ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 271

ได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี่ว์ตกใจจนแทบยืนไม่อยู่ จากนั้นก็หันไปมองหนานหว่านเยียนอย่างตกตะลึงพรึงเพริด

“เป็นไปได้อย่างไร? พระชายาฟังผิดไปหรือเปล่า ฮ่องเต้เป็นถึงเสด็จพ่อของท่านอ๋อง ปกติก็รักใคร่เป็นห่วงท่านอ๋อง เป็นไปได้อย่างไรที่จะให้ท่านอ๋อง ให้ท่านอ๋องกลายเป็นคนพิการ?”

หนานหว่านเยียนรู้ว่าเขาไม่สามารถยอมรับได้ แต่ความจริงก็คือความจริง

“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องโกหกเจ้า อีกอย่างเสิ่นอี่ว์ เจ้าถามใจตัวเองดู พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ในเมืองหลวง สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่อำนาจหรอกหรือ?”

“เพื่อแย่งชิงอำนาจ คนบางคนสามารถทำได้ทุกอย่าง ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุด”

หนานฉีซาน หนานชิงชิง หยุนอี่ว์โหรว.....คนมากมายล้วนเพียงเพื่ออำนาจ วกไปวนมายังไงก็ผันตัวออกมาไม่ได้ ติดอยู่ในโลกแห่งอนิจจังอันไร้สาระใบนี้

นางไม่มีความปรารถนาในอำนาจ สิ่งที่นางถวิลโหยหา ขอเพียงพวกลูกๆสงบปลอดภัย เติบโตอย่างแข็งแรง นางก็มีความสุข หาตังค์อย่างไม่ต้องกังวล เงินทองไหลมาเทมาตลอดทั้งปีและตลอดไป

แบบนี้ดีแค่ไหน

คำพูดของหนานหว่านเยียน แทงโดนใจเสิ่นอี่ว์

ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงองครักษ์คนหนึ่ง แต่ติดตามกู้โม่หานมานานหลายปีจึงก็รู้ หากกู้โม่หานไม่ใช่คนเฉลียวฉลาดมีความสามารถ ถือป้ายสั่งการทหารไว้ในมือ สร้างผลงานความสำเร็จทางทหารในสนามรบ ก็คงไม่ได้ใจประชาชนอย่างทุกวันนี้

ตอนนี้ฮ่องเต้ต้องการที่จะยึดคืนป้ายสั่งการทหารของท่านอ๋อง อยากให้ท่านอ๋องกลายเป็นคนพิการ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการหวาดระแวงและป้องกันเขา

พ่อแท้ๆ หวาดระแวงและป้องกันลูกชายของตนเอง....

เวลานี้ เสิ่นอี่ว์มองดูกู้โม่หานบนเตียง อย่างสงสารแล้วเห็นใจมาก

ท่านอ๋องน่าสงสารมากเลย

เวลานี้ ใบหน้าหล่อเหลาของกู้โม่หานชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ คิ้วดกดำที่หล่อเหลาขมวดเข้าหากันอย่างดุดัน

สีหน้าหนานหว่านเยียนเปลี่ยนไป นึกว่าอาการป่วยของเขาเปลี่ยนแปลงไป จึงรีบไปตรวจชีพจร ไม่พบความผิดปกติอะไร แต่ได้ยินกู้โม่หานพูดพึมพำ

“เสด็จแม่……เสด็จแม่ เจ้าอย่าทอดทิ้งลูก....”

เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงยุงครางดังขึ้น หนานหว่านเยียนอึ้ง พร้อมหันไปมองดูกู้โม่หาน

น้ำตาเสิ่นอี่ว์ร่วงไหลลง เขายกมือเช็ดน้ำตา พร้อมพูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นว่า

“พระชายา ที่จริงหลายปีมานี้ท่านอ๋องผ่านมาได้อย่างไม่ง่ายเลยจริงๆ หยีเฟยเหนียงเหนียงกลายเป็นคนตายทั้งเป็น ภายในวังท่านไม่สามารถพึ่งพาใครได้เลย ตอนเป็นเด็กเวลาถูกรังแก ก็ทำได้เพียงอดทนอดกลั้นไว้ โชคดีที่ท่านอ๋องเฉลียวฉลาด จากเติบโตแล้วก็ได้เป็นผู้บัญชาการ คนอื่นค่อยไม่กล้าดูถูกท่าน แต่เพื่อหยีเฟยเหนียงเหนียง ท่านอ๋องแทบทอดทิ้งค่ายทหาร ยังไงท่านก็ยังให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์เป็นอันดับแรก”

“หยีเฟยเหนียงเหนียง เป็นอุปสรรคภายในใจท่านอ๋อง ที่ไม่สามารถปล่อยวางมาตลอด เป็นปมในใจของท่าน ข้าน้อยไม่คาดหวังให้พระชายาให้อภัยท่านอ๋อง แต่อยากขอให้พระชายายืนอยู่ข้างท่านอ๋องแล้วคิดเผื่อท่านอ๋องบ้าง เข้าใจความทุกข์ทรมานของท่านอ๋อง..... ต่อไป สามารถมีชีวิตที่ดีอยู่กับท่านอ๋อง”

คำพูดนี้ค่อนข้างสร้างความลำบากใจ แต่เสิ่นอี่ว์ อยากที่จะให้หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานรักกันจริงๆ

ที่จริงท่านอ๋องเป็นคนดีมาก คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น ตอนที่เป็นผู้บัญชาการ มักจะเป็นคนอยู่แนวหน้าปกป้องทหารของตน ในความเป็นลูกเขาก็มีความกตัญญู ในความเป็นพ่อ.... ถึงคุณหนูทั้งสองจะยังไม่แน่ใจว่าเป็นลูกของท่านอ๋องไหม แต่ท่านอ๋องก็รักและเอาใจใส่ลูกสาวอย่างมาก

เขาเพียงแค่ถูกความแค้นบดบังดวงตาทั้งคู่ หากเขาปล่อยวางแล้ว เขาจะปฏิบัติดีต่อพระชายาอย่างมาก

ชีวิตของกู้โม่หานนั้นน่าเศร้า ในฐานะที่หนานหว่านเยียนก็เป็นแม่คน มักจะสงสารและเห็นใจคนแบบนี้

แต่ให้นางเข้าใจกู้โม่หาน แล้วใครจะมาเข้าใจนาง?

ถึงกู้โม่หานจะทุกข์ แต่ในบางด้านของเจ้าของร่างเดิมก็น่าสงสาร

นางเป็นคนแปลกหน้าที่โผล่มากลางทางคนหนึ่ง ยิ่งย่ำแย่

เขายังติดหนี้นางที่ถูกโบยสามสิบที ความเจ็บปวดทั้งด้านผิวหนังนี้จะสามารถลืมได้อย่างไร?

และการลอบฆ่าในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้พุ่งมาหานาง กู้โม่หานเอาชีวิตตนเองมาช่วย ก็สามารถพูดได้เพียงว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไม่เลวคนหนึ่ง ที่ไม่ได้ทอดทิ้งนาง

“ครั้งนี้กู้โม่หานช่วยชีวิตข้า ข้าจะไม่เรียกร้องอะไรจากเขา แต่ระหว่างข้ากับเขานั้นไม่เหมาะสมกัน และก็ไม่ใช่คนในเส้นทางเดียวกัน บุญคุณความแค้นไม่สามารถลบล้างกันได้ ระหว่างข้ากับเขา ไม่มีทางที่จะมีอนาคตร่วมกัน เรื่องนี้ ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก”

หนานหว่านเยียนหยุดชะงัก เผชิญกับสายตาค่อนข้างผิดหวังของเสิ่นอี่ว์ แล้วก็พูดขึ้นว่า “แต่เขาช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าก็จะช่วยชีวิตกู้โม่หาน ส่วนทางด้านฮ่องเต้ สามารถยื้อได้นานแค่ไหนก็จะยื้อให้นานเท่านั้น”

ตอนนี้ หากกู้โม่หานไม่ฟื้นขึ้นมา ฮ่องเต้ก็อาจจะส่งคนมากดดันอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องคิดหาวิธีเริ่มลงมือก่อนถึงจะดี

เสิ่นอี่ว์ก็รู้ เรื่องนี้จะใจร้อนไม่ได้ สิ่งที่ขวางกั้นระหว่างหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หาน ไม่ใช่เพียงบุญคุณความแค้นระหว่างจวนเฉิงเซี่ยงเท่านั้นตั้งแต่แรกแล้ว

“ขอรับ พระชายา”

หนานหว่านเยียนมองดูผู้ชายที่นอนป่วยอยู่บนเตียง แล้วพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายให้เจ้าหนึ่งฉบับ เจ้าจัดการสั่งคนที่ไว้ใจได้ เอาเข้าไปให้ไทเฮาในวัง”

“จะต้องใช้คนแปลกหน้า อย่าให้คนรู้จักเป็นอันขาด พวกเราจะต้องรักษาสถานการณ์ไว้ให้มั่นคง ป้ายสั่งการทหารของท่านอ๋องเจ้า จะให้คนอื่นเอาไปไม่ได้เด็ดขาด”

เสิ่นอี่ว์พูดขึ้นอย่างมุ่งมั่นว่า “ขอรับ พระชายา”

“รักษาสถานการณ์อะไรไว้ให้มั่นคง? ทำไมข้าไม่รู้ ป้ายสั่งการทหารของข้าถูกใครเอาไป?”

น้ำเสียงเย็นชาที่แฝงไปด้วยความอ่อนแรงดังขึ้น หนานหว่านเยียนกับเสิ่นอี่ว์สะดุ้งตกใจ

ทั้งสองคนต่างหันกลับมามอง แล้วก็เห็นใบหน้าสีขาวซีดอึมครึมของกู้โม่หาน กำลังจ้องมองดูพวกเขา

เสิ่นอี่ว์น้ำตาไหลขึ้นมาทันที ตื่นเต้นดีใจอย่างมาก

“ท่านอ๋อง ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ข้าน้อยตกใจแทบตาย....”

หนานหว่านเยียนพูดขึ้นอย่างทั้งตกใจแล้วก็ดีใจว่า “กู้โม่หาน เจ้าฟื้นแล้วหรือ เจ้าฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เขาก็เพิ่งฟื้นขึ้นมาเอง ได้ยินหนานหว่านเยียนพูดว่ารักษาสถานการณ์อะไรไว้ให้มั่นคง

เขาคิดไม่ถึงว่า ตื่นมาแล้วก็จะได้ยินข่าวอะไรที่ทำให้เขาตกตะลึงขนาดนี้

เขากำหมัดไว้แน่น พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่....เสด็จพ่อจะยึดคืนป้ายสั่งการทหารของข้าใช่ไหม?”

สายตาหนานหว่านเยียนสั่นไหวเล็กน้อย เอื้อมมือวางบนข้อมือของกู้โม่หาน ชีพจรของกู้โม่หานเป็นปกติ พ้นขีดอันตรายแล้ว นางก็ค่อยโล่งอก

เห็นทีเทพแห่งสงครามก็ไม่ได้มีเพียงชื่อเสียง พื้นฐานสุขภาพร่างกายนั้นดีจริงๆ

“อืม ในเมื่อเจ้าได้ยินหมดแล้ว งั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังเจ้า”

“เมื่อกี้เฟิ่งจงฉวนมาหา บอกว่าเจ้าไม่มีความสามารถในการควบคุมดูแลค่ายเสินเชื่อแล้ว ต้องการที่จะเอาป้ายทหารในมือของเจ้ากลับไป และก็ปลดตำแหน่งของเจ้าออกจากค่ายเสินเชื่อ”

เสิ่นอี่ว์คุกเข่าอยู่ข้างเตียง พร้อมพูดขึ้นอย่างขุ่นเคืองว่า “ท่านอ๋อง เป็นเพราะข้าน้อยไม่มีความสามารถ ไม่ได้คอยปกป้องอยู่ข้างกายท่าน ทำให้ท่านต้องตกอยู่ในอันตราย”

“ขอท่านอ๋องวางใจ ข้าน้อยกับพระชายา จะไม่ยอมให้ใครแย่งป้ายสั่งการทหารของท่านไป พวกพี่น้องในค่ายเสินเชื่อต้องการท่าน ประชาชนในแคว้นซีเหย่ก็ต้องการท่านเหมือนกัน”

ได้ยินแบบนี้ กู้โม่หานเหมือนหายใจติดขัดขึ้นมา

ที่จริงเขาก็รู้ในความมีอำนาจสูงกลบนาย เมื่อห้าปีก่อนเขาถอนตัวออกมาจากค่ายทหาร ไม่ใช่เพียงเพราะเสด็จแม่กับอ๋องเฉิง แต่เป็นเพราะเสด็จพ่อ

เขาไม่ต้องการให้มีใครเกิดความระแวงในใจ หลายปีมานี้ก็พยายามที่จะสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ก็คิดไม่ถึงว่า เสด็จพ่อกีดกันป้องกันเขาอยู่จริงๆ พวกเขา....พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันนะ

หากไม่ใช่ในศึกสนามรบ ป้ายคำสั่งทหารไม่สามารถที่จะเอากลับไปในขณะที่แม่ทักบาดเจ็บสาหัส แบบนี้จะเป็นการกระทำให้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจประชาชน เสด็จพ่อจะให้เฟิ่งจงฉวนมาเอา ป้ายคำสั่งทหารจากหนานหว่านเยียนได้อย่างไร?

เขาขี้หวาดระแวงขนาดนั้น กลับเชื่อมั่นหนานหว่านเยียน?

และตอนนั้นเมื่อตอนที่เสด็จแม่ปอดอักเสบ เสร็จพ่อเคยเรียกพบหนานหว่านเยียนเป็นการส่วนตัว.....

กู้โม่หานอยากลุกขึ้นมา แต่เมื่อขยับ บาดแผลที่หน้าอกด้านซ้ายดูเหมือนจะลามไปถึงเส้นลมปราณของร่างกายทั้งหมด เจ็บปวดจนใบหน้าหล่อเหลาของเขาเขียวไปหมด

สายตาหนานหว่านเยียนเคร่งขรึม พร้อมพูดขึ้นว่า “อย่าขยับ เจ้าบาดเจ็บสาหัส จะต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงสิบวันถึงครึ่งเดือน ช่วงเวลานี้ เจ้าพักผ่อนอยู่ในจวนอ๋องอย่างสงบ”

ภายในใจกู้โม่หานปั่นป่วน บาดแผลของเขาคือรอง ที่สำคัญที่สุดคือมีเรื่องสำคัญจะถาม

“หนานหว่านเยียน เจ้ายังมีเรื่องอะไรปิดบังข้า?”

สีหน้าของเขาขาวซีด สายตากลับมองดูหนานหว่านเยียนอยู่อย่างเฉียบคม ราวกับจะมองลึกลงไปถึงในใจคน

“อย่างเช่น เจ้ารับฟังคำสั่งของเสด็จพ่อ....”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้