ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 272

“เสด็จพ่อรับสั่งให้เจ้าทำอะไร?”

การเรียกพบเป็นการส่วนตัวในวันนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

แววตาหนานหว่านเยียนปรากฏความตกตะลึง

นางคิดไม่ถึงว่ากู้โม่หานจะถามคำถามนี้

เห็นได้ชัดว่า เรื่องที่เฟิ่งจงฉวนพานางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็นครั้งแรกในตอนนั้น กู้โม่หานจำไว้อยู่ในใจมาตลอด แสดงว่าก็ไม่ได้โง่เหมือนอย่างที่คิดไว้ขนาดนั้น ที่จะยอมให้ใครทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ

เรื่องมาถึงขนาดนี้ หนานหว่านเยียนก็ไม่อยากปกปิดอะไรอีก

เดิมนางก็ไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม ไม่มีทางรับฟังคำสั่งของฮ่องเต้ จึงพูดขึ้นว่า “เขาให้ข้าฉวยโอกาสทำให้เจ้ากลายเป็นคนพิการ และก็คอยจับตาดูเจ้าตลอด หาโอกาสที่เหมาะสม ขโมยป้ายเทพสงครามของเจ้าออกมา”

เสิ่นอี่ว์ตกตะลึงอย่างมาก

เขารู้ว่าฮ่องเต้โหดเหี้ยม แต่ไม่รู้ว่าพระชายากับฮ่องเต้จะมีข้อแลกเปลี่ยนกัน?

นี่ แบบนี้ค่อนข้างวุ่นวายแล้ว.....

กู้โม่หานก็เหมือนดั่งถูกฟ้าผ่า ต่อให้เจ้าเตรียมใจไว้บ้างแล้ว เมื่อได้ยินว่าเสด็จพ่อต้องการให้เขากลายเป็นคนพิการ ความเจ็บปวดในใจมาพร้อมกับลมหายใจที่ติดขัด

ริมฝีปากบางของเขาขาวซีด บนใบหน้าหล่อเหลาก็ไร้เลือดฝาด นิ้วมือเรียวยาวกำผ้านวมบนเตียงไว้แน่น

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า เสด็จพ่อต้องการให้เขากลายเป็นคนพิการ ไม่เคย....

เขาหันไปมองหนานหว่านเยียน ภายในดวงตาทั้งคู่ปรากฏใบหน้างดงามอย่างไร้ที่ติของนาง แล้วพูดถึงว่า “งั้นเจ้าคิดอย่างไร?”

หนานหว่านเยียนรู้สึกน่าขำ กระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา

“หากข้าเชื่อฟัง เจ้าจะสามารถมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้หรือ?”

กู้โม่หานไม่เถียง

เสด็จพ่อเป็นคนทำอะไรลงมือรุนแรง ไม่รู้ว่ากดดันข่มขู่หนานหว่านเยียนขนาดไหน

และหนานหว่านเยียนก็เป็นไปอย่างที่เขาไม่คาดคิด ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ไม่เพียงไม่ทอดทิ้งเขา ยังพยายามที่จะพาเขากลับมาที่จวน เฝ้าอยู่ข้างกายเขาอย่างมุ่งมั่น แบกรับความกดดันทุกอย่างจนถึงตอนนี้

กระทั่งเมื่อกี้นางยังคิดหาวิธีรักษาป้ายสั่งการทหารของเขาไว้ ทนต้านคลื่นคลั่งเพื่อเขา....

กู้โม่หานจับจ้องมองดูหนานหว่านเยียนด้วยสายตาซับซ้อน ความรู้สึกภายในใจลึกซึ้งขึ้น แต่ก็ดูเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ นัยน์ตาลึกกลอกไปมาด้วยความเย็นชา

“เมื่อกี้พวกเจ้าพูดว่า ต้องรักษาสถานการณ์ไว้ให้มั่นคง? หากตอนนี้ข้าป่วยสาหัส ไม่รู้เป็นตายร้ายดี พวกเจ้าคิดว่าประชาชนจะคิดกันอย่างไร?”

เสิ่นอี่ว์ยังค่อนข้างอึ้ง หนานหว่านเยียนกลับเข้าใจความหมายของกู้โม่หานแล้ว แววตาไม่แย้มพรายความลับออกมาแม้แต่คำเดียว

“อ๋องอี้มีผลงานทางการศึกอย่างองอาจ ต่อสู้กับศัตรูอย่างไม่หวาดกลัว มีคนข้ามมาตรงชายแดนก็ฆ่าตาย แต่อ๋องอี้กำลังจากตาย หากวันใดวันหนึ่งต้องตายจากไป เดิมแคว้นที่คอยรุกรานจะต้องยกทัพมาโจมตีอย่างแน่นอน”

“แคว้นซีเหย่ขาดแม่ทัพคนสำคัญไปคนหนึ่ง การต่อสู้จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ประเทศก็จะไม่เป็นประเทศ ประชาชนไม่สามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ เจ้าหมายความเช่นนั้นใช่ไหม? ต้องการใช้ประโยชน์จากความคิดเห็นของประชาชน มาระงับฮ่องเต้?”

เมื่อมีการประกาศถึงการตายจากไปของเทพสงคราม สภาพจิตใจของประชาชนก็จะเกิดความโกลาหล เกิดการจลาจลของพลเรือน ต่อให้เป็นฮ่องเต้ ก็ต้องคำนึงถึงการประท้วงที่มาจากใจประชาชน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ก็จะยังไม่ลงมือทำอะไรกู้โม่หาน

แต่นางก็ตกใจเหมือนกัน กู้โม่หานสามารถเปลี่ยนความเศร้าโศกให้กลายเป็นพลังฮึดสู้ขึ้นมา ไม่ไปสนใจที่ฮ่องเต้กระทำอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน.....

กู้โม่หานมองดูหนานหว่านเยียน สีหน้าของนางดูเหนื่อยล้า แต่ก็ยากที่จะปกปิดความงดงาม เขาขยับริมฝีปากขาวซีด พร้อมพูดขึ้นว่า

“ตั้งเวลาพิเศษ ก็ต้องลงมืออย่างพิเศษ ข้าหมายความเช่นนี้ เห็นทีเจ้าก็ไม่ได้โง่”

ตอนนี้เสิ่นอี่ว์ก็ฟังเข้าใจแล้ว ข่าวลือเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจคนได้มากที่สุด อาศัยสิ่งนี้ระงับฮ่องเต้ แบบนี้ฮ่องเต้ก็จะไม่กล้าลงมือทำอะไร

หนานหว่านเยียนเห็นกู้โม่หานฟื้นขึ้นมาก็สามารถต่อสู้กับนาง แสดงว่าฟื้นตัวได้อย่างไม่เลว ขอเพียงพักรักษาตัวให้ดี ก็จะไม่มีปัญหาอะไร

นางเห็นแก่ที่กู้โม่หานช่วยชีวิตนางไว้ จึงไม่อยากที่จะทะเลาะกับเขา หันไปมองเสิ่นอี่ว์ แล้วพูดขึ้นมา

“เจ้าฟังเข้าใจแล้วหรือ? เรื่องนี้ กับเมื่อกี้ที่ข้าสั่งเจ้าไปทำ ล้วนต้องรีบไปจัดการ”

พูดเสร็จ นางเดินไปที่โต๊ะ ยืมกระดาษพู่กันภายในห้องของกู้โม่หาน แล้วก็เขียนจดหมายขึ้นมา

หนานหว่านเยียนเอาจดหมายยื่นให้กับเสิ่นอี่ว์ สั่งให้เขารีบไปจัดการ แล้วค่อยกลับมา

“ขอรับ พระชายา” เสิ่นอี่ว์รับคำสั่งแล้วออกไป ตอนที่ออกไปจากประตูห้อง มองเห็นภายในลานมีเพียงหยุนอี่ว์โหรวคนเดียวที่ยังคุกเข่าอยู่ที่นั่น ต้องมาหาเขาด้วยสายตาคาดหวัง

ดวงตาของเขาเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่ก็ปิดประตูห้อง แล้วก็รีบจากไป

เขาไม่กล้าให้ใครรู้ว่าท่านอ๋องฟื้นขึ้นมาแล้ว

หัวใจหยุนอี่ว์โหรวเย็นชาลงไปอีกครั้ง นางแทบจะหมดสติอยู่แล้ว อากาศหนาวเย็นและยังปวดท้องไม่รู้จบ ทรมานจนนางรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น

แต่นี่เป็นสิ่งที่นางเลือกเอง ต่อให้กัดฟัน ก็ต้องกลืนเลือดลงไปแล้วมุ่งมั่นไว้

เผื่อกู้โม่หานฟื้นมาเห็นถึงความกระตือรือร้นของนาง แล้วเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?

ภายในห้อง หลังจากเสิ่นอี่ว์ไปแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่มีอะไรจะคุยกัน

กู้โม่หานเห็นหนานหว่านเยียนยกมือเท้าคางนั่งอยู่บนโต๊ะ เหนื่อยล้าอย่างหมดแรง เขาสามารถมองเห็นภาพผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง พาเขาเดินทางมาไกลขนาดนั้น ยังช่วยรักษาเขา จะสูญเสียพลังมากมายขนาดไหน

สายตาของเขาอ่อนโยน แล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณ"

“อืม” หนานหว่านเยียนพูดตอบอยู่อย่างเหม่อเลย นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากเกินไปกว่านี้

นางเหนื่อยมากแล้วจริงๆ สมองมึนชาไปหมดแล้ว ตอนนี้ในใจมีเพียงลูกสาวสองคนที่น่ารักไร้เดียงสา อยากที่จะรีบกลับไปยังเรือนเซียงหลินเสียเดี๋ยวนี้ กอดพวกเขาสองคนที่ทั้งหอมทั้งอ่อนนุ่มแล้วก็นอนหลับ

แต่นางไม่กล้า และก็ทำไม่ได้

สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างอันตราย ความเคลื่อนไหวของนางทุกอย่าง ล้วนอาจจะเป็นการเปิดเผยสถานะของลูกทั้งสอง

กู้โม่หานบาดเจ็บที่หน้าอก ขยับนิดหน่อยก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว เขามองดูหนานหว่านเยียน แล้วก็เหมือนอยากพูดอะไร

เวลานี้ ตรงประตูมีเสียงทุ้มนุ่มนวลดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“หว่านหว่าน ได้ยินว่าเจ้าไม่ได้พักมาตลอด หิวแล้วหรือเปล่า ข้าเอาของกินมาให้เจ้า เจ้าเปิดประตูให้หน่อย”

เสียงนี้ หนานหว่านเยียนพูดขึ้นมายังแปลกใจว่า “ท่านน้า?”

อารมณ์ท่าทีของกู้โม่หานเยือกเย็นลง เหมือนสัมผัสโดนเชื้อรา คำพูดเย็นชาโผล่ออกมาจากระหว่างฟันว่า

“หนานหว่านเยียน ห้ามไป.....”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้