มริมฝีปากเอาไว้และหยุดที่จะพูดต่อ
เมื่อเห็นว่าเธอเงียบ ในใจของฉู่หลินเฉินก็รู้สึกหงุดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เขาปิดแล็ปท็อปลง
พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฟังเอาไว้นะ ฉันไม่สนใจว่าเธอเข้ามาในบ้านตระกูฉู่ได้อย่างไร และฉันก็ยอมที่จะเก็บเธอเอาไว้ ดังนั้นเธอต้องให้ความร่วมมือ! ก่อนที่เธอจะไป ทุกคำพูดและกิริยาของเธอจะต้องเหมะสมกับตำแหน่งคุณผู้หญิงของบ้านตระกูลฉู่!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงคำเตือนจากคำพูดนั้น ฉินซูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉันจะให้ความร่วมมือกับนาย แต่ว่า...”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว “ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคุณย่า ฉันคงนั่งมองเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้หรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วุ่นรักวิวาห์ลวง
ติดตามอ่านมาตลอด จะกรุณาอัพโหลดบทให้จบเรื่องได้มั้ยคะ...