ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 338

“เจ้าอ่านหนังสือแบบนี้ได้ยังไง” กู้โม่หานมองนางอย่างไม่อยากเชื่อ เหมือนไม่คาดคิดว่าหนานหว่านเยียนจะเป็นคนแบบนี้ ชอบอ่านเรื่องร่วมเพศ!

หนังสือเล่มโปรดที่สุดของนางฉีกขาดแล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้นกู้โม่หานได้เห็นทุกอย่างแล้ว!

ในเวลานี้ หนานหว่านเยียนไม่รู้ว่านางควรละอายใจหรือโกรธดี

สุดท้ายนางก็คว้าหนังสืออีกครึ่งเล่มจากมือของเขา รีบเก็บหน้าต่างๆ บนพื้นขึ้นมา แล้วยัดพวกมันไว้ใต้หมอนอย่างโกรธเกรี้ยว

“หนังสือแบบนี้มันผิดตรงไหน หน้านางแดงมากจนเลือดแทบไหลอยู่แล้ว แต่ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยื้อไว้ “มันสมเหตุสมผลและถูกกฎหมาย”

ยังสมเหตุสมผลและถูกกฎหมายด้วย...กลางวันแสกๆ ระเบียบแบบแผนอย่างไรกัน!

จู่ๆ กู้โม่หานก็นึกขึ้นได้ว่าในภาพวาดเหล่านี้ มีร่างกายของผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหมายความว่า หนานหว่านเยียน ได้เห็นผู้ชายทุกคนในภาพวาดแล้ว

ใบหน้าของชายหนุ่มขรึมลง จับจ้องไปที่หนานหว่านเยียน

“ถ้าข้าเห็นเจ้าคุณดูของที่น่าขยะแขยงแบบนี้อีก ข้าจะเผาเจ้าไปด้วย! “

“ท่านทำหนังสือของข้าพัง ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับท่านเลย แต่ท่านกลับมาโวยวายก่อน”

หนานหว่านเยียนคอยปกป้องทารกน้อยของตัวเอง หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่กู้โม่หานจะมาปรากฏตัวในห้องของนาง “ท่านมาทำอะไรที่นี่กันแน่? คงไม่ได้มาหาเรื่องทะเลาะกับข้าหรอกนะ?”

กู้โม่หานตะคอกอย่างเย็นชา แล้วถือโอกาสเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“เมื่อกี้เสิ่นอี่ว์มาบอกว่า ซือเย่และคนอื่นๆ เชิญเจ้ากับข้าไปที่หอฮ่านฟัง เจ้าไป…”

“ก็ต้องไปอยู่แล้ว” กู้โม่หานยังพูดไม่จบ หนานหว่านเยียนก็ชิงตอบขึ้นมาก่อน

“เรื่องวางแผนดึงผู้คนมาเป็นพวก ข้าไปแน่นอน”

เรื่องยึดอำนาจ มันเป็นเรื่องที่นางบอกปัดไม่ได้ ขอเพียงนางจัดการเรื่องนี้ได้ดี นางจึงจะสามารถออกไปก่อนเวลาได้

แววตาของกู้โม่หานเปล่งประกาย สีหน้าอ่อนโยนลงมาก “งั้นเจ้ารีบไปเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่หน้าประตู”

จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินไปที่ประตู พอคิดบางอย่างได้จึงหยุด “อย่าใส่เสื้อผ้าที่ซอมซ่อเล็กจนเกินไป เหมือนข้ากำลังทารุณเจ้าอยู่ยังไงยังงั้นเลย”

เขาเพิ่งซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้นาง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแต่งตัวอย่างไร

หนานหว่านเยียนไม่ตอบ กระแทกประตูห้องปิดดังปัง

กู้โม่หาน “...”

สิบห้านาทีต่อมา ทั้งสองคนก็ขึ้นรถม้า

กู้โม่หานนั่งตรงข้ามกับหนานหว่านเยียน เขามองนางในชุดใหม่ที่เขาซื้อให้ รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงอันไพเราะของเสิ่นอี่ว์ก็ดังออกมา เปิดม่านให้ทั้งสองคน

“ท่านอ๋อง พระชายา มาถึงแล้ว”

หนานหว่านเยียนโผล่หน้าออกมาก่อน ทันทีที่เท้าของนางแตะพื้น มือของนางก็ถูกจับไว้แน่น

“ทำไมพระชายารีบร้อนจัง?” กู้โม่หานดึงหนานหว่านเยียนเข้ามาในอก

เสิ่นอี่ว์ที่ยืนแอบมองอยู่ข้างๆ อยากจะหัวเราะแต่ไม่กล้า

เมื่อคิดว่าหนานหว่านเยียนกำลังจะเริ่มเล่นละครแล้ว อดกลั้นไว้ ออกแรงบีบฝ่ามือของกู้โม่หาน แล้วยิ้มให้เขา

“เป็นความสะเพร่าของหม่อมฉันเอง”

นางยิ้มพลางกัดฟัน กู้โม่หานดึงหนานหว่านเยียนเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ก้าวลงจากรถม้า พานางไปที่หอฮ่านฟัง

หอฮ่านฟังเป็นหนึ่งในที่พักที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง เปิดให้ผู้คนได้ดื่มชา แต่เรื่องความเป็นส่วนตัวก็ทำได้ดี ดังนั้นขุนนางในศาลจึงมักจะมาอยู่เสมอ

หลังจากนั้นไม่นาน กู้โม่หานและหนานหว่านเยียนก็ถูกพาไปที่หน้าประตูห้องหรูหรา

เสิ่นอี่ว์รออยู่ข้างนอก

กู้โม่หานผลักประตู แล้วเดินเข้าไปพร้อมกับหนานหว่านเยียน

ทันทีที่ทั้งสองปรากฏตัวขึ้น ภายในห้องหรูหราที่มีเสียงพูดคุยกันอยู่สักครู่ เงียบสงบลงทันที

หนานหว่านเยียนมองไปรอบๆ คนสามคนกำลังมา ทุกคนนางแทบจะไม่รู้จักเลย

ชายวัยกลางคนที่ดูจริงจังน่าจะเป็นเจิ้งซือเย่ชายชราหนวดเคราวขาว แต่งตัวดี รอบตัวที่มีกลิ่นอายอันสง่างาม น่าจะเป็นกัวซื่อเฉิงจากไท่ฉังชิง(ไท่ฉังซื่อเป็นหน่วยงานดูแลการเซ่นไหว้เทพเจ้าและ

ศาลบรรพชน ทั้งยังก ากับเรื่องจารีตและดนตรีในพิธีการ)

อีกคนหนึ่งสวมหมวกไม้ไผ่มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ปิดหน้ากระแอมไอเป็นบางครั้ง ไม่รู้จักตัวตน

ดูเหมือนว่าสามคนนี้จะเป็นแกนหลักของขุนนางคนอื่นๆ

“กระหม่อมขอคารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา! “เจิ้งซือเย่นำหน้า ทั้งสามลุกขึ้นยืนด้วยความเคารพ แล้วคำนับให้กู้โม่หานและหนานหว่านเยียน

กู้โม่หานพยักหน้าเล็กน้อย “วันนี้ทุกท่านเชิญข้าและพระชายาออกมา เช่นนั้นพวกท่านคือเจ้าบ้าน ไม่ต้องมากพิธี ถือเสียว่าเป็นการพูดคุยสัพเพเหระก็แล้วกัน”

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” พูดจบ ทั้งสามคนก็ยังไม่นั่งลง

หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วขึ้น กู้โม่หานพาไปยังที่นั่งอันสูงส่ง

จากนั้นทุกคนก็นั่งลงทีละคน

แม้ว่าหนานหว่านเยียนจะเคยเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ในวัง แต่ทุกครั้งล้วนเป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียด ตอนนี้นางไม่ชินกับการนั่งในตำแหน่งที่เคร่งเครียดเช่นนี้

คิดได้ดังนั้น นางก็หยิบกาน้ำชาข้างๆ มารินชาให้กู้โม่หานและตนคนละถ้วย

ในเวลานี้เจิ้งซือเย่ขยิบตาให้กัวซื่อเฉิง กัวซื่อเฉิงพยักหน้า แล้วลุกยืนขึ้นพร้อมถ้วยชาในมือ แล้วพูดกับกู้โม่หานและหนานหว่านเยียน

“กระหม่อมไม่รู้ว่าท่านอ๋องกับพระชายาชอบดื่มอะไร ในหอเพิ่งมีชาซีหูหลงจิ่งเข้ามาใหม่ กระหม่อมจึงซื้อมาด้วยตัวเอง ขอเชิญท่านอ๋องและพระชายาให้เกียรติลองชิมดูหน่อย”

เริ่มแล้ว คำพูดพิธีรีตองเริ่มขึ้นแล้ว

หนานหว่านเยียนมีสีหน้าอ่อนโยน ยกถ้วยขึ้นมาจิบพร้อมกับกู้โม่หาน

ปัญญาชนพูดจากันอย่างสละสลวย กู้โม่หานและแขกทั้งหลายพูดจากันตามมารยาทอยู่ครู่หนึ่ง หัวข้อจึงกลับมาอยู่ในทางที่ถูกต้อง

“ท่านอ๋องโดดเด่นกว่าใคร พวกกระหม่อมโชคดีแค่ไหนที่ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง?”

โดยทั่วไปแล้ว มันยากสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับหกอย่างพวกเขาที่จะเข้าเฝ้ากู้โม่หาน แต่กู้โม่หานกลับส่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไว้ใจได้ไปพบพวกเขา มันน่าตกใจจริงๆ

วันนี้ นอกเหนือจากการขอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากหนานหว่านเยียนแล้ว พวกเขายังต้องการทราบจุดประสงค์ของกู้โม่หานด้วย

กู้โม่หานถือถ้วยชาไว้ในมืออันเรียวยาว จิบเบาๆ แล้วมองไปที่ขุนนางหลายท่าน

“พวกท่านอย่าดูแคลนตัวเอง ความสามารถเป็นเช่นไร ทำไมลองเปรียบเทียบกับตำแหน่งขุนนางดูล่ะ คนที่มีแบบแผนจะก้าวไปได้ไกลในทุกตำแหน่ง ข้ากำลังมองหาบุคคลที่มีพรสวรรค์ ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมและช่วยเหลือข้าอย่างสุดกำลัง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างตกตะลึงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

กู้โม่หานไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน แต่องค์ชายดึงขุนนางมาเป็นพวกให้ความช่วยเหลือเขาอย่างสุดกำลัง จะหมายถึงอะไรได้อีกนอกจากการยึดอำนาจ?

ชายสวมหมวกไม้ไผ่ที่นิ่งเงียบตลอดเวลาได้พูดขึ้น เสียงของเขายังหนุ่มมาก แถมยังไพเราะน่าฟังเหมือนสายน้ำในป่า

“อะแฮ่ม ท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานดังคาด แต่อย่าโกรธที่บังอาจพูดตรงๆ ท่านห่างหายมาห้าปีแล้ว ทุกคนต่างคิดว่าท่านไม่ต่อสู้แย่งชิง แต่วันนี้ท่านกลับขอให้พวกข้าให้การช่วยเป็นกำลังเสริมให้ท่าน มันยากที่จะทำให้ผู้คนเชื่อว่า ท่านไม่ได้กำลังพูดเล่นอยู่

แววตาของกู้โม่หานดูเย็นชาขึ้น

เขาถูกบังคับอย่างรุนแรง ถ้าไม่ใช่เพราะความเกลียดชังซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเสด็จพ่อ เขาคงไม่มาถึงจุดนี้

เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หนานหว่านเยียนที่อยู่ข้างกายกลับพูดอย่างเนิบนาบ

“ทุกท่านช่วยฟังข้าก่อนได้ไหม?”

“ตอนนี้สถานการณ์อยู่ในความสับสนวุ่นวาย ท่านพ่อเข้าสู่วัยสี่สิบ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถึงเวลารับช่วงต่อ ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย แม้ว่าองค์ชายสามจะกล้าหาญ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะหุนหันพลันแล่น ทำอะไรบ้าบิ่น”

“องค์ชายเจ็ดวันๆ เอาแต่อยู่ในหอสมุด เป็นหนอนหนังสือ ไม่รับฟังเรื่องภายนอก”

“องค์ชายสิบยังหนุ่ม เฉลียวฉลาด เข้ากับคนอื่นง่าย แต่ไม่มีทักษะทางด้านการทหาร ไม่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล”

“ส่วนองค์ชายที่เหลือถ้าไม่กลางๆ ก็เด็กเกินไป ไม่อยู่ในขอบเขตพิจารณา”

“ส่วนท่านอ๋องข้านั้น...”

ชายสวมหมวกไม้ไผ่ได้ยินหนานหว่านเยียนเอ่ยปาก ก็ตอบนางโดยไม่รู้ตัว

“องค์ชายหกมีกล้าหาญและไหวพริบ เป็นแม่ทัพหนุ่ม เมื่ออายุสิบสามปีได้ทำให้ชายแดนสงบลง เมื่ออายุได้สิบห้าปี ได้ดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมา เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน มีทั้งความสามารถและพรสวรรค์…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้