ยอดคุณหมอสกุลเฉิน นิยาย บท 141

สรุปบท ตอนที่141 โค่นสำนัก: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

สรุปตอน ตอนที่141 โค่นสำนัก – จากเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน โดย Internet

ตอน ตอนที่141 โค่นสำนัก ของนิยายActionเรื่องดัง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่141 โค่นสำนัก

ท่าทีของแขกผู้นี้ทำให้หญิงสาวในชุดกี่เพ้าค่อนข้างระแวดระวังมากขึ้น เพราะชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าของเธอเวลานี้ เห็นได้ชัดว่ายังเด็กเกินไปมาก ดูผิวเผินน่าจะเป็นคนไข้ แต่จู่ๆอีกฝ่ายกลับเรียกขนานนายน้อยเป่ยด้วยชื่อเต็มห้วนๆแบบนั้น นี่เห็นได้ชัดว่า การมาของอีกฝ่ายดูท่าจะไม่เป็นมิตรอย่างที่คิดไว้แล้ว

ตามที่คาดไว้ไม่มีผิด มุมปากของฉีเล่ยพลันกระตุกขึ้นทันทีพร้อมตอบกลับไปว่า

“ผมมาที่นี่ก็เพื่อโค่นสำนักแห่งนี้”

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวในชุดกี่เพ้าถึงกับตกตะลึง แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าได้ยินผิดไปหรือไม่

“อะไรนะคะ? โค่นสำนัก?”

ฉีเล่ยตอบกลับยิ้มๆ

“คุณคิดว่านายน้อยเป่ยของคุณมีจุดแข็งด้านใดบ้างล่ะ?”

ถ้าเธอตอบไปว่า นายน้อยเป่ยมีจุดแข็งคือเรื่องบนเตียง ฉีเล่ยคงเสียสูญพูดไม่ออกเช่นกัน เพราะนี่ไม่ใช่บทสนทนาที่ควรจะพูดออกไป

เมื่อคิดได้แบบนั้นหญิงสาวในชุดกี่เพ้าจึงได้ตอบฉีเล่ยกลับไปว่า

“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องด้านการแพทย์แผนจีน ตระกูลของนายน้อยเป็นหมอเทวะมาตั้งแต่สมัยโบราณ สืบทอดเคล็ดวิชาการแพทย์จากรุ่นสู่รุ่นจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ และในปัจจุบันนายน้อยเป่ยก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมากในปังกิ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักธุรกิจหรือนักการเมือง คุณก็ไม่มีสิทธิ์บุ่มบ่ามเข้ามาแบบนี้ ถ้าต้องการจะพบนายน้อยเป่ย กรุณาติดต่อนัดหมายมาล่วงหน้าค่ะ”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่ดูสุดแสนจะภาคภูมิใจบนใบหน้าของหญิงสาวในชุดกี่เพ้า ฉีเล่ยก็พลันคิดกับตัวเองขึ้นว่า ตราบใดที่มีความสามารถด้านนี้อย่างแท้จริง เขาก็สามารถจะหาผลกำไรจากทักษะการแพทย์แผนจีนที่มีอยู่ได้อย่างมหาศาล

ดั่งคำกล่าวที่ว่า เป็นนักปราชญ์นั้นอดตาย แต่หมอที่ไหนบ้างซูบผอม?

ฉีเล่ยได้เอ่ยถามหญิงสาวต่อว่า

“แล้วคุณคิดว่า ทักษะทางการแพทย์แผนจีนด้านไหนที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นด้านการฝังเข็ม ท่านพ่อของนายน้อยเป่ยได้รับการขนานนามว่า เทพเข็มเทวะ ส่วนท่านปู่ของนายน้อยยังเคยฝังเข็มให้กับบุคคลสำคัญระดับประเทศมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน”

ฉีเล่ยกล่าวต่ออย่างใจเย็นว่า

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขอท้าประลองการฝังเข็มกับเขาแล้วกัน นี่ถือว่าผมออกมมือให้สุดๆแล้วนะ หวังว่าเขาจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง…”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้าจ้องมองฉีเล่ยด้วยสายตาว่างเปล่า และท้ายที่สุดเธอก็ทนรักษามารยาทไว้ไม่ไหวอีกต่อไป จึงได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง

“นี่คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? เหอะ เหอะ นายน้อยเป่ยไม่มาเสียกับคนไร้สาระอย่างคุณแน่ เชิญกลับไปได้แล้ว”

จากนั้นหญิงสาวก็หันขวับเดินกลับเข้าไปต้อนรับแขกคนอื่นต่อทันที และปล่อยฉีเล่ยไว้ที่หน้าประตูแบบนั้น

ฉีเล่ยจึงร้องตะโกนไล่หลังไปว่า

“คุณผู้หญิงลองโทรถามนายน้อยเป่ยของคุณดูสิครับ เขาเป็นฝ่ายเชิญผมให้มาที่นี่เอง ถ้าไม่เชื่อก็ลองโทรถามเขาดูได้เลยครับ”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้าปรายหางตามามองฉีเล่ย พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน

“ในเมื่ออีกฝ่ายเชิญมา ก็ควรจะต้องให้เบอร์ไว้กับคุณด้วยจริงไหมคะ? ทำไมคุณถึงไม่โทรหานายน้อยเองล่ะคะ?”

ก็เพราะฉันต้องการให้เธอพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเองยังไงล่ะถึงได้บอกไปแบบนั้น นี่เธอโง่หรือปัญญาอ่อนกันแน่?

ในเมื่อพูดแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ ฉีเล่ยจึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดเบอร์ที่ปรากฏอยู่ในนามบัตรที่เป่ยจ้าวหยวนได้เคยให้ไว้

“ฮัลโหล นั่นใครพูด?”

สุ้มเสียงเคร่งขรึมดังขึ้นจากปลายสาย และอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเป่ยจ้าวหยวน

“ผมเอง ฉีเล่ย”

เมื่อได้ยินว่าเป็นฉีเล่ย เสียงของเขาพลันแปรเปลี่ยนเจือน้ำเสียงดูถูกขึ้นมาทันที

“ฉีเล่ย ที่แท้ก็นายนี่เอง ว่าไง? อยากมาเจอฉันให้ขายหน้าเล่นหรือไง?”

ฉีเล่ยไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดกับน้ำเสียงที่สุดแสนจะดูถูกดูแคลนนั่นเลยสักนิด และตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ตอนนี้ผมอยู่หน้าคฤหาสน์ตระกูลเป่ยแล้ว”

“….”

ทันทีที่พูดจบ ฉีเล่ยก็กดตัดสายทิ้งทันที

ราวหนึ่งนาทีต่อมา ฉีเล่ยก็เห็นเป่ยจ้าวหยวนก้าวเดินออกมา

เวลานี้เขาอยู่ในชุดไทเก๊กสีเหลืองทองสุกสว่าง สวมรองเท้าผ้าใบทรงจีนสีดำ

“แน่นอนอยู่แล้ว”

ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกไปว่า

“งั้นมาเดิมพันกันหน่อยไหมล่ะ ถ้าคุณแพ้จะต้องยกป้ายประจำตระกูลนี้ให้กับผม”

เป่ยจ้าวหยวนระเบิดเสียงหัวเราะเยาะลั่น พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกลับไปว่า

“แล้วถ้านายแพ้ล่ะ?”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบ

“ถ้าฉันแพ้ก็คือแพ้ แต่ถ้าคุณแพ้ก็ต้องยกป้ายนี้ให้ผม”

เป่ยจ้าวหยวนแทบอาเจียนพุ่งพรวดออกมาเป็นเลือดสด เขายกมือขึ้นชี้หน้าก่นด่าฉีเล่ยทันที

“ไอ้สวะสกุลฉี! นี่แกเห็นคนอื่นโง่นักรึไง!? อย่ามาพูดจาเล่นลิ้นต่อหน้าฉันแบบนี้! ถ้าแกแพ้ก็ไสหัวออกไปจากเมืองนี้ซะ! แล้วห้ามมายุ่งกับถงซีอีกตลอดไป!”

ฉีเล่ยส่ายหัวพร้อมกับโต้แย้งทันที

“เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า? ผมไม่เคยไปยุ่งอะไรกับเธออยู่แล้ว แต่เธอต่างหากที่ชอบมายุ่งกับผม เรื่องแบบนี้จะมาโทษผมไม่ได้นะ”

เป่ยจ้าวหยวนไม่สามารถทนฟังถ้อยคำเหล่านี้ได้อีกต่อไป จึงตะคอกเสียงดังสวนกลับไปทันที

“นี่แก! ฟังฉันนะ! ไม่ว่าแกจะมีความสัมพันธ์แบบไหนกับถงซี แต่ถ้าแกแพ้ฉันขึ้นมา แกต้องอย่ากลับมาให้เธอเห็นหน้าอีก!”

“อะไรกัน? ผมก็แค่อธิบายให้ฟังเฉยๆ ไม่เห็นต้องหงุดหงิดใส่กันเลยนี่นา แต่เอาเถอะ เอาเถอะ คุณต้องการแบบนั้นก็แล้วแต่คุณเลย ”

ดูเหมือนว่าเป่ยจ้าวหยวนจะหลงกลเขาเข้าอย่างจัง ฉีเล่ยไม่สนใจหรอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลี่ถงซีหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งเดียวที่เขาให้ความสนใจอย่างมากกก็คือ ป้ายประจำตระกูลเป่ยต่างหาก นั่นเพราะเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณขุมใหญ่ที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในนั้นได้อย่างชัดเจน และเขาก็ต้องการมันมาไว้ในครอบครองอย่างมาก

เป่ยจ้าวหยวนรู้สึกว่า ต่อให้ก่อสงครามน้ำลายแบบนี้ต่อไปแบบนี้ก็ไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรขึ้นมา จึงได้ก่นตอบเสียงเย็นกลับไปว่า

“ถ้าแกจะมาเล่นลิ้นกับฉันก็เชิญกลับไปซะ แต่ถ้าต้องการจะประชันฝีมือกับฉันจริงๆ ก็ตามฉันเข้ามาในบ้าน!”

บรรดาลูกศิษย์ของเป่ยจ้าวหยวนต่างมองฉีเล่ยด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ก่อนจะหันหลังเดินตามเป่ยจ้าวหยวนกลับเข้าไปด้านใน

ฉีเล่ยได้แต่อมยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับเดินตามคนพวกนั้นเข้าไปในตัวอาคารเล็กๆที่อยู่ด้านใน และภายในนั้นก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรนานาชนิด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน