เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”
“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชา
เจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”
“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”
“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”
“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”
“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”
เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?
“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”
หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอย่างเชื่องช้า หว่างคิ้วแววตาดูหม่นหมองอึมครึมเหมือนคนเบื่อโลก
คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะอาการป่วยหนัก ทั้งที่จริงแล้วเขาถูกคำสาปชั่วร้ายกัดกินพลังชีวิตและช่วงชิงโชคชะตาไปต่างหากละ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาหากไม่ใช่เพราะเจ้าอาวาสหาวิธีมาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้เขา ป่านนี้เขาก็คงตายไปนานแล้ว
สาเหตุที่เขาเดินทางมาอารามวันนี้ ก็เพราะมันครบกำหนดการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่ต้องทำพิธีทุกๆ สิบวัน
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญเจอว่าที่พระชายาของตนเองที่นี่
เมื่อนึกถึงคำพูดและการกระทำที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงของเฟิ่งชูอิ่งตอนที่อยู่ในห้อง กับดวงตาหลุกหลิกของนางยามเอ่ยเรื่องโกหก ก็อดสบถออกมามิได้ “เจ้าเด็กเลี้ยงแกะ!”
เฟิ่งชูอิ่งยามนี้ออกมาจากอารามเรียบร้อยแล้ว และกำลังมุ่งหน้ากลับไปที่จวนสกุลหลิน ทว่าจู่ๆ ก็จามออกเสียงดังลั่น
นางสูดจมูกเล็กน้อย ก่อนจะฟูมฟายนึกเสียดายเงินทองที่เสียไปกับตัวเองเงียบๆ
แต่หลังจากนางฟูมฟายให้เงินทองพวกนั้นเสร็จแล้ว ก็แอบรู้สึกดีใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร วันนี้นางก็รอดจากการถูกจิ่งโม่เยี่ยใช้กระบี่แทงหัวใจ อย่างน้อยๆ ก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้
คราวนี้ก็ถึงเวลาคิดว่าหลังจากนี้นางจะทำอย่างไรต่อไปดี ถึงจะรักษาชีวิตให้ได้ตลอดรอดฝั่ง จะดีที่สุดหากนางสามารถมีชีวิตต่อไปได้แบบยาวๆ เลย
อย่างแรกเลยคือนางห้ามล่วงเกินจิ่งโม่เยี่ย จอมวายร้ายที่เป็นบอสใหญ่สุดของนิยายเรื่องนี้โดยเด็ดขาด
ตอนนี้นางเสียใจอย่างสุดแสน ตอนแรกไม่น่ารังเกียจนิยายน้ำเน่าจนไม่ยอมอ่านต่อเลย...
น้ำเน่าสิดี
หากนางอ่านต่ออีกสักหน่อย ล่วงรู้รายละเอียดของเนื้อหาหลังจากนี้ ก็คงจะไม่ตกเป็นรองถึงเพียงนี้
ตอนนี้นางทำได้เพียงนึกถึงเรื่องราวที่ญาติผู้น้องเมื่อชาติที่แล้วเคยเล่าให้ฟัง พาลรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างขมุกขมัวเหลือเกิน
นางก้มมองไข่มุกแวววาวสองเม็ดในมือ ก่อนจะนึกว่าเมื่อนางกลับไปถึงจวนสกุลหลินแล้วจะต้องพบเจอกับเรื่องอะไร จึงตรงดิ่งไปซื้อมีดเล่มหนึ่งจากร้านตีเหล็กที่อยู่ใกล้ๆ
หลังจากซื้อมีดแล้ว ระหว่างทางเดินผ่านร้านขายของชำ นางก็แวะซื้อเชือกป่าน ผงปูนขาวและของอย่างอื่นติดไม้ติดมือมาด้วย
ก่อนจะเดินตามความทรงจำของร่างเดิมไปจนถึงประตูจวนสกุลหลิน แหงนหน้ามองตัวอักษรสีทอง ‘สกุลหลิน’ สองตัวบนป้าย ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ
นางยื่นมือออกไปประสานมุทรา ก่อนจะลากผ่านดวงตาของตนเองอย่างแผ่วเบา เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็มองเห็นภาพที่คนปกติทั่วไปมองไม่เห็น
อย่างเช่นว่า ท้องฟ้าเหนือจวนสกุลหลินมีออร่าสีม่วงอ่อนๆ ลอยอยู่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพวกขุนนางและชนชั้นสูงทั้งหลาย
หมายความว่าเจ้าของที่อาศัยอยู่ในจวนนี้ ครอบครัวรักใคร่ปรองดอง ทำเรื่องอะไรก็ราบรื่น แล้วยังมีโอกาสเลื่อนยศหรือร่ำรวยอีกต่างหาก
และสิ่งที่ทำให้จวนสกุลหลินเจริญรุ่งเรืองและผาสุกได้ขนาดนี้ ก็คือทรัพย์สมบัติมหาศาลที่เฟิ่งชูอิ่งขนติดตัวมาจากจวนสกุลเฟิ่ง กับเส้นสายที่บิดาเฟิ่งทิ้งเอาไว้ให้นาง
ทว่าเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดปี นายท่านหลินที่แต่เดิมไม่เป็นที่รู้จัก กลับเลื่อนยศจากขุนนางธรรมดาขั้นหก กลายเป็นขุนนางขั้นที่สาม ดำรงตำแหน่งรองเจ้ากรมคลังในปัจจุบัน
“นางก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีค่าอะไรเลย ได้แต่งงานกับอ๋องฉู่ก็นับว่าเป็นวาสนามากแล้ว นางกลับกล้าทิ้งงานแต่งหนีตามผู้ชาย!”
“คนแบบนางเนี่ย กลับมาก็รังแต่จะทำให้จวนสกุลหลินสกปรกไปด้วย นางควรจะตายอยู่ข้างนอกมากกว่า!”
เฟิ่งชูอิ่งฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยดวงตาที่เย็นชา
วาจาข่มเหง สาปแช่งด่าทอและเปรียบเปรยกระทบกระเทียบพวกนี้ หากนางลองค้นในความทรงจำของร่างเดิมที่ตายไป คงจะขนออกมาวางรวมกันได้เป็นกองเชียวละ
ผู้คนในจวนสกุลหลินปลูกฝังความรู้สึกด้านลบอันรุนแรงใส่ร่างเดิม บีบคั้นจนร่างเดิมรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น
หากคนที่จิตใจอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้ทุกวัน คงได้ถูกกัดดันจนเป็นบ้าเสียสติแน่ การที่ร่างเดิมแค่หม่นหมองเซื่องซึม ก็นับว่าจิตใจเข้มแข็งมากแล้ว
การที่บ่าวรับใช้ในจวนกล้าเช่นนี้กับนาง ก็เพราะมีเจ้านายทั้งหลายคอยถือหางอยู่น่ะสิ
นางทราบว่าเรื่องที่ร่างเดิมหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงนั้น เป็นแผนการที่หลินหว่านถิงตั้งใจเตรียมการมาอย่างดี จุดประสงค์เพื่อให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง
ขอแค่นางถูกเฉินเยี่ยนเซิงช่วงชิงความบริสุทธิ์ไป จวนสกุลหลินก็จะสลัดนางทิ้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากจะฮุบทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนางได้แล้ว ยังไม่ถือเป็นการล่วงเกินอ๋องฉู่ด้วย
แต่เพราะนางทะลุมิติมา ก็เลยไม่ได้เดินตามแผนการที่หลินหว่านถิงวางเอาไว้ แต่หลินหว่านถิงกลับจงใจปล่อยข่าวลือในจวนเหมือนเดิม คงตั้งใจจะบีบให้นางฆ่าตัวตาย
เฟิ่งชูอิ่งกระตุกมุมปากเบาๆ ใครจะอยู่ใครจะตาย มันก็ยังไม่แน่หรอกนะ!
นางเดินมุ่งหน้าไปทางห้องโถงหลักของจวน ระหว่างทางก็คว้ากระบองท่อนหนึ่งขึ้นมาขีดเขียนกำแพงฝั่งซ้ายและขวาของจวนไปด้วย
จวนที่เดิมมีบรรยากาศสงบร่มเย็น กลับมีไอหนาวเหน็บแผ่ออกมาจากรอบด้าน
กว่าเฟิ่งชูอิ่งจะเดินไปถึงห้องโถงหลัก บรรยากาศของจวนสกุลหลินก็เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม
นางกวาดตามองห้องโถงหลักที่กว้างขวางและหรูหรา เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก้าวฉับๆ เข้าไปข้างใน
นางเพิ่งจะก้าวเข้ามาด้านในห้อง ก็ได้ยินเสียงคนตะคอกใส่ทันที “คุกเข่า!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี