ตอนที่109 ใช้สมองแก้เกม
ฉีเล่ยจ้องมองไปทางหลี่ฮั่วเฉินและกล่าวขึ้นว่า
“เราต้องหาทางตรวจสอบให้ได้ว่า หานหมิงต้ากับโห่วเซินกัวร่วมมือกันอย่างไร? จากนั้นก็ค่อยหาหลักฐานการร่วมมือของสองคนนั้นมา มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถทำให้สองคนนั้นไม่สามารดิ้นหลุดได้ ผมมีแผนการอยู่ในใจแล้ว ซึ่งเราต้องทำสองสิ่งควบคู่กันไป หนึ่งคือหาหลักฐานเปิดโปงโรงงานเถื่อนของหานหมิงต้า และสอง หาหลักฐานที่จะใช้พิสูจน์ว่ามันกับโห่วเซินกัวสมรู้ร่วมคิดกันจริงๆ แต่ทั้งหมดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมจัดการเอง”
หลี่ฮั่วเฉินพยักหน้าอย่างขมขื่นใจยิ่ง
“เฮ้ออ…คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธอจริงๆนั่นแหละ ฉันก็โง่อยู่กับมันมาตั้งนานจนอายุปูนนี้ แต่กลับไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลยจริงๆ”
ฉีเล่ยเดินเข้าไปตบไหล่เพื่อปลอบใจอีกฝ่ายทันที
“อย่ากังวลไปเลยครับ เพราะคุณไม่รู้ต่างหาก แล้วที่สำคัญ…กฎแห่งกรรมมีจริง ใครทำอะไรเอาไว้จะต้องได้รับผลที่ตัวเองก่อขึ้นในสักวัน แค่ว่าที่ผ่านมา…พวกมันยังไม่ถึงเวลาตายเท่านั้นเองครับ”
ระหว่างมื้ออาหารเที่ยง หลี่ฮั่วเฉินตักข้าวเข้าปากเพียงไม่กี่คำเท่านั้น แล้วรีบเดินขึ้นชั้นบนเพื่อไปพักผ่อนทันที
ฉีเล่ยทราบดีว่า ชายชราในตอนนี้คงกำลังรู้สึกว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เพราะเขาโดนแย่งตำแหน่งประธานโรงพยาบาลไป แต่กลับกัน เขาเป็นห่วงบรรดาคนไข้ที่ตกเป็นเหยื่อของพวกคนเห็นแก่ตัวพวกนั้นต่างหาก
ยิ่งปล่อยไว้นาน ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะได้รับก็ยิ่งสูงขึ้น
“จะดีแค่ไหนถ้าแพทย์ทุกคนบนโลกเป็นเหมือนคุณ”
ฉีเล่ยเหม่อมองชายชราที่เดินคอตกขึ้นบันไดไปชั้นบนไป พลางเอ่ยปากพึมพำขึ้นกับตัวเอง
แม้ว่าเขาจะล่วงรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว แต่ฉีเล่ยเองก็ทราบว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเสาะหาหลักฐานเหล่านั้น เพื่อมาใช้มัดตัวหานหมิงต้าและโห่วเซินกัวที่สมรู้ร่วมคิดกัน ก่อนจะทำการใหญ่ สองคนนี้ย่อมทราบว่ามีความเสี่ยง มีเหรอที่จะทิ้งหลักฐานให้คนอื่นตามสืบได้ง่ายๆ?
ในทางตรงกันข้าม มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะพยายามปกปิดอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ และนั่นก็คือช่องทางรายได้ที่ไหลเข้ามา แต่ปัญหาคือในฐานะสามัญชนคนหนึ่ง ฉีเล่ยจะมีสิทธิ์อะไรไปตรวจสอบช่องทางการเงินในธุรกิจของบุคคลอื่น?
ดูเหมือนว่าครั้งนี้ เขาจำเป็นจะต้องมองหาคนช่วย
แต่ว่าจะไปมองหาใครที่ไหนมาช่วยล่ะ?
คนแรกที่ฉีเล่ยนึกถึงคือพวกตระกูลชู
เรื่องอำนาจอิทธิพลภายในเมืองหลวง นอกเหนือไปจากหลี่ฮั่วเฉินแล้ว ก็เหลือแต่ตระกูลชูที่มีอำนาจบารมีล้นฟ้า อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลชูกลับไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก แต่ถ้าได้ความแข็งแกร่งของตระกูลชูเข้ามาเสริม ปัญหาตรงหน้าย่อมสามารถจัดการได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่งปฏิเสธคำขอร้องของตระกูลนี้ไปหมาดๆ แล้วจะให้บากหน้าไปขอความช่วยเหลือ ฉีเล่ยไม่มีทางทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ลงแน่
แล้วยังเหลือใครอื่นที่จะช่วยเขาได้?
