เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 108

บ่าวผู้ซื่อสัตย์ที่แซ่ฉิน หรือว่าจะเป็นบรรพบุรุษของพ่อบ้านใหญ่ฉิน?

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกเศร้าสลดอยู่ในใจยิ่งนัก

เนื่องด้วยประสบการณ์ของตนเอง นางจึงชื่นชอบเด็กเป็นอย่างยิ่ง ทนฟังเรื่องเช่นนี้ไม่ได้เลย

โจวเจิ้นกล่าวว่า “เฉิงเลี่ยอายุน้อย แต่งงานได้ไม่นานนักฮูหยินก็ตั้งครรภ์แล้ว ทว่าเขาต้องไปเมืองจิงเฉิงเพื่อศึกษาเล่าเรียน ฮูหยินจึงรั้งอยู่ที่บ้านเกิด และให้กำเนิดบุตรชายเฉิงซวี่ในปีถัดมา เนื่องจากรั้งอยู่ที่บ้านเกิดมาโดยตลอด จึงรอดพ้นจากการกวาดล้างในครั้งนี้…

…ตอนที่เฉิงเลี่ยเสียชีวิต เฉิงซวี่เพิ่งจะมีอายุได้เพียงสามขวบ”

เฉิงซวี่ ท่านผู้นำตระกูลเฉิง

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน เอ่ยถามว่า “แล้วเฉิงเป้ยอายุกี่ขวบเจ้าคะ”

โจวเจิ้นยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวว่า “ยังไม่ถึงสองขวบ”

บุตรของจวนรองอายุมากกว่าบุตรของจวนหลัก…

โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “เช่นนั้นใครเป็นผู้เลี้ยงดูพวกเขาจนโตหรือเจ้าคะ”

“เป็นมารดาของเฉิงซวี่ ผู้เป็นเหล่าไท่จวินของจวนรอง”

หลังจากเฉิงซวี่ได้รับการเลื่อนยศเป็นผิ่นขั้นหนึ่งเจิ้ง เขาได้ขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ยศผิ่นขั้นหนึ่งให้แก่มารดา ผู้คนในตระกูลจึงเรียกนางอย่างให้เกียรติว่า ‘เหล่าไท่จวิน’

โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างฉงน “ควรจะเป็นจวนสามที่เลี้ยงดูพวกเขามิใช่หรือ เหตุใดถึงเป็นเหล่าไท่จวินของจวนรองเจ้าคะ”

โจวเจิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ควรนำมาพูดกับเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ในตระกูลเฉิง หากว่าเล่าบางเรื่องให้เจ้าฟัง เจ้าจะได้วางท่าทีได้อย่างเหมาะสม” เขาคิดใคร่ครวญและกล่าวว่า “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็ค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าคนของตระกูลเฉิงไม่เอ่ยถึง จึงไม่เหมาะสักเท่าใดที่ผู้อื่นจะมาพูดถึงมัน…

…เฉิงเจ๋อบุตรชายคนที่สามของจวนหลักอายุน้อยกว่าเฉิงเลี่ยบุตรชายคนรองเพียงสามเดือน ตอนที่เฉิงเลี่ยไปเมืองจิงเฉิงนั้น เฉิงฝู่เสียชีวิตลงแล้ว หน้าที่ดูแลกิจการภายในของตระกูลจึงมอบหมายให้เฉิงเจ๋อเป็นผู้ดูแล ฉินต้าอุ้มเฉิงเป้ยกลับมาถึงเมืองจินหลิงได้ไม่นานนัก เฉิงจื้อกับเฉิงเลี่ยก็สิ้นใจตาย ตระกูลเฉิงจึงอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของเฉิงเจ๋อ ในระหว่างนั้น ฉินต้าเคยโต้แย้งถกเถียงกับเฉิงเจ๋อ จนฉินต้าเกือบจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลเฉิง สุดท้ายเป็นเฉิงปี้ที่ออกหน้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนี้ให้คลี่คลายลง ทุกคนต่างคาดเดากันว่า อาจเป็นเพราะเฉิงเจ๋อขูดรีดเงินทองจากจวนหลักอย่างโหดเ**้ยม ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ ครั้นเฉิงเป้ยกับเฉิงซวี่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จวนสามไม่เพียงคืนที่นาให้แก่เฉิงเป้ยจวนหลักเท่านั้น แต่ยังแบ่งทรัพย์สินที่ดินอย่างเท่าเทียมกันตามหลักเกณฑ์ของวงศ์ตระกูลอีกด้วย”

โจวเสาจิ่นนึกถึงความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนของจวนหลัก จวนรองและจวนสามแล้ว รู้สึกว่าภายในเรื่องดังกล่าวนี้ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่บุคคลภายนอกยังไม่รู้อีกเป็นแน่

นางถามขึ้นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า “ไม่ใช่ว่าตระกูลเฉิงมีชื่อเสียงและสถานะสูงส่งท่ามกลางหมู่บัณฑิตในเจียงหนานหรือเจ้าคะ”

“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน” โจวเจิ้นกล่าวยิ้มๆ “ไม่เช่นนั้นตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูจะขึ้นมามีบทบาทเป็นผู้นำอันโดดเด่นของจินหลิงท่ามกลางบุคคลผู้มีพรสวรรค์ มีชื่อเสียงโดดเด่น มีตระกูลที่สืบทอดมาจากตระกูลบัณฑิตของจินหลิงมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร สิ่งที่ตระกูลเฉิงได้พึ่งพาอาศัยก็คือชื่อเสียงแห่งความซื่อสัตย์ที่สั่งสมมาแต่ครั้งบรรพบุรุษนั่นเอง!”

โจวเสาจิ่นยิ้มเจื่อน

โจวเจิ้นกล่าวอีกว่า “ตระกูลเฉิงไม่เพียงเลื่องชื่อและทรงอิทธิพล นอกจากนี้ท่านลุงใหญ่จิงของเจ้ายังเป็นผู้ที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นคนหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงฝากฝังพวกเจ้าพี่น้องไว้กับตระกูลเฉิง ไม่เช่นนั้นพี่สาวของเจ้าจะได้เจรจาจนได้หมั้นหมายกับคู่หมายที่ดีขนาดนี้ได้อย่างไร เลี่ยวเส้าถังผู้นั้น ข้าเคยได้เจอด้วยตัวเองมาก่อน ไม่เพียงเป็นผู้คงแก่เรียน ทั้งอุปนิสัยและรูปลักษณ์หน้าตาก็ล้วนโดดเด่นทัดเทียมกัน แต่งกับพี่สาวของเจ้า ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกับพี่สาวของเจ้ายิ่งนัก”

โจวเสาจิ่นหวนคิดถึงใบหน้าอันแดงก่ำราวแสงอรุณของพี่สาว

หรือว่าบิดาจะพูดเรื่องพี่เขยกับพี่สาวอย่างตรงไปตรงมาเช่นที่พูดกับตนในเวลานี้?

“เรื่องของเจ้า ข้าก็คิดไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่เอาไว้แล้ว” โจวเจิ้นกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้ายังกลัวว่าหากทิ้งเจ้าไว้กับตระกูลเฉิงเพียงคนเดียวหลังจากที่พี่สาวของเจ้าแต่งงานไปแล้วคงจะไม่ดีเท่าใดนัก ทว่าช่วงนี้พี่เขยของเจ้าต้องไว้ทุกข์ วันแต่งงานของพี่สาวเจ้าจึงเลื่อนออกไปเป็นปีหน้า เมื่อนั้นเจ้าก็ใกล้จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว อีกทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว คัดลอกพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน จึงตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินหยวนช่วยหาคู่หมั้นที่ดีให้เจ้า รอให้พี่สาวของเจ้าแต่งงานไปแล้ว เจ้าก็ควรจะต้องกำหนดวันหมั้นหมายแล้วเช่นกัน…”

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ บิดาไม่คิดจะพานางไปอยู่ด้วยตั้งแต่แรก!

โจวเสาจิ่นตกใจยิ่ง ร้องออกมาเสียงหนึ่งว่า “ท่านพ่อ”

โจวเจิ้นคิดไม่ถึงว่าบุตรสาวคนเล็กจะไม่มีอาการหน้าแดงหรือใจเต้นแรงเมื่อพูดถึงเรื่องแต่งงานของนางขึ้นมา ไม่เหมือนกับบุตรสาวคนโตที่ขัดเขินจนกล่าวอะไรไม่ออกแม้สักประโยค แต่เขากลับคิดว่าก็สมควรจะเป็นเช่นนี้

เนื่องจากบุตรสาวคนเล็กสามารถสืบจนพบเรื่องความบาดหมางระหว่างตระกูลเฉิงกับตระกูลจวงสองตระกูลจากถ้อยคำเพียงไม่กี่ประโยคของเฉิงลู่ได้ เป็นไปได้ว่านางเป็นผู้ที่ใจกล้าและละเอียดรอบคอบผู้หนึ่ง การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ที่จะส่งผลไปถึงความสุขของนางหลังจากนี้ไปอีกครึ่งชีวิต การที่นางรู้จักริเริ่มวางแผนชีวิตเพื่อตัวเองนั้นก็สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของนางแล้ว

“เสาจิ่น” โจวเจิ้นมีท่าทีผ่อนคลายและโอนอ่อนผ่อนตามบุตรสาวมากยิ่งขึ้น พึมพำกล่าวว่า “เจ้ารู้สึกว่าตระกูลของพวกเราเองก็มีบ้านมีที่ดิน อีกทั้งข้ายังเป็นข้าราชการยศผิ่นขั้นสี่ จะดีจะร้ายอยู่ที่ตระกูลโจวเจ้าก็เป็นคุณหนูที่ดีงามจากภรรยาที่ถูกต้องผู้หนึ่ง แต่ที่ตระกูลเฉิงกลับเป็นเพียงคุณหนูที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเรือนของคนอื่นเท่านั้น แทนที่จะต้องเกรงใจสายตาของผู้อื่น ไม่สู้อาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองยังจะดีเสียกว่าใช่หรือไม่”

โจวเสาจิ่นคิดเช่นนี้จริงๆ

โจวเจิ้นถามขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าทราบเกี่ยวกับภูมิหลังของฮูหยินหยวนจากจวนหลักบ้างหรือไม่”

“ข้าทราบเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “นางเป็นบุตรสาวจากตระกูลหยวนที่ถงเซียง บิดาเคยเป็นข้าราชสำนักระดับสูง ในบรรดาพี่น้องก็มีหลายคนเป็นขุนนางเจ้าค่ะ”

โจวเจิ้นพยักหน้า กล่าวว่า “ไม่เพียงแค่นี้ มารดาของฮูหยินหยวนยังเป็นบุตรสาวของตระกูลฟางจากซูเฉิง ส่วนป้าสะใภ้ก็เป็นบุตรสาวจากตระกูลหลี่ที่หลูเจียง ตระกูลฟางแห่งซูเฉิงไม่เพียงมีสนมผู้ครองตัวเป็นหม้ายอย่างซื่อสัตย์ต่อองค์ฮ่องเต้ในราชวงศ์ก่อนเท่านั้น ในรัชสมัยปัจจุบันยังมีบุตรชายมากมาย ทุกๆ หลายปีก็จะมีคนที่สอบผ่านเป็นขุนนาง นับเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากยิ่งทางตอนเหนือ ส่วนตระกูลหลี่แห่งหลูเจียงแม้นจะเพิ่งเรืองอำนาจขึ้นในรัชสมัยนี้ ทว่ากลับมีอำนาจแข็งแกร่งยิ่ง ทั้งมหาบัณฑิตประจำตำหนักเป่าเหอและเจ้ากรมโยธาธิการก็ล้วนแต่เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของป้าสะใภ้ของฮูหยินหยวน…

…แม้ว่าตระกูลเดิมของฮูหยินหงจากจวนรองจะมีเพียงหงซิ่วคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งสูง แต่มารดาของพวกเขากลับเป็นบุตรสาวจากตระกูลหวงแห่งไซ่หยาง เพียงแค่ในรัชสมัยปัจจุบันตระกูลหวงแห่งไซ่หยางก็มีผู้ดำรงตำแหน่งจี้จิ่วของสำนักกั๋วจื่อเจี้ยนถึงสองท่าน เป็นที่นับหน้าถือตายิ่งท่ามกลางบรรดาข้าราชการที่บ้านเกิดในมณฑลเจียงซี มิหนำซ้ำเจียงซียังเป็นหนึ่งในมณฑลที่มีข้าราชการมากที่สุด”

กล่าวถึงตรงนี้ โจวเจิ้นมองดูโจวเสาจิ่นอย่างมีนัยยะแฝงหนหนึ่ง

โจวเสาจิ่นก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งขึ้นมา

ตระกูลโจวของพวกเขานี้หากนับขึ้นไปหลายต่อหลายรุ่น นับตั้งแต่มีระเบียนประวัติของวงศ์ตระกูลเป็นต้นมาก็มีเพียงท่านปู่กับท่านพ่อสองท่านเท่านั้นที่ดำรงยศเป็นจิ้นซื่อ ท่านปู่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองยศผิ่นขั้นสี่ และปัจจุบันบิดาก็เป็นเพียงข้าราชการยศผิ่นขั้นสี่คนหนึ่งเท่านั้น…หากว่าเป็นเหมือนดังชาติก่อน อาจก้าวขึ้นไปถึงยศผิ่นขั้นสามเจิ้ง

เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลเหล่านี้แล้ว ตระกูลโจวก็เป็นเพียงตระกูลที่ธรรมดาสามัญตระกูลหนึ่ง!

อย่างไรก็ตาม ท่านพ่อกล่าวถึงเรื่องพวกนี้เพื่ออะไร

นางขยับตัวอย่างไม่เป็นสงบนัก

ตอนที่ 108 ตระกูลเฉิง 1

ตอนที่ 108 ตระกูลเฉิง 2

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน