ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 967

ระหว่างที่กำลังพูดคุย เย่เชียนเฟิงและเฉิงซูหย่วนต่างเดินตามเข้ามาในห้อง สายตาของเย่เชียนเฟิงจ้องเขม็งมายังโม่เหยียน แววตาเย็นยะเยือกยิ่งนัก

ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันที

ว่าอย่างไรนะ? โม่เหยียนไม่ใช่โม่เหยียนหรือ?!

ทั่วกายหนานหว่านเยียนพลันสั่นสะท้าน สอดสายตามองไปยังคิ้วคางเครื่องหน้าหล่อเหลาน่าหลงใหลของโม่เหยียน ดวงหน้างามสุขุมนั้นเยียบเย็นลงทันใด

เช่นนั้นเขาเป็นใครกัน?

ส่วนโม่เหยียนเองก็อึ้งงันไปครู่หนึ่ง ไม่คาดคิดว่าตนจะถูกสงสัยเช่นนี้ เพียงพริบตาดวงหน้าหล่อเหลาของเขาก็ถูกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งเย็นยะเยือก แต่กระนั้นแล้วเขายังคงนิ่งเฉยและมั่นคง นัยน์ตางามได้รูปของเขาทอดมองไปยังเย่เชียนเฟิงอย่างอึมครึม

หยุนเหิงตกใจจนเกือบพลั้งปากสบถคำหยาบ เวรเอ๊ย เย่เชียนเฟิงทราบได้อย่างไรว่าโม่เหยียนมิใช่โม่เหยียน?!

ฉิบหายแล้ว จากนี้จะทำอย่างไรต่อ?

อุตส่าห์ทำงานหามรุ่งหามค่ำทุ่มเทจนตัวเป็นเกลียวเพื่อไม่ให้ความแตก แต่จะมาความลับแตกเอายามนี้หรือ?

หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำแล้ว ไม่สนใจอื่นใดทั้งสิ้น ยามนี้ต้องถ่วงเวลาไว้ให้ฝ่าบาทคิดอุบายรับมือให้ได้ก่อน “คุณชายเย่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ?”

เย่เชียนเฟิงยังไม่ทันตอบคำถาม เฉิงซูหย่วนที่อยู่ด้านข้างก็เชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจ สองมือกอดอกไว้พลางมองมายังโม่เหยียน

“จะหมายความว่าอะไรได้อีก ก็คุณชายเย่สืบเสาะจนได้พบความจริงบางอย่างแล้วน่ะสิ”

“ข้าบอกแล้ว คนเดินริมน้ำบ่อย ๆ มีหรือรองเท้าจะไม่เปียก โม่เหยียน วันนี้เจ้าจบสิ้นแล้ว!”

เขาคอยส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ด้านข้างไม่หยุด ปลุกปั่นให้บรรยากาศภายในตำหนักคุกรุ่นได้สำเร็จ ริมฝีปากบางของโม่เหยียนเม้มแน่นจนเป็นเส้นเดียว กระนั้นแล้วก็มิได้เอ่ยปากแก้ต่างให้ตนเอง แต่กลับเป็นหนานหว่านเยียนเสียเองที่ดึงสีหน้าเย็นเยียบ จ้องมองเย่เชียนเฟิง “เชียนเฟิง เจ้ามีเรื่องอะไรกันแน่?”

“องค์หญิง วาจาของเชียนเฟิงมิได้เล่าลือขึ้นอย่างไร้หลักฐาน เรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่ก่อนแล้ว เมื่อวานข้าได้รับหลักฐานมาแล้ว ตั้งใจจะรายงานเรื่องนี้กับองค์หญิงตั้งแต่เมื่อวาน ทว่าองค์หญิงบังเอิญออกไปนอกตำหนักพอดี” เย่เชียนเฟิงล้วงจดหมายสองฉบับออกมาจากอกเสื้ออย่างมีระเบียบ อันหนึ่งคือข้อมูลที่โม่เหยียนถวายให้ตอนเข้าวังหลวงครั้งแรก ส่วนอีกหนึ่งอันหนึ่งคือเบาะแสที่มารดาของเขาสืบทราบมาได้

เขายื่นจดหมายทั้งสองฉบับส่งให้หนานหว่านเยียน พลางส่งเสียงเน้นย้ำกำชับตาม “องค์หญิงโปรดพิจารณา ตอนที่โม่เหยียนเพิ่งเข้าวังหลวง เขาได้สร้างตัวตนปลอมขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้อมูลตอนแรก โม่เหยียนอธิบายชัดว่าตนเองเป็นคนจากอำเภอหลีเฉิง ประจวบเหมาะพอดีที่มารดาของเชียนเฟิงเองก็เป็นคนอำเภอหลีเฉิงเช่นกัน ครั้นสั่งให้คนไปสืบเสาะความจริงมาแล้ว กลับไม่พบสถานที่นั้นที่เขาเคยกล่าวไว้พ่ะย่ะค่ะ และที่อำเภอนั้นไม่มีคนสกุล “โม่” อยู่ด้วย”

“ตอนแรก ข้าเองก็คิดว่าข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อนไป เพื่อไม่ให้เป็นการปรักปรำผู้บริสุทธิ์แล้ว เมื่อสองวันก่อนข้าได้เดินทางไปที่อำเภอหลีเฉิงด้วยตนเอง ท้ายที่สุดก็พบว่า ที่นั่นไม่เพียงแต่ไม่มีคนสกุลโม่อาศัยอยู่ หนำซ้ำผู้คนละแวกนั้น ยังไม่เคยเห็นหน้าคนผู้นี้มาก่อนด้วย และไม่เคยได้ยินว่าอำเภอแห่งนั้นจะมีผู้ใดเปลี่ยนไปใช้สกุลโม่ภายหลังด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“ว่ากันตามเหตุผลแล้ว คนอย่างโม่เหยียน ไม่มีทางไร้ชื่อเสียงไร้ตัวตนในเขตเล็ก ๆ เช่นนั้นแน่ และบัดนี้ข้ามีหลักฐานที่สอดคล้องกับข้อสงสัยแล้ว ทุกสิ่งที่เคยกล่าวมา ล้วนเป็นคำลวงที่ปั้นแต่งขึ้นเองทั้งสิ้น เขาเข้าวังหลวงมาเช่นนี้ จะต้องมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่แน่!”

เย่เชียนเฟิงใช้สายตายกตนข่มท่าน เพ่งมองไปยังโม่เหยียน โดยที่ไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย

เฉิงซูหย่วนที่อยู่ด้านข้างยิ่งดูกระตือรือร้นกับเรื่องฉาวที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง พลางปรายสายตามองจดหมายฉบับนั้นอยู่เนือง ๆ เช่นกัน ยังไม่วายพึมพำบางอย่างไม่หยุดปาก “คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเจ้าจะเป็นคนลวงโลกได้เพียงนี้!”

“หากข้าจำไม่ผิด หนก่อน เจ้าเพิ่งจะตำหนิต่อหน้าข้าไปหยก ๆ ว่าไร้ศีลธรรมดั่งเดรัจฉานสวมหมวกใส่เสื้อผ้า ฮะฮ่า วาจานี้ เก็บไว้พูดกับคุณชายโม่เหยียนเองดีกว่ากระมัง! หากอธิบายเหตุผลที่ต้องปลอมตัวเข้ามาไม่ได้ เจ้าก็เตรียมตัวไสหัวออกไปจากวังหลวงแห่งนี้ได้เลย!”

“ไม่ได้ จะปล่อยไปง่ายดายเพียงนั้นไม่ได้เด็ดขาด เจ้าหยามเกียรติรังแกเหนือหัวผู้ปกครองแผ่นดิน หนำซ้ำยังบังอาจหลอกลวงรัชทายาท ต้องรับโทษผิดสถานเดียว!”

สองคนต่างรับส่งกันราวเป็นลูกคู่ที่ถูกคอ ทำให้บรรยากาศภายในตำหนักบรรทมเยือกเย็นถึงที่สุด

หลายนิ้วเรียวสวยของหนานหว่านเยียนจับจดหมายนั้นไว้แน่น จ้องมองหลักฐานที่ทรงพลังตรงหน้า นัยน์ตางดงามสะท้อนประกายเยียบเย็นสว่างวาบออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้