บทที่ 5 ให้ฉันได้กอดเธอ
นัทกับต้นสนมองคีร์ที่ร้องโวยวายลั่นร้านคาเฟ่ เขาทั้งสองพยายามห้ามปรามเพื่อนให้เบาเสียงลงเสียหน่อยทว่าอีกฝ่ายกลับร้องลั่นอยู่อย่างนั้น ไป ๆ มา ๆ เริ่มพาลมาลงที่พวกเขาหาว่าแผนที่พวกเขาคิดให้ไม่ได้ผล จนทั้งสองอยากจะฟาดกะโหลกสักหลายทีเพื่อเรียกสติ ต้นส้มน้องสาวของต้นสนเมื่อได้ยินเสียงของคีร์ที่เสียงดังจึงเดินมาเตือนโต๊ะของพวกเขาให้เบา ๆ เสียงลงสักนิด
“โต๊ะพวกพี่เสียงดังกันไปแล้ว ถ้าดังอีกนิดหนูจะให้จ่ายค่าปรับนะ” ต้นส้มสะกิดบอกพี่ชาย เมื่อเธอหันไปเจอคีร์ที่เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง เธอจึงเริ่มจำได้ นี่มันพี่ชายคนที่ไม่เต็มคนนั้นนี่นา ดูเหมือนขาของเขาจะหายดีแล้วเสียด้วย
“เพื่อนพี่เขาเป็นอะไร” ต้นส้มสะกิดถามพี่ชาย นัทที่เห็นน้องสาวของเพื่อนหน้าตาน่ารักแถมท่าทีก็ดูน่าเอ็นดู จึงอดหาเรื่องชวนคุยด้วยไม่ได้
“พอดีพวกพี่รับบทเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้มัน แต่เหมือนแผนจะเจ๊งไปก่อนมันเลยหมดอาลัยตายอยากขนาดนี้” นัทอธิบาย ต้นสนเห็นต้นส้มจึงเริ่มนึกขึ้นได้หากจะหาวิธีง้อผู้หญิงก็ควรต้องปรึกษาผู้หญิงสิ เขาสอบถามเวลาเลิกงานของน้องสาว เมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีน้องสาวก็ใกล้เลิกงานแล้ว จึงชวนเธอมานั่งพูดคุยด้วย เมื่อสาวน้อยเดินจากไปต้นสนจึงเรียกเพื่อนชายที่นั่งตรงข้ามตัวเอง
“ไอคีร์ ถ้ารอบนี้แผนฉันได้ผลล่ะก็ แกต้องมีของตอบแทนให้ฉันด้วยนะ” ต้นสนพูดขึ้น ท่าทางอีกฝ่ายดูเลื่อนลอยจนเขาเลือกไม่ถูกว่าจะหัวเราะหรือว่าสงสารก่อนดี
“เอาสิ อยากได้อะไร” เสียงนิ่ง ๆ ไร้วิญญาณของคีร์พูด เจ้าตัวยังคงจ้องมือถือตลอดเวลา กดเข้ากดออกทุกแอปพลิเคชั่นที่เป็นโซเชียลมีเดียก่อนจะพบว่า หญิงสาวบล็อกเขาหมดทุกช่องทาง
“เลี้ยงข้าวพวกฉันตลอด 1 เดือนเป็นไง” นัทเสนอต้นสนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เช่นเดียวกับคีร์ที่รับปากไปก่อน ตอนนี้คว้าอะไรได้ก็คว้า เขาล่ะอยากจะทุบสมองตัวเองให้ละเอียดแล้วแงะมาดูว่ามีอะไรที่ใช้การได้บ้าง เสียชื่ออัจฉริยะของรุ่นหมด จะง้อสาวทีต้องพึ่งคนคิดตั้งสองสามหัว
ทันทีที่ต้นส้มมาร่วมวงพูดคุยที่โต๊ะ ต้นสนกับนัทก็รับบทนักเล่าอธิบายเรื่องราวคร่าว ๆ ให้อีกฝ่ายฟังระหว่างที่เล่าต้นส้มเหมือนเอะใจอะไรได้ จึงถามคีร์ไปอย่างตรง ๆ ว่าข้อความที่ส่งไปก่อนโดนบล็อกคืออะไร เมื่อคีร์พูดขึ้นมาสาวน้อยก็พยักหน้าก่อนจะพูดต่อ
“โอเค ถ้าเป็นหนูก็คงอยากบล็อกพี่ไม่ต่างกัน” เจ้าตัวเล็กพูดขึ้น คีร์เหมือนถูกจี้ปมมองหน้าน้องสาวของเพื่อนด้วยสีหน้าราวกับไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
“โถ่ ! พวกพี่ไม่รู้กันจริง ๆ ดิ อีกอย่างยุคสมัยนี้เขาก็รณรงค์เรื่องนี้กันอยู่เรื่อย ๆ ผู้หญิงอะนะพี่คีร์ เขาไม่ชอบให้ใครมาทักว่าอ้วนขึ้นหรอก” ต้นส้มรับบทครูสอนวิชาการสื่อสารเบื้องต้นให้ชายหนุ่ม คีร์คล้ายจะเข้าใจมากขึ้นอย่างว่าชาติที่แล้วเขาไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดตัวเองสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มมองศิราณีที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือดูเหมือนคำพูดของเธอจะมีประโยชน์กว่าแผนการของเพื่อนชายเขาหลายเท่า
“แล้วอีกอย่างเท่าที่หนูฟัง หนูคิดว่าก็สมควรอยู่ที่พี่รันจะขอบอกเลิก จริง ๆ หนูก็ไม่แน่ใจว่าแนะนำพี่แบบนี้ถูกต้องไหม เพราะผู้หญิงแต่ละคนก็มีความชอบไม่เหมือนกัน แต่หนูมั่นใจว่าถ้าพี่จริงใจกับอีกฝ่าย ไม่ต้องถึงขั้นวางแผนการอะไรมากมาย ถึงวันนั้นเขาต้องรับรู้ได้แน่ ๆ” คำพูดนี้ของหญิงสาวทำให้คีร์เริ่มคล้อยตาม นั่นสินะเขามัวแต่คิดว่าหากทำดีกับเธอแล้วเธอต้องมีท่าทีที่ดีตอบกลับมาเมื่อไม่ได้อย่างที่หวัง เลยทำให้เขาอดหงอยขึ้นมาไม่ได้
