ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 361

ค่ายทหารเกิดเรื่องแล้ว?

คิ้วของหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานพลันขมวดมุ่นทันที

แววตาของกู้โม่หานเย็นเยียบระคนหวาดวิตก ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า "เกิดเรื่องอะไรขึ้น?"

ทหารที่มารายงานคุกเข่าตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเคารพ พูดอย่างร้อนใจว่า: "พวกคนของทางอ๋องเฉิงจู่ ๆ ก็เริ่มต่อสู้กับคนของเรา เดิมทีอ๋องเฉิงก็คิดจะจัดการอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ยิ่งนานไปกลับยิ่งวุ่นวายโกลาหลขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้เริ่มจะควบคุมไม่ได้แล้วขอรับ!"

คนของอ๋องเฉิง?

ทั้งหนานหว่านเยียนและกู้โม่หานต่างก็งงงันขึ้นมาแล้ว

นับตั้งแต่ที่หนานหว่านเยียนพูดเรื่องการลอบสังหารกับกู้โม่เฟิงไปเมื่อครั้งก่อน เขาก็ทำตัวสงบเสงี่ยมไปนานทีเดียว ทั้งไม่แสดงท่าทางจองหองพองขนใส่กู้โม่หานอย่างโจ๋งครึ่ม หรือค่อนแคะจับผิดกู้โม่หานอีกเลย

แล้วเรื่องนี้สรุปว่ามันยังไงกันแน่.....

หนานหว่านเยียนมองไปที่กู้โม่หาน พูดด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า "เจ้าไปดูที่ค่ายทหารก่อนเถอะ เรื่องในวังข้ารับมือเองได้"

ตอนนี้พวกเขามีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันแล้ว กำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่กู้โม่หานมีอยู่ก็คือค่ายเสินเชื่อ หากชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสียแล้ว อย่างไรก็ควรรีบจัดการเรื่องของทางค่ายทหารก่อน

กู้โม่หานขมวดคิ้วมุ่น มองหนานหว่านเยียนด้วยความรู้สึกห่วงใยจนวางใจไม่ลง

“ท่านอ๋องยังต้องเข้าวังด้วยหรือไม่?” กงกงเห็นว่าทั้งสองอึกอักไม่ตอบอะไรอยู่เป็นนาน จึงถามพร้อมกับส่งเสียงกระแอมเบา ๆ

หนานหว่านเยียนหันไปมองขันทีแล้วพูดว่า "ท่านอ๋องยังมีเรื่องทางค่ายทหารต้องจัดการ ข้าจะเข้าวังไปพร้อมกับกงกงเอง"

"ช้าก่อน —" หนานหว่านเยียนเพิ่งจะเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว ก็ถูกกู้โม่หานเรียกให้หยุด

นางหันกลับมามองเขา “ยังมีอะไรอีกรึ?”

จู่ ๆ กู้โม่หานก็โอบรอบเอวของนาง แล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หนานหว่านเยียนไม่ทันตั้งตัว จมูกเต็มไปด้วยกลิ่นหมึกที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบตัวเขา ก่อนที่จะได้ยินเขากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูว่า

"ก่อนหน้านี้เสิ่นอี่ว์บอกกับข้าว่า เพราะเรื่องของหยุนเหิงจึงทำให้หยุนเจิ้นซงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงขั้นลุกลามไปถึงฮองเฮา ที่มีประกาศเรียกตัวเจ้าเข้าวังครั้งนี้ คิดว่าคงจะเป็นเรื่องนี้แน่ ๆ"

“ข้าจะรีบจัดการเรื่องทางค่ายเสินเชื่อให้เร็วที่สุด ทางฝั่งฮองเฮา ถ้าเจ้ายื้อได้นานเท่าไหร่ ก็จงยื้อให้ได้นานเท่านั้น”

ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องของแม่ทัพลูกเมียหลวงนี่เอง.....

หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว ตอบกลับด้วยเสียงแผ่วต่ำ: "ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปจัดการเรื่องทางค่ายทหารก่อนเถอะ"

เสียงของนางเบามาก น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน

นี่เป็นครั้งแรกที่กู้โม่หานได้ยินนางพูดกับเขาแบบนี้ ร่างกายของเขาพลันแข็งทื่อขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่ามีบางอย่างสะกิดเข้าที่ปลายหัวใจจนคันยุบยิบ จู่ ๆ ก็ปล่อยตัวนาง

ใบหน้าอันหล่อเหลาของกู้โม่หานเย็นเยียบ หันไปพูดกับกงกงว่า "พระชายาของข้า ต้องขอฝากกงกงให้ช่วยดูแลแล้ว"

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” กงกงผู้นั้นยิ้มด้วยสีหน้า “ข้าน้อยล้วนเข้าใจดี” ก่อนจะพาหนานหว่านเยียนออกไปพร้อมเสียงหัวเราะแช่มชื่น

อ๋องอี้กับพระชายาอี้คู่นี้ ช่างรักใคร่ผูกพันกันลึกซึ้งตามที่ได้ยินผู้คนเล่าลือมาจริง ๆ แค่จะเข้าวังสักครั้ง ก็ยังต้องกอดร่ำลากันเสียหวานชื่น

ก่อนออกไป หนานหว่านเยียนยังหันกลับไปมองกู้โม่หานแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้เขาอย่างแฝงความหมาย

หยุนเหิงเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน ต่อให้ฮองเฮาจะไต่ถามเอาความกับนางจริง ๆ นางก็สามารถรับมือได้

แต่สิ่งที่นางพะวงคือ ช่วงเวลาที่ค่ายเสินเชื่อเกิดเรื่องทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้ ราวกับว่าไม่ต้องการให้นางเคลื่อนไหวพร้อมกับกู้โม่หานอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากกู้โม่หานเห็นว่าหนานหว่านเยียนเดินจากไปไกลแล้ว ก็หันไปออกคำสั่งง่าย ๆ กับเซียงอวี้ จากนั้นค่อยเดินตามทหารไปที่ค่ายเสินเชื่อ

ครึ่งชั่วยามต่อมา ณ. พระราชวัง

หนานหว่านเยียนลงจากรถม้า กงกงที่ทำหน้าที่นำทางให้จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา นางจึงทำได้แค่อาศัยความทรงจำของตัวเอง เพื่อค้นหาทิศทางของตำหนักหยูซิน

หนานหว่านเยียนเข้าวังมาหลายครั้งมากแล้ว แต่จำได้แค่ตำหนักบรรทมของไทเฮากับกุ้ยเฟย ส่วนตำหนักของฮองเฮานางจำไม่ได้จริง ๆ

ตอนที่เดินไปถึงอุทยานหลวง นางก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะจำคลาดเคลื่อนไปหน่อยแล้ว ขณะที่กำลังมองหาคนเพื่อจะถามทาง ก็เห็นเงาร่างในชุดคลุมสีเขียวร่างหนึ่งเดินตุปัดตุเป๋มาจากที่ไกล ๆ

เสียง "ตึง" ดังแว่วมา จู่ ๆ ชายคนนั้นก็ทรุดฮวบล้มลงไปกับพื้น

สีหน้าของหนานหว่านเยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบวิ่งเข้าไปดู นางขมวดคิ้วพลางตรวจสอบอาการของชายชุดเขียว "เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"

ชายคนนั้นกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าเจ็บปวด มือข้างหนึ่งกุมที่ช่วงเอว ฝืนลืมตาด้วยท่าทางติดจะลำบากน้อย ๆ "แม่นาง....."

ผมดำสลวยของเขาถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบง่าย ใบหน้าหล่อเหลาน่ามอง เขาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวลายเมฆ ขับให้เขาดูมีสง่าราศี ทรงภูมิแต่ก็ยังมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม ดูสูงศักดิ์ไม่น้อย

หนานหว่านเยียนไม่มีเวลามองหน้าเขา แค่อยากถามถึงอาการป่วยของเขา แต่กลับไอร้อนสายหนึ่งผุดออกมาจากฝ่ามือของเขา

นางลองพินิจมองให้ใกล้ขึ้น จึงเห็นว่ามีรอยคราบเลือดกระดำกระด่าง ซึมผ่านออกมาจากเสื้อผ้าของชายคนนี้

“เจ้าได้รับบาดเจ็บนี่!”

นางไม่มีเวลาคิดอะไรมาก หนานหว่านเยียนรีบยื่นมือออกไปถลกเสื้อผ้าของเขาออกทันที

วินาทีถัดมา สองมือก็ถูกอีกฝ่ายคว้าไว้อย่างแรง

ชายหนุ่มชุดเขียวที่ดูไปแล้วท่าทางอ่อนแอ กลับมีพละกำลังที่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ เจ้าตัวฝืนมองหนานหว่านเยียนอย่างอ่อนแรงด้วยดวงตาที่หรี่ปรือไปกว่าครึ่ง

หนานหว่านเยียนรีบอธิบายว่า: "ข้าแค่ต้องการช่วยดูอาการบาดเจ็บให้เจ้า ไม่ได้คิดที่จะทำร้ายเจ้า ข้ารู้วิชาแพทย์"

หมอล้วนมีหน้าที่ช่วยชีวิตและรักษาผู้คนที่บาดเจ็บ นางก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชุดเขียวก็ค่อย ๆ คลายมือออก

“ขอบคุณแม่นางมาก แต่ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน แม่นางควรจะ —”

“จนเวลาแบบนี้แล้ว ยังจะมาห่วงอะไรกับอีแค่เรื่องชายหญิงควรไม่ควรใกล้ชิดกันอีกล่ะ!” หนานหว่านเยียนตัดบทคำพูดของเขาตรง ๆ

ช่วยชีวิตคนสำคัญที่สุด นางปัดมือของชายคนนั้นออก ก่อนจะถลกเสื้อผ้าของเขาขึ้นอย่างระมัดระวัง

ในตอนที่นางเห็นรอยแผลเป็นที่ยาวเกือบสิบเซนติเมตร ซึ่งอยู่ตรงเอวของชายชุดเขียว สีหน้าก็พลันอึมครึมลงไปหลายส่วน

รอยแผลนี้ดูเหมือนจะเป็นแผลเก่า แต่ทำไมเลือดถึงออกได้ล่ะ?

แต่หนานหว่านเยียนไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ให้มากมายแล้ว นางล้วงหยิบผงห้ามเลือดกับผ้าพันแผลออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อ ขณะที่กำลังจะลงมือทำแผล กลับพบว่าที่ขอบแผลมีรอยคราบสีดำ ๆ ม่วง ๆ เกาะอยู่

เป็นยาพิษ!

นางมองไปที่ชายชุดเขียว แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า "เจ้าถูกวางยาพิษ พิษนี้รักษาไม่ได้ง่าย ๆ เจ้าช่วยอดทนหน่อยนะ"

นิ้วมือของชายชุดเขียวสั่นน้อย ๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น ในดวงตาลึก ๆ ทอประกายเข้ม แต่ฉากหน้ากลับมองนาง ด้วยสีหน้าเหมือนเห็นความตายเป็นบ้านเกิดที่พร้อมจะกลับไปได้ทุกเมื่อ

“ขอบคุณแม่นางมาก ถ้าเจ้าช่วยข้าเอาไว้ได้ ข้าจะต้องรับผิดชอบต่อเจ้าอย่างแน่นอน”

หนานหว่านเยียนเพิ่งจะล้วงหยิบเข็มเงินออกมาจากแขนเสื้อ ได้ยินประโยคนี้เข้ามุมปากก็ถึงกับกระตุก "ข้าแค่ช่วยรักษาแผลให้เจ้า จะรับผิดชอบอะไรกันล่ะ? ไม่ต้อง ๆ"

ดูแล้วออกจะสุภาพขี้เกรงใจ แต่ทำไมเวลาพูดถึงได้กล้าหาญชาญชัยนักนะ

นางถือเข็มเงินไว้ในมือ กดลงบนจุดฝังเข็มของเขา แล้วแทงลงไปอย่างราบรื่น "ข้าจะล้างพิษให้เจ้าก่อน หลังจากล้างพิษเสร็จ จากนี้ไปเจ้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน ปากแผลลึกขนาดนี้ อย่าปล่อยให้แผลเปิดได้อีกล่ะ"

ชายชุดเขียวพลันขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองหนานหว่านเยียนด้วยท่าทางประหลาดใจน้อย ๆ

นางถึงกับมองออกว่านี่เป็นแผลเก่าเชียวรึ?

หญิงสาวตรงหน้ากำลังฝังเข็มให้เขาอย่างจริงจัง แววตาคู่นั้นสงบนิ่ง ใสกระจ่างสมกับเป็นหมอที่ให้การรักษาผู้คนอย่างแท้จริง

ผ่านไปไม่นาน หนานหว่านเยียนก็ถอนเข็มเงินกลับ ล้วงหยิบยาเม็ดแก้พิษออกจากอกเสื้อเม็ดหนึ่ง แล้วป้อนใส่เข้าไปในปากของเขา

"กินแล้วมันจะช่วยระงับการแพร่กระจายของพิษในตัวของเจ้าได้ จากนั้นค่อยดื่มยาจีนที่เคี่ยวจากหญ้าฝรั่นทุกวัน เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย"

"ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ดีเยี่ยมขนาดนี้ ช่างหาได้ยากจริง ๆ" ชายชุดเขียวกินยาเสร็จก็ยิ้มให้นาง แววตาดูจะสดใสขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

หนานหว่านเยียนถูกทำให้ตกใจจนแทบกระโดดตัวลอย "เอาล่ะ! ตอนนี้เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนล่ะนะ ลาก่อน!"

การเข้าเฝ้าฮองเฮาถือเป็นเรื่องสำคัญ เดิมทีอาจเป็นเรื่องไต่ถามความผิด แต่ตอนนี้นางกลับไปสาย เกรงว่าคงจะโดนตำหนิอีกแน่ ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมนางถึงรู้สึกว่าสายตาของเขาดูจะแปลก ๆ ขึ้นมาแล้วล่ะเนี่ย

"อั้ยหยา! พระชายาอี้ ทำไมท่านถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะเจ้าคะ?" หนานหว่านเยียนเพิ่งจะวิ่งออกไปได้แค่สองก้าว ก็ได้ยินเสียงเรียกของซุนหมัวมัวดังมาจากข้างหน้า

ซุนหมัวมัววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหยุดตรงหน้านาง

"ข้าน้อยเห็นว่านานแล้วท่านก็ยังมาไม่ถึงตำหนักหยูซินสักที ยังคิดอยู่ว่าท่านอาจจะหลงทางแล้ว เลยออกมาตามหาท่านตั้งนาน ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะเจ้าคะ?"

ขณะที่หนานหว่านเยียนกำลังจะพูด กลับมีน้ำเสียงอ่อนโยนที่แฝงความตกใจของชายชุดเขียวดังมาจากด้านหลัง "ที่แท้ท่านคือพี่สะใภ้หกหรอกรึ?"

คนที่สามารถเรียกนางว่าพี่สะใภ้หกได้ มีอยู่ไม่กี่คนหรอก

หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว หันหน้ากลับไป ก็เห็นชายรูปงามชุดเขียวคนนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจแล้ว

"เจ้าคือ?"

นี่คือน้องชายคนไหนของกู้โม่หานล่ะเนี่ย? ทำไมนางถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลย?

หลังจากซุนหมัวมัวได้เห็นใบหน้าของชายชุดเขียวชัด ๆ นางก็รีบคุกเข่าแล้วพูดว่า "ข้าน้อยคารวะท่านอ๋องเจ็ด!"

ที่แท้พ่อหนุ่มหน้าขาวคนนี้ ก็คืออ๋องเจ็ดกู้โม่หลิงหรอกรึ? !

ลูกชายของชีกุ้ยเฟย หรือก็คืออ๋องเจ็ด องค์ชายหนอนหนังสือในตำนานผู้ที่ไม่สนใจเรื่องใด ๆ ในราชสำนักคนนั้นน่ะรึ?

“ที่แท้ก็คือท่านอ๋องเจ็ดนี่เอง” หนานหว่านเยียนเลิกคิ้ว คนที่จะเดินไปเดินมาในวังได้ ไม่ใช่พวกคนใหญ่คนโตก็ต้องเป็นองครักษ์ แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นองค์ชาย

กู้โม่หลิงพยักหน้ารับ สายตาจับจ้องไปที่หนานหว่านเยียน ประสานมือคารวะนางด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นความผิดหวัง หรือความตื่นเต้นยินดีกันแน่

"ได้ยินมานานแล้วว่าทักษะทางการแพทย์ของพี่สะใภ้หกนั้นยอดเยี่ยมนัก วันนี้ได้มาเห็นเองกับตา ช่างไม่ธรรมดาจริงสมคำร่ำลือจริง ๆ เมื่อครู่ต้องขอบคุณพี่สะใภ้หกมากที่ยื่นมือช่วยเหลือ"

หนานหว่านเยียนเค้นรอยยิ้มออกมารอยหนึ่ง "ไม่เป็นไรหรอก แค่ช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้าไปก่อนล่ะนะ"

หนานหว่านเยียนเดินตามซุนหมัวมัวออกไป

กู้โม่หลิงมองตามเงาแผ่นหลังของหนานหว่านเยียนไป ลดมือลง กลิ่นอายบัณฑิตที่สุภาพงามสง่าบนร่างพลันจางหายไป

ดวงตาของเขากลับเย็นเยียบลง ความเจ็บปวดที่เกิดจากการชักนำของพิษบนร่างก็บรรเทาลงไปมาก

เขาหรี่ตา ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มมาดร้าย

"หนานหว่านเยียน นับว่ามีความสามารถอยู่บ้างจริง ๆ —"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้