ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 441

หลินเซี่ยวเย่มองไปที่หนานหว่านเยียนซึ่งดูเคร่งขรึมจริงจัง เขาเปลี่ยนสีหน้าไปทันที แล้วหันมามองที่กู้โม่หลิง

พระชายาอี้นี่ ดูเหมือนเป็นคนที่อ่อนแอ แต่กลับเป็นคนพูดเฉียบแหลม ทุกประโยคที่พูดออกมานั้นต่างพยายามที่จะล้วงลึกจิตใจของเจ้านายเขา นางคงไม่น่าใช่คนที่จัดการได้ง่ายด้วย

วันนี้ เจ้านายของเขาเชิญคู่อ๋องอี้และพระชายามาครั้งนี้ ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว

กู้โม่หานจับมือหนานหว่านเยียน และมองไปที่กู้โม่หลิงด้วยสายตาอันสงบเย็น

ดวงตาของกู้โม่หลิงเปลี่ยนเป็นแบบเย็นชาชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ยิ้มเล็กน้อย ปิดด้ามจิ้วและเคาะบนฝ่ามือของเขา

“พี่สะใภ้หกชมเดินไปจริง ๆ อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่ามีคนนับไม่ถ้วนในใต้หล้านี้ที่สามารถหาเงินได้จากการทำธุรกิจ แต่ในแคว้นซีเหย่ของเรา มีแค่เสด็จพี่หกเท่านั้นที่สามารถนำทัพออกรบต่อสู้ด้วยการวางกลยุทธ์อย่างง่ายดาย"

กู้โม่หานรับคำชมด้วยใบหน้าเฉย ไม่ได้หวั่นไหวแม้แต่นิดเดียว กู้โม่หลิงหัวเราะอีกขึ้น: "และถ้าพี่สะใภ้หกชมน้องเจ็ดอีกต่อไป เสด็จพี่หกคงจะต้องหึงด้วย และเกลียดน้องเจ็ดแล้ว"

เยี่ยมยอดจริงๆ

คำพูดของกู้โม่หลิงนั้นไม่มีที่ติเลย และเขาสามารถหลีกเลี่ยงหัวข้อทั้งหมดของนางได้อย่างชาญฉลาดโดยเอากู้โม่หานมาเป็นตัวอ้าง

หนานว่านเยียนเดาะลิ้นในใจ นี่ไม่ธรรมดาจริง ๆที่นางไม่สามารถล้วงเรื่องใดได้ นางยังมองดูทิวทัศน์โดยรอบพร้อมยิ้มพูดมาว่า

“เสด็จน้องเจ็ดอย่าดูถูกตัวเองสิคะ น้องสุดยอดจริง แล้วจะมากลัวคำชมจากคนอื่นหรือ พี่หกของเจ้าจะหึงหวงไปทำไม ก็ข้าพูดความจริงนี่”

ตอนนี้ได้ถึงกลางคืนแล้ว มองอะไรก็ไม่ค่อยชัดเจนนักใต้แสงสลัว ๆ

แต่ทันใดนั้น สายตาของหนานหว่านเยียนถูกดึงดูดด้วยป่าหนามสลัว ๆ ที่อยู่ด้านหน้าทางความมือ

คนสมัยก่อนมักชอบเอาป่าไผ่มาปิดหูปิดตา จะมีหนามได้อย่างไร

นางขมวดคิ้ว แล้วดึงแขนเสื้อของกู้โม่หานโดยตั้งใจแสร้งทำเป็นอยากรู้อยากเห็น ชี้ไปที่ป่าหนามแล้วพูดขึ้นว่า "ดูสิ ท่านอ๋อง ในจวนน้องเจ็ดไม่ได้มีแค่ดอกไม้เท่านั้น แต่ยังมีป่าหนามอยู่ด้วย นี่แปลกจริงๆนะ"

พอนางพูดจบ สายตาของทุกคนก็หันไปทางป่าหนามทันที

กู้โม่หานคือเชื่อฟังและทำตามหนานหว่านเยียนตั้งแต่เขาเข้ามาในจวนแล้ว และเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก อันที่จริง เขาไม่มีอารมณ์ที่จะคุยกับกู้โม่หานเลย

แม้ว่าเขาสองคนจะเป็นพี่น้องพ่อเดียวกันแต่คนละแม่กัน แต่ก็ไม่คุ้นเคยกันจริง ๆ สามารถนับจำนวนครั้งที่เขาสองคนได้เจอกันในสิบกว่าปีที่ผ่านด้วยนิ้วได้

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็มองไปตามจุดที่หนานหว่านเยียนชี้ไป และพูดขึ้นว่า "ข้ายังไม่เคยเห็นพุ่มหนามแบบนี้มาก่อน น้องเจ็ดมีความคิดสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ น่าเสียดายที่พรสวรรค์ของน้องถูกฝังไว้"

แววตาของหลินเซี่ยวเย่เปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขาก็หันไปมองที่กู้โม่หลิงด้วยแววตาที่สะทกสะท้าน

สีหน้าของกู้โม่หลิงไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เขามองไปที่หนานหว่านเยียน แล้วก็ค่อยมองที่ป่าหนาม "สายตาพี่สะใภ้หกดีจริงๆ นี่ก็มองเห็นได้"

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ และในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ

"น้องเจ็ด ทำไมถึงได้ถอนหายใจล่ะ?" หนานหว่านเยียนกระพริบตา หนามเป็นสัญลักษณ์ของความยากลำบาก เป็นการแสดงถึงห้ามเข้า และยิ่งได้ปลูกเยอะขนาดนี้ นางก็ไม่เคยคิดว่ากู้โม่หลิงจะปลูกเพื่อความสนุกและปลูกอย่างไม่ตั้งใจ

เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามันผิดปกติ

ในขณะนี้ หลินเซี่ยวเย่ได้ยืนออกมาและอธิบายแทนกู้โม่หลิงขึ้นว่า "ท่านพระชายาอี้ ป่าหนามผืนนั้นเดิมทีจะเป็นดอกผายหวยที่ท่านอ๋องเราปลูกเอง"

“แต่สภาพดินฟ้าอากาศในแคว้นซีเหย่ดูเหมือนไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของดอกไม้ชนิดนี้ มันเหี่ยวเฉาขณะที่ยังไม่ผ่านช่วงดอกบาน ข้าน้อยได้แนะนำหลายครั้งให้ท่านอ๋องจัดการหนามผืนนี้ แต่ท่านอ๋องมีความรักต่อธรรมชาติมาก จึงไม่สามารถที่ทำเช่นนั้น จึงแค่วางไว้ที่นั่นอยู่ไปเรื่อย ๆโดยไม่ได้สนใจและเข้าไปยุ่งด้วย"

กู้โม่หลิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเศร้า "หากดอกไม้นี้ยังบานอยู่ วันนี้เสด็จพี่หกกับพี่สะใภ้หกก็จะได้เห็นความสวยงามของพวกมันด้วยแล้ว"

หนานหว่านเยียนปิดปากแสร้งทำเป็นประหลาดใจ มองไปที่กู้โม่หานอย่างมีความหมายอื่น และปลอบกู้โม่หลิงขึ้นว่า "ข้าเข้าใจแล้ว น่าเสียดายจัง"

ดอกผายหวยก็แค่เป็นดอกกุหลาบนี่นา

ช่างแต่งเรื่องเก่งจริงๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้