เหอจื่อ?
ใช่แล้ว!
จู่ๆฉีเล่ยก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ ภูมิหลังของเหอจื่อค่อนข้างแข็งแกร่งอย่างมากเช่นกัน หากครอบครัวของเธอเต็มใจให้ความช่วยเหลือ การตรวจสอบบัญชีรายได้ของสองคนนั้นก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉีเล่ยก็รีบตักข้าวใส่ปากลวๆ ก่อนจะโยนจานชามลงไปในอ่างล้างจาน แล้วรีบโทรหาเหอจื่อทันที
“อาจารย์ฉีเหรอคะ?”
เหอจื่อที่อยู่ปลายสายร้องอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ใช่ผมเอง…”
จู่ๆก็รีบเร่งโทรไปลูกศิษย์แบบนี้ ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรออกไปดี เหอจื่อเป็นลูกศิษย์ของเขา ถ้าจะโทรมาขอความช่วยเหลือเลยคงจะดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่
“อาจารย์ฉี มีอะไรรึเปล่าค่ะ?”
เหอจื่อที่เห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบอยู่นาน จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเสียเอง
“เอ่อ…พอจะมีเวลาว่างไหมครับ?”
“มีค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น มานัดเจอกันหน่อยได้มั๊ยสักบ่ายแก่ๆ? สะดวกรึเปล่า?”
“สะดวกค่ะ! เจอกันที่ไหนดีค่ะ?”
แม้ฉีเล่ยจะมองไม่เห็นหน้าของอีกฝ่ายผ่านทางโทรศัพท์ แต่ฟังจากน้ำเสียงก็ทราบได้ทันทีว่า สาวน้อยคนนี้กำลังดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
“คุณตัดสินใจเลยครับ”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบกลับไป
“งั้น…ร้านอาหารในห้างซีตานดีไหมค่ะ?”
ฉีเล่ยประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เขาคิดว่าเหอจื่อจะนัดตนแถวหอพักของมหาวิทยาลัย แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นห้างซีตานที่อยู่ห่างจากบ้านหลี่ฮั่วเฉินไกลไม่น้อยเลย
ถึงแบบนั้นเขาก็เป็นคนบอกให้อีกฝ่ายเลือกเอง ก็เลยไม่อยากกลับคำพูดกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เช่นกัน เหอจื่อกล่าวต่อว่า
“งั้นเจอกันที่ร้านแมคโดนัลชั้นล่างที่ห้างซีตานตอนบ่ายสามนะคะ”
“เข้าใจแล้ว เจอกันนะ”
กรี๊ดด!!
ทันทีที่วางสาย เหอจื่อก็โยนมือถือของตนลงบนโซฟา แล้วกระโดดกอดหมอนในมือแนบอกแน่น พร้อมกับเริ่มกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นห้อง
มู่เซียวหยานที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอกำลังบรรจงวางแตงกวาที่หั่นเป็นแว่นไว้บนแผ่นมาส์หน้า ถึงกับสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของลูกสาว จนเผลอทำแตงกวาร่วงหล่นลงพื้นอย่างไม่ตั้งใจ
เธอค่อยๆหันมาเหลือบหางตามอง พร้อมกรนเสียงเย็นเอ่ยปากดุทันทีด้วยความหงุดหงิด
“อยากตายมากรึไงห๊ะ!?”
เหอจื่อพุ่งตัวเข้าไปเขย่าไหล่ของแม่ตัวเองอย่างแรงสองสามรอบ พลางกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจว่า
“มู่เซียวหยาน! เขาชวนฉันไปเดท! เขาชวนฉันไปเดทด้วยแหละ!”
“เหอจื่อ ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายนะ ถ้ายังกล้าเรียกฉันว่ามู่เซียวหยานอีกครั้งเดียว พวกเราแม่ลูกจบกันตรงนี้เลย! อ่อว่าแต่…ใครชวนแกไปเดทกันห๊ะ?”
“ก็ต้องอาจารย์ฉีสิ! เมื่อกี้เขาเพิ่งโทรมานัดฉันไปเจอกันที่แมคโดนัลด์ในห้างซีตานตอนบ่ายสาม!”
มู่เซียวหยานเบนสายตาจับจ้องอีกฝ่ายเล็กน้อย และเอ่ยขึ้นว่า
“แล้วกว่าแกจะอาบน้ำแต่งหน้าเสร็จ จะไปทันเหรอ?”
“แม่ไม่รู้อะไรหรอก เพื่อความรักหนูทำได้หมดแหละ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน