ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 275

“คนที่ช่วยท่านในตอนนั้นคือใคร และที่ท่านให้ข้าน้อยสืบเรื่องตอนที่พระชายายังเป็นเด็ก ล้วนสืบมาเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นข้อมูลและหลักฐาน ส่วนเรื่องที่พระชายาหายสาบสูญไปตอนถึงวัยปักปิ่น ตอนนี้ยังสืบไม่ได้ข้อมูล รอเมื่อได้ข้อมูลมาแล้วจะรีบรายงานท่าน”

ข้อมูลชุดนี้ ได้มาตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องกับท่านอ๋อง ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องพวกนี้ เขาจึงเอาข้อมูลเก็บไว้ในห้องหนังสือ

ตอนนี้ท่านอ๋องก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาทำภารกิจเสร็จก็ไปเอามาจากในห้องหนังสือด้วยตนเอง แต่ที่ค่อนข้างน่าแปลกก็คือ ตอนนั้นเหมือนเขาจะเอาจดหมายวางไว้ใต้หินหมึก ตอนนี้กลับวางอยู่บนโต๊ะ

แต่เสิ่นอี่ว์ก็ไม่คิดอะไรมาก คิดว่าตนเองคงจำผิดไป ยังไงห้องหนังสือก็เป็นสถานที่สำคัญของจวนอ๋อง มีคนเฝ้าดูแลอยู่อย่างเข้มงวด คนที่สามารถเข้าไปในห้องหนังสือได้ล้วนเป็นคนที่ท่านอ๋องไว้ใจ ไม่มีทางมีปัญหาอะไรแน่

กู้โม่หานได้ยินแบบนี้ สีหน้าหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน รีบยื่นมือรับจดหมายมา แล้วเปิดอ่านดู

เนื้อหาในจดหมาย กลับเป็นไปอย่างที่เขาคาดคิด นัยน์ตาคมกริบของเขาฉายแววหงุดหงิดเล็กน้อย

เสิ่นอี่ว์เห็นกู้โม่หานไม่มีการตอบสนองใดๆ ยังคิดว่าเขาตกใจเกินไปจนอึ้งไปชั่วขณะ

เขาตื่นเต้นอย่างมาก ถามขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “เป็นอย่างไรบ้างท่านอ๋อง? เกินความคาดหมายของท่านหรือไม่?”

กู้โม่หานยื่นจดหมายคืนให้กับเสิ่นอี่ว์ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไม่เลย”

“อืม?” เสิ่นอี่ว์รับจดหมายมาอย่างสนใจ หลังจากมองเห็นเนื้อหาในจดหมายแล้ว รู้สึกเหมือนทุกคนเอาน้ำเย็นราดหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “เป็นแบบนี้ได้อย่างไร.....ข้าน้อยยังคิดว่าพระชายาเป็นคนช่วยชีวิตท่าน”

ตอนที่คนไปสืบข้อมูลเอาจดหมายมาให้เขา เห็นได้ชัดว่าสีหน้ายินดี และคำพูดก็มีประโยชน์ต่อหนานหว่านเยียน ตอนนั้นเขาฟังแล้วยังคิดว่าคนที่ช่วยชีวิตท่านอ๋องคือพระชายา

แต่ทำไมเนื้อหาบนจดหมาย หลักฐานทุกอย่างล้วนบอกว่า คนที่ช่วยชีวิตกู้โม่หานคือหยุนอี่ว์โหรว?

ท่าทีผิดหวังของเสิ่นอี่ว์ค่อยๆชัดยิ่งขึ้น แอบคิดในใจว่าเขารู้สึกผิดไปจริงหรือ?

แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ในวันที่ท่านตกน้ำ ในจดหมายบอกว่าพระชายาก็ตกน้ำ ตอนที่กลับไปถึงจวนเฉิงเซี่ยง เนื้อตัวก็เปียกปอนไปหมด กลับพูดว่าจำอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องนี้ท่านเห็นว่า..... ค่อนข้างน่าสงสัยไหม?”

บนใบหน้าหล่อเหลาของกู้โม่หาน ปรากฏท่าทีอึมครึม

ตอนนี้ถึงจะมีหลักฐานครบถ้วน แต่ภายในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกถึงความสงสัย เขาจำได้ว่า หนานหว่านเยียนเคยพูดว่าเคยช่วยชีวิตเขา วันนั้นนางกลับมาพร้อมเนื้อตัวเปียกปอน หรือว่า.....

“ไปสืบมาอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้ เปลี่ยนทิศทาง ลงมือสืบทางด้านหนานหว่านเยียน”

เสิ่นอี่ว์รับคำสั่งทันที

แล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เขาพูดขึ้นอย่างค่อนข้างลังเลเล็กน้อยว่า “ท่านอ๋อง ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง....”

ริมฝีปากบางของกู้โม่หาน เผยอพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ว่ามา”

“วันนี้พระชายารองหยุนบุกเข้ามาในเรือนจู๋หลาน อยากที่จะพบท่าน พระชายาบอกว่านางบุกเข้ามาในเรือนจู๋หลานโดยพลการมีโทษหนัก แต่พระชายารองไม่ฟัง ยอมที่จะคุกเข่าอยู่ด้านนอก ซึ่งด้านนอกอากาศเหน็บหนาว นางคุกเข่าอยู่หลายชั่วโมงแล้ว เมื่อกี้ตอนที่ข้าน้อยเข้ามา พบว่านางสลบหมดสติไปแล้ว.....”

หยุนอี่ว์โหรวคุกเข่าอยู่ด้านนอก?

ท่าทีกู้โม่หานเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกเป็นห่วงหยุนอี่ว์โหรวเหมือนอย่างที่เคย

แต่ยังไงหยุนอี่ว์โหรวก็ยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขา จะปล่อยให้นางตายอยู่ด้านนอกเรือนของตนเองก็คงไม่ได้

“สั่งคนพาตัวนางกลับไป เฝ้าดูไว้อย่างเข้มงวด อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

“อีกอย่าง อย่าบอกนางว่าข้าฟื้นแล้ว”

เสิ่นอี่ว์พูดตอบว่า “ข้าน้อยเข้าใจ”

พูดเสร็จ เขาก็หันเดินออกจากห้องไป

กู้โม่หานมองดูด้านนอกหน้าต่าง คิดถึงตอนที่ตกน้ำในวัยเด็ก คำพูดที่พูดกับคนที่ช่วยเขาขึ้นมา....

“รอข้าเติบโตแล้ว ข้าจะตอบแทนบุญคุณ ข้าจะแต่งงานกับเจ้า....”

หากตอนนั้น สามารถพยายามมองดูหน้าของนางให้ชัดเจนก็คงดี

จะได้ไม่มีความกังวลและปัญหาในวันนี้

ตอนที่หนานหว่านเยียนกลับมาในห้อง เห็นกู้โม่หานมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่อย่างเหม่อลอย

หนานหว่านเยียนก็ไม่สนใจเขา เลิกคิ้วแล้วนั่งลง กินข้าวอยู่บนโต๊ะของกู้โม่หาน

ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว กู้โม่หานได้สติกลับมา เขาหันมามองเห็นหนานหว่านเยียน กำลังอยากถามนางเรื่องช่วยชีวิต กลับเห็นบนตัวนางสวมเสื้อคลุมของโม่หวิ่นหมิง

เขาโกรธมาก แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา พร้อมพูดขึ้นว่า “หนานหว่านเยียน ถอดเสื้อผ้า”

หนานหว่านเยียนเกือบสำลัก จ้องมองดูเขาอย่างไม่พอใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “กู้โม่หานเจ้าโรคจิตหรือ? ป่วยขนาดนี้แล้ว ยังมีแก่ใจทำเรื่องแบบนี้?”

สีหน้ากู้โม่หานคาดไม่ถึง หรี่ตามองดูนางอย่างโกรธจัดที่สุด

“หนานหว่านเยียน หัวสมองของเจ้าใส่อะไรไว้? ข้าให้เจ้าถอดเสื้อคลุมของโม่หวิ่นหมิง”

สวมเสื้อผ้าของชายอื่นอย่างเปิดเผยต่อหน้าเขา ยังมีเหตุผลเต็มที่ที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำ ไม่รู้จริงๆว่าหนานหว่านเยียนตั้งใจหรือไม่มีสมอง

“ข้าไม่ถอด อีกอย่าง หากเจ้ายังดุร้ายเกรี้ยวกราดแบบนี้ ตายไปข้าก็จะไม่สนใจ”

กู้โม่หานหัวเราะเย้ย ริมฝีปากบางพ่นหมอกเย็นออกมาเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นว่า “เพราะข้าถูกเจ้าทำให้โกรธจัด หนานหว่านเยียน เจ้าตั้งใจอยากที่จะทำให้ข้าโกรธโมโหตายใช่ไหม? ยังไงข้าก็ช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้ากลับค่อยยั่วยุข้าครั้งแล้วครั้งเล่า”

นางไม่เคยสวมเสื้อผ้าของเขา ของเสิ่นอี่ว์ในครั้งนั้นไม่นับ เพราะนางบาดเจ็บสาหัส และเสิ่นอี่ว์ก็เป็นคนของเขา ไม่มีทางกล้าคิดอะไรกับนาง

แต่โม่หวิ่นหมิงมีความคิดลึกซึ้ง นางยังสวมเสื้อผ้าของเขา แบบนี้ไม่ใช่ยั่วยุเรียกว่าอะไร?

หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วมองดูกู้โม่หาน อย่างไร้ความปรานี

“ถึงข้าอยากพูดว่าใช่ หากเจ้าตายไปจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก แต่ว่าน่าเสียดาย ตอนนี้เจ้ายังตายไม่ได้ หากเจ้าตายไป กับข้า กับทุกคน ล้วนไม่เป็นผลดี”

“ถึงข้าจะไม่ชอบเจ้า แต่ตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองวิกฤติ ประชาชนต้องการเจ้า ค่ายเสินเชื่อก็ต้องการเจ้า ในบางอย่างเจ้าก็ยังมีจุดเด่น แต่เจ้าก็อย่าลืมว่า เจ้าช่วยชีวิตข้า แต่หากไม่มีข้า เจ้าตายไปนานแล้ว เรื่องนี้เราถือว่าชดเชยกันแล้ว”

เริ่มแรก นางอยากที่จะให้กู้โม่หานได้ชดเชยอย่างมหาศาล แขนขาดหรือขาขาดไปข้างหนึ่ง จะได้คู่ควรกับความย่ำแย่ที่นางเคยประสบ

แต่ผ่านมานานแล้ว นางก็กระทำกับเขาอย่างรุนแรง ไม่ให้เขาได้มีชีวิตที่ดี แต่ก็ไม่มีความจำเป็นเพื่อความแค้นส่วนตัว แล้วทำให้ประเทศหนึ่งสูญเสียคนที่มีกำลังปกป้องประเทศอย่างแท้จริงไป

อีกอย่าง เรื่องมากมายล้วนเป็นเล่ห์เหลี่ยมของหยุนอี่ว์โหรว นางเพียงหวังว่าจะสามารถหย่ากันได้เร็วที่สุด ต่างคนต่างไปมีชีวิตที่ดี

เขาตายแล้วจะเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง?

นางไม่ชอบเขา?

กู้โม่หานเจ็บปวดใจ สายตาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดอย่างไร้ร่องรอย

“หนานหว่านเยียน เมื่อก่อนเจ้าเคยชอบข้ามาก เจ้าเป็นคนเคยพูดเอง ตอนนี้กลับพูดว่าไม่ชอบข้า ใครจะเชื่อ?”

หนานหว่านเยียนหัวเราะเย้ย พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ขอให้เจ้าเชื่อ ยังไงข้าก็ไม่ชอบเจ้า”

“หุบปาก หากให้ข้าได้ยินประโยคนี้อีก ข้าจะไม่เกรงใจเจ้า.....”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้