ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 270

หนานหว่านเยียนดูเหมือนว่าไม่ได้ควบคุมง่ายดั่งที่พวกเขาคิดขนาดนั้น ดูคล้ายกับว่าไม่ค่อยจะเชื่อฟังแล้ว

ดวงตาของหนานหว่านเยียนก้มต่ำลงใบหน้าที่นุ่มนวลมีความตื่นตระหนกเล็กน้อย ทว่ากลับไม่เห็นถึงความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย

“โอ้ ข้าก็รู้ว่าฮ่องเต้ต้องการสิ่งใด ทว่าเฟิ่งกงกงท่านก็เห็นว่าสถานการณ์ในจวนอ๋องเป็นเช่นไร ข้าขอพูดกับท่านตรงๆ ก็แล้วกัน อาการบาดเจ็บที่สาหัสเช่นนี้ โอกาสที่จะรอดชีวิตมีน้อยมาก”

“ถ้าเขาผ่านไปไม่ได้ ทุกคนก็จะสมปรารถนา เสด็จพ่อก็จะได้สิ่งที่ต้องการ ทว่าหากเกิดอะไรขึ้นมา จะทำให้กองทัพวุ่นวายหากเกิดเหตุความวุ่นวายอะไรขึ้นอีก เกรงว่าจะจัดการยากแล้วจริงหรือไม่ สู้ให้เสด็จพ่อรออีกหน่อยดีหรือไม่?”

กู้โม่หานชนะใจราษฎรได้จริงๆ ฮ่องเต้เป็นเพราะหวาดกลัวสิ่งนี้ จึงคิดอยากป้องกันกู้โม่หาน

นางพูดออกมาออย่างตรงไปตรงมา เฟิ่งกงกงก็ต้องชั่งน้ำหนักคำพูดของนางเช่นกัน

เขาพิจารณามองไปยังหนานหว่านเยียน ที่ดูเหมือนให้ความร่วมมือ แต่ก็เหมือนไม่ให้ความร่วมมือ และมองไปยังกู้โม่หานที่กำลังจะตาย สุดท้ายก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อย่างนั้นในวันนี้ข้าน้อยจะทำตามที่พระชายากล่าวไว้ กลับวังไปถวายรายงานฮ่องเต้ก่อน ทว่าจะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ท่าน ถึงอย่างไรพระชายาก็รีบให้คำตอบฮ่องเต้เถิด ความอดทนของฮ่องเต้นั้นมีไม่มากนัก”

รอยยิ้มบนริมฝีปากของนางเอ่ยตอบ “เจ้าค่ะ”

เมื่อได้รับคำตอบ เฟิ่งกงกงก็หันหลังกลับแล้วจากไป

เสิ่นอี่ว์ส่งเฟิ่งกงกงกลับด้วยตัวเอง

ในห้อง รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานหว่านเยียนก็หุบลงในทันที มองไปยังกู้โม่หานที่สลบไปไม่ได้สติ นางกัดฟันอย่างหงุดหงิด

“พวกเจ้ามีชีวิตอย่างเหนื่อยยากเสียจริงๆ แต่ละวันนอกจากจะตีสองหน้าแล้ว ยังต้องคอยระวังคนข้างกายที่ใกล้ชิดที่สุด รีบฟื้นขึ้นมาเถิด หากยังไม่ฟื้นขึ้นมา ข้าจะรับไม่ไหวแล้วนะ”

หากรับไม่ไหว นางก็ไม่อยากทนแล้ว นางอยากพาลูกทั้งสองของนางหนีไป เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับกู้โม่หานอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเขาช่วยชีวิตนางไว้ นางก็ขี้เกียจจะสนใจเขา

แต่ก็เพียงแค่คิดเฉยๆ เท่านั้น ต่อให้หนีไปแล้ว พวกเขาก็คงหนีไปไม่ถึงไหน หากถูกฮ่องเต้ยัดข้อหาในโทษฐานลอบสังหารกู้โม่หาน ต่อให้หนีไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว นางก็จะถูกจับกลับมาอยู่ดี พร้อมกับลูกๆ ทั้งสองของนาง

จะต้อหาวิธีพลิกสถานการณ์

ระหว่างที่หนานหว่านเยียนใจลอยอยู่นั่น เสิ่นอี่ว์ไปส่งเฟิ่งกงกงกลับมาแล้ว พ่อบ้านกาวและบ่าวคนอื่นๆ อยู่ที่นอกเรือนกันหมด รอให้หนานหว่านเยียนเรียกใช้

เสิ่นอี่ว์ที่อยู่ต่อหน้าหนานหว่านเยียน สีหน้าดูเปลี่ยนไป“พระชายา พระชายารองนาง... ยังคงคุกเข่าอยู่ข้างนอก มิฉะนั้นข้าน้อยส่งนางกลับเรือนดีกว่าหรือไม่ขอรับ?”

ข้างนอกอากาศหนาวเหน็บ คราวก่อนที่หยุนอี่ว์โหรวกระโดดลงไปในทะเลสาบก็ได้รับบาดเจ็บมากพอแล้ว ตอนนี้หากยังคุกเข่าอีก จะต้องป่วยเป็นโรคเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หายเป็นแน่...

ยังไงเสียนางก็เป็นพระชายารอง หากนางเป็นอะไรไป ท่านอ๋องจะโกรธพระชายา

ในที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋อง และพระชายาก็คลี่คลายลง เขาไม่ต้องการให้พวกเขาห่างเหินกันอีกเพราะหยุนอี่ว์โหรว

หนานหว่านเยียนนั่งลงด้วยสีหน้าเย็นชา

“ไม่ได้ ต่อให้ในตอนนี้นางอยากจะลุกขึ้นมา ก็ต้องนั่งกลับไป หากเจ้ากล้าช่วยนาง เจ้าก็ไปคุกเข่าด้วย”

ในคืนวันแต่งงานของหยุนอี่ว์โหรว และกู้โม่หานนั้น ระยะเวลาที่นางคุกเข่ายังสั้นไปหรือ?

แม้ว่าในตอนนั้นนางกําลังกินเนื้อย่างอยู่

ทันใดนั้นเสิ่นอี่ว์ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขามองไปที่หนานหว่านเยียนด้วยดวงตาที่แวววาว และรวบรวมกล้าที่จะถามออกไป “พระชายา ข้าน้อยบังอาจถามท่านหน่อย เมื่อครู่เฟิ่งกงกง...พูดอะไรกับท่าน เกี่ยวกับท่านอ๋อง ใช่หรือไม่ขอรับ?”

เดิมทีเขาคิดว่า เฟิ่งกงกงมาตามพระประสงค์ของฮ่องเต้ น่าจะทรงกริ้วเรื่องมือสังหาร รับสั่งให้ตรวจสอบอย่างเข็มงวดเป็นแน่

ทว่าใครจะคิดว่าหลังจากเฟิ่งกงกง พูดกับหนานหว่านเยียนเพียงไม่กี่คำ ก็จากไปอย่างรีบร้อน เมื่อครู่ตอนที่เขาไปส่งเฟิ่งกงกง เฟิ่งกงกงก็พูดถึงเรื่องนี้ เขาบอกว่าฮ่องเต่ทรงจัดการให้คนมาตรวจสอบเรื่องมือสังหารแล้ว ให้เขาวางใจได้

ทว่าท่าทางเช่นนี้...รู้สึกมีบางอย่างไม่ปกติ

หนานหว่านเยียนได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเสิ่นอี่ว์จะถามนางเรื่องนี้ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงย้อนถามกลับไปว่า:“เสิ่นอี่ว์ ข้าถามเจ้า เจ้าติดตามกู้โม่หานมากี่ปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายของเจ้ากับฮ่องเต้เป็นอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่?”

ความสัมพันธ์ระหว่างกู้โม่หานและฮ่องเต้หรือ?

คิ้วของเสิ่นอี่ว์ขมวดเขาด้วยกัน “นี่...ตามหลักแล้วลูกน้องไม่ควรพูดถึงเจ้านาย ทว่าในเมื่อพระชายาถามมาแล้ว ข้าน้อยก็บังอาจเล่าให้ฟัง ตั้งแต่ที่หยีเฟยเหนียงเหนียงกลายเป็นคนผัก ความรักความเอาใจใส่ที่ฮ่องเต้มีต่อเจ้านายก็เหมือนดั่งเคย ยกเว้น... ยกเว้นห้าปีก่อน เรื่องที่อภิเษกแต่งตั้งพระชายา นอกนั้นก็แทบจะไม่เคยดุท่านอ๋องมาก่อนเลยขอรับ”

เขามองไปที่หนานหว่านเยียนด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้ไม่พอใจหรือเศร้าโศกอะไร จึงพูดต่อไปต่อไปอย่างสบายใจว่า:“ทว่าฮ่องเต้นั้น ปฏิบัติต่อเหล่าองค์ชายท่านอ๋องแต่ละคนดีทีเดียว มิได้ลำเอียงรักและเอ็นดูฝ่ายใดเป็นพิเศษ ท่านอ๋องก็เคารพฮ่องเต้เช่นเดียวกัน น้อยมากที่จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้”

ยกเว้น ยกเว้นการอภิเษกกับพระชายาเมื่อห้าปีก่อน มิเช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้ก็จะดีกว่านี้

หนานหว่านเยียนถอนหายใจ

นางก็รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นเข่นนี้ หากไม่ใช่เพราะนางเคยเห็นด้านมือของฮ่องเต้มาก่อนด้วยตาของตัวเอง นางก็จะไม่เชื่อว่าฮ่องเต้จะไม่อยากให้กู้โม่หานได้ดี ต้องการให้กู้โม่หานกลายเป็นคนพิการ

นางไม่ได้พูดอะไร ทว่าหยิบของว่างบนโต๊ะยื่นให้เสิ่นอี่ว์ชิ้นหนึ่ง

“เจ้ากินสิ่งนี้ลงไปก่อน บริจาคเลือดมากเกินไปไม่เพียงแต่ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ โลหิตจางเท่านั้น อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ คราวหลังต่อให้รักเจ้านายถึงเพียงใด ก็ห้ามทำเรื่องโง่เช่นนี้อีก”

เสิ่นอี่ว์ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เรื่องที่เขาบริจาคเลือดอย่างลับๆ ถูกหนานหว่านเยียนรู้เข้าแล้ว เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ทว่าหนานหว่านเยียนเตือนเขาด้วยความอ่อนโยนเช่นนี้ ทำให้เขายิ่งซาบซึ้งใจ รีบนำของว่างที่หนานหว่านเยียนส่งให้เข้าปากไป

“ขอบพระทัยขอรับ พระชายา ข้าน้อยก็หวังว่า สามารถทำอะไรเพื่อท่านอ๋องได้บ้าง”

พระชายาดีถึงเพียงนั้น หวังจริงๆ ว่าจะคืนดีกับท่านอ๋องเหมือนเช่นเคยในเร็ววัน

เชื่อว่าหลังจากท่านอ๋องฟื้น และเห็นทั้งหมดที่พระชายาทำเพื่อเขา ท่านอ๋องก็จะรู้สึกซาบซึ้ง จนสามารถละทิ้งความรู้สึกขัดข้องใจทั้งหมดไปได้ และอยู่ร่วมกันกับพระชายาอย่างมีความสุข

“อืม” หนานหว่านเยียนมองดูเขากินของว่าง จากนั้นจึงค่อยๆ พูดถึงความจริงที่เฟิ่งจงฉวนมาหานางในวันนี้ออกมา

“วันนี้ที่เฟิ่งกงกงมาหาข้า อันที่จริงฮ่องเต้ต้องการให้ท่านอ๋องจะมอบป้ายเทพสงครามให้เขา ขณะเดียวกันก็...กลายเป็นคนพิการเสีย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้