“สำคัญเลยนะคะ หนูคิดว่าการที่พี่จะง้อพี่รันก็ไม่ควรทำให้พี่เขารู้สึกอึดอัด อืม..เรียกไงดี เหมือนคำพูดที่บอกว่าความรักที่มากเกินไปก็เหมือนเชือกที่รัดอีกฝ่ายไม่รู้ตัว” ทันทีที่ต้นส้มพูดจบนัทก็แทบอยากลุกขึ้นปรบมือให้ทัศนคติของน้องสาวเพื่อนรักเขา คีร์ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะเชื่อฟังใครกลับเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เด็กคนนี้พูดกระแทกใจเขาอย่างจัง
“ต้นส้ม ช่วงนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม พี่ซื้อให้ คิดเสียว่าแทนคำขอบคุณ” คีร์พูดขึ้นก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาทำท่าจะจดเช็กลิสต์รายชื่อสิ่งของที่น้องสาวเพื่อนอยากได้
“ไม่เป็นไรเลยค่ะพี่คีร์ หนูฝากพี่ดูแลพี่สนก็พอ” เด็กสาวพูดก่อนจะหันไปมองพี่ชาย ต้นสนเห็นอย่างนั้นจึงอดเอามือมาโยกหัวน้องสาวไม่ได้ คีร์มองภาพตรงหน้าพลางเริ่มคิดถึงน้องสาวของเขา
เมื่อกลับจากคาเฟ่ คีร์ตัดสินใจส่งข้อความหาแพรวเพื่อขอความช่วยเหลือ เบื้องต้นเขาแค่อยากรู้ว่าวันพรุ่งนี้รันมีแพลนจะไปทำอะไรที่ไหนบ้าง ชายหนุ่มรับประกันอย่างดีว่าไม่ได้จะเข้าไปทำให้รันต้องอึดอัด เพียงแค่มีเรื่องอยากพูดคุยสักสองสามเรื่อง แพรวที่อ่านข้อความของเขาจึงแอบยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยมีกติกาเบื้องต้นว่าถ้ารันเริ่มไม่โอเคกับคีร์ขึ้นมาจริง ๆ เธอคงช่วยอะไรเขาต่อไปไม่ได้
วันถัดมาเขาก็มารอรับหญิงสาวที่หน้าห้องชมรม รันอยู่ชมรมประชาสัมพันธ์จึงทำให้บางวันเธอก็งานรัดตัว แต่ช่วงปีสี่นี้เจ้าตัวเริ่มวางมือกับงานชมรมมากขึ้น เลยมีเวลาว่างมากกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา ช่วงเวลาหลังเลิกทำกิจกรรมส่วนใหญ่มักเป็นตอนดึก อย่างเวลานี้ก็เป็นช่วงเกือบสามทุ่มแล้ว
ทันทีที่รันเห็นเขาก็ผงะ หญิงสาวคร้านจะถามคำถามเดิม ๆ ว่ามาทำไม ในเมื่อทุกอย่างก็ชัดเจน เขาที่เห็นเธอยืนนิ่งจึงเดินเข้ามา เอ่ยทักทาย
“เอ่อคือ อย่าเพิ่งโกรธกันนะ ฉันแค่อยากคุยกับเธอนิดหน่อยพอจะมีเวลาไหม” รันเห็นสีหน้าชายหนุ่มมีความจริงจัง ท่าทีของวันนี้ดูแปลกไปจากเดิม เธอจึงใจอ่อนพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ชายหนุ่มจึงเสนอให้เธอไปคุยกับเขาในรถ เพราะช่วงเวลานี้ยุงค่อนข้างเยอะ
เธอเดินตามเขาขึ้นไปนั่งในรถคันที่คุ้นเคย รถญี่ปุ่นสีดำคันคู่ใจที่พ่อกับแม่ออกให้เขาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย รถคันนี้เรียกได้ว่าเป็นคู่ซี้ของชายหนุ่มอย่างแท้จริง พอถึงช่วงเวลาที่เขาเริ่มทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน เริ่มก้าวหน้าในหน้าที่การงานรถคันนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยรถยุโรปแบรนด์หรู เจ้าเก๋งสีดำคันนี้เลยถูกจอดทิ้งไว้ในบ้านไม่ค่อยได้นำมาใช้ เมื่อเธอนั่งอยู่ข้างเบาะคนขับ หญิงสาวก็อดเลื่อนมือลูบคอนโซลรถข้างหน้าไม่ได้ ในช่วงชีวิตของเธอชาติที่แล้วเธอก็ผูกพันกับรถคันนี้ไม่น้อย
“รัน ฉันมาคิดดูแล้วบางทีสิ่งที่ฉันทำในตอนนี้อาจทำให้เธออึดอัด” คีร์เริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาทันที หญิงสาวนั่งเงียบฟังเขาอธิบายต่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย้อนเวลาใหม่ครั้งนี้ขอยอมง้อเธอด้วยรัก