โจวเสาจิ่นเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
โจวชูจิ่นคิดว่าน้องสาวเพียงแค่เล่นซุกซนเท่านั้น จึงบ่นติเตือนสองสามประโยค แล้วโยนเรื่องนี้ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง
ตกบ่าย โจวเสาจิ่นไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน พวกปี้อวี้กับเฝ่ยชุ่ยสองสามคนกำลังหารือกันอยู่ว่าจะเตรียมของขวัญอะไรให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว โจวเสาจิ่นถึงได้นึกขึ้นว่าวันที่เก้าเดือนเก้าเป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ตนก็ควรจะให้ความสนใจด้วยถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามปี้อวี้ว่า “ทุกปีที่ผ่านมาทุกคนมอบอะไรกันบ้างหรือ”
“พวกงานเย็บปักถักร้อยเล็กๆ น้อยๆ เจ้าค่ะ” ปี้อวี้กล่าวอย่างเคอะเขินเล็กน้อย “ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นอกเห็นใจพวกข้ายิ่ง เงินรางวัลที่ให้มานั้นมากกว่าเงินค่าของขวัญที่พวกเราซื้อให้เสียอีก แต่พวกข้าเองก็รู้สึกกระดากอายหากจะมอบของขวัญล้ำค่าเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นคิดถึงคราวก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนบอกให้นางปักผ้าโพกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงคิดจะมอบผ้าโพกศีรษะสักสองผืนกับถุงเท้ารองเท้าสองคู่เป็นของขวัญวันเกิดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
โจวชูจิ่นก็เห็นว่าดีเหมือนกัน กล่าวว่า “จวนหลักขาดสิ่งของอันดีใดบ้าง ต่อให้เจ้ามอบของขวัญล้ำค่าเพียงใดก็ไม่นับว่าล้ำค่า ไม่สู้ทำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตนเองสักสองสามชิ้น แม้เป็นสิ่งของเล็กน้อยแต่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจ”
ทว่าจวนสี่กลับไม่อาจเลือกสรรของขวัญอย่างลวกๆ เช่นนั้นได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวว่า “ในปีที่ผ่านๆ มายามเฉลิมฉลองวันเกิดของข้า ของขวัญของจวนหลักล้วนแต่สูงค่ายิ่ง ปีนี้โจวเสาจิ่นไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน ทั้งสองจวนไปมาหาสู่กันมากกว่าแต่ก่อน วันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าจึงต้องพิถีพิถันในการเลือกของขวัญมากกว่ายามปกติเป็นเท่าตัวถึงจะถูก”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรู้สึกหนักใจเล็กน้อย
วันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนปีนี้ นอกจากจวนหลักจะมอบเสื้อผ้ามาให้สี่ชุดแล้ว ยังมอบสร้อยประคำไม้สนหนานมู่หนึ่งเส้น และไม้เท้าทำจากไม้จันทร์แดงอีกหนึ่งอัน ถ้าหากจวนสี่ต้องเพิ่มความใส่ใจในการเลือกของขวัญที่จะมอบให้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นควรจะเพิ่มอะไรดี
โจวชูจิ่นออกความคิดเห็นแก่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “มอบฉากกั้นชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญดีหรือไม่เจ้าคะ คราวที่แล้วในงานวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลจากจวนรอง ข้าเห็นแขกที่มาร่วมงานมอบฉากกั้นประดับภาพเผิงจู่อวยพรวันเกิด พวกเรามอบฉากกั้นภาพเทพธิดาอวยพรวันเกิดดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็คิดว่าไม่เลว จึงเรียกพ่อบ้านเข้ามาสั่งการให้ไปหาซื้อฉากกั้นนั้น ส่วนทางด้านของเฉิงสวี่นั้นกลับเป็นกังวลยิ่งนัก
ตอนที่เขาออกเดินทางไปเมืองหังโจวยังรู้สึกห่อเ**่ยวไม่เบิกบาน กระทั่งถึงเมืองหังโจว มีสหายพาเขาไปเลี้ยงต้อนรับ ระหว่างนั้นเมื่อเอ่ยถึงข่าวคราวล่าสุด ไหนเลยจะพ้นเรื่องที่ราชสำนักต้องการขุดลอกแม่น้ำถงโจว บางคนเห็นด้วยบางคนไม่เห็นด้วย สุดท้ายแล้วต่างไม่มีใครโน้มน้าวใจใครได้ จึงเดิมพันกันขึ้นมา
ในตอนนั้นเฉิงสวี่ก็สะดุดใจ คิดว่าหากใช้ความสำเร็จในอนาคตของตนมาเดิมพันกับมารดาสักครั้ง…ไม่แน่ว่าอาจจะได้แต่งงานกับโจวเสาจิ่นสำเร็จก็เป็นได้
ยิ่งเขาขบคิดก็ยิ่งเห็นว่ามีเหตุผล ครั้นได้ยินว่าโจวเจิ้นจะออกเดินทางไปเป่าติ้งในวันที่เจ็ด ก็นั่งไม่ติดที่อีกต่อไป รีบขอลาท่านอาจารย์กลับมา แม้ว่าท้ายที่สุดจะกลับมาไม่ทัน ทว่าเขาก็ได้ตัดสินใจแล้ว จึงไม่รู้สึกผิดหวังมากนัก เพียงแต่รู้สึกราวกับมีนกน้อยตัวหนึ่งซุกซ่อนอยู่ในใจ ทนไม่ได้อยากเห็นหน้าโจวเสาจิ่น และพูดคุยกับนางสักสองสามประโยค
คิดไม่ถึงว่านางยังคงหลีกเลี่ยงเขาเหมือนเช่นที่ผ่านมา
โจวเสาจิ่นไม่สนใจเขาเลยจริงๆ หรือระมัดระวังเรื่องระยะห่างระหว่างชายหญิงกันแน่
เขาคิดว่าเขาจำต้องหาวิธีทำเรื่องนี้ให้กระจ่างถึงจะถูก
เพียงแต่ว่านางมักจะหลบหน้าเขาอยู่ตลอด เช่นนั้นเมื่อไหร่ตนจะมีโอกาสได้พูดคุยกับนางดีๆ สักประโยคกัน?
เฉิงสวี่นั่งอยู่ในเรือนอย่างไม่เป็นสุข
ฮวนสี่ผู้มีความสามารถในการสังเกตสีหน้าของผู้เป็นนายอยู่เสมอ ไม่ช้าก็ค้นพบความกลัดกลุ้มของเฉิงสวี่ เขากระซิบกล่าวว่า “คุณชายใหญ่ วันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าใกล้มาถึงแล้วขอรับ!”
เฉิงสวี่เข้าใจได้ในทัน รู้สึกลิงโลดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ตบไหล่ของฮวนสี่หนักๆ และตกรางวัลให้เขาห้าเหลี่ยงเงิน เอนกายอิงเก้าอี้เอนหลังพลางคิดใคร่ครวญว่าตนควรทำอย่างไรดีเมื่อถึงเวลานั้น
แต่ละจวนเริ่มส่งของขวัญสำหรับเทศกาลวันไหว้พระจันทร์กันแล้ว
ทว่าจวนเหลียงกั๋วกงกลับส่งคนมาซอยจิ่วหรูเพื่อแจ้งข่าวมรณกรรม
ภรรยาของจูเผิงจวี่สิ้นลมหายใจจากความเจ็บป่วย
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “ในปีที่ผ่านมาเรื่องพวกนี้แจ้งให้พ่อบ้านที่ลานชั้นนอกทราบก็พอแล้วมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้ถึงได้มาแจ้งข่าวมรณกรรมถึงเรือนชั้นในของพวกเราด้วย”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากวนค่อยๆ หนักอึ้งขึ้น กำชับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “เจ้าส่งคนไปเฝ้าดูพ่อบ้านที่ลานชั้นนอกสักหน่อย ส่วนเสาจิ่นสองพี่น้องทางด้านนั้น เจ้าก็ต้องเฝ้าระวังเอาไว้เหมือนกัน”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้ารับคำ
อาจูส่งหมัวมัวมาเพื่อแจ้งว่าพี่สะใภ้เสียชีวิตลงแล้ว งานชมดอกไม้ที่นัดหมายกันไว้ก่อนหน้าคงจะจัดไม่ได้เสียแล้ว ต้องขอโทษพวกนางเป็นอย่างยิ่ง
โจวเสาจิ่นสองพี่น้องและเฉิงเจียต่างเขียนจดหมายไปปลอบใจอาจู
เนื่องจากว่ามีผู้อาวุโสพำนักอยู่ จวนเหลียงกั๋วกงจึงตั้งศพไว้เพียงเจ็ดวันแล้วนำไปฝัง
เฉิงเจียเอ่ยถึงเรื่องนี้กับโจวเสาจิ่นแล้วก็อดรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้อยู่บ้าง “…อย่างไรก็ต้องตั้งศพยี่สิบเอ็ดวันมิใช่หรือ เช่นนี้เหมือนกับรีบจัดให้เสร็จสิ้นไปเสียมากเกินไปแล้ว ครอบครัวของฮูหยินจูไม่โต้แย้งอะไรบ้างเลยหรือ”
โจวเสาจิ่นจำต้องเก็บซ่อนความรังเกียจเอาไว้แล้วปลอบเฉิงเจียไปว่า “อาจเป็นเพราะต้องฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ก็เป็นได้ หลังจากฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์แล้วทั้งท่านเหลียงกั๋วกงกับบุตรชายต้องเดินทางไปเมืองหลวง คงจะไม่มีใจมาจัดงานศพมากนัก”
สุดท้ายเฉิงเจียยังคงพร่ำบ่นถึงความไม่เป็นธรรมนี้ต่อไป กล่าวงึมงำว่า “ต่อให้เป็นเช่นนั้น วงศ์ตระกูลก็ยังมีประวัติอันยาวนานมิใช่หรือ หรือว่าต้องให้พวกเขาบิดาและบุตรมาทุบหม้อดินเพื่อส่งวิญญาณด้วยตนเองหรืออย่างไร”
โจวเสาจิ่นได้แต่เปลี่ยนเรื่องคุย ถามขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่าทางลั่วหยางได้ส่งของขวัญเทศกาลวันไหว้พระจันทร์มาให้จริงหรือไม่”
เฉิงเจียพยักหน้าตอบอย่างไม่ไยดี กล่าวว่า “พี่ชายตระกูลหลี่ส่งมาให้ บอกว่าเป็นของขวัญขอบคุณที่ให้การต้อนรับเขาเมื่อคราวก่อน และยังบอกอีกว่าวันหลังจะมาเยี่ยมเยียนใหม่”
โจวเสาจิ่นยิ้มกริ่มอยู่ในใจ
ดูเหมือนว่าหลี่จิ้งจะตกหลุมรักเฉิงเจียเหมือนดังชาติก่อนแล้วเป็นแน่
เฉิงเจียมีคนมาหลงรัก ไม่ว่าในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร ในที่สุดก็มีที่พึ่งพิงคนหนึ่งแล้ว
แม้ว่าความคิดนี้อาจเห็นแก่ตัวเล็กน้อย แต่เฉิงเจียเป็นสหายคนสนิทที่เล่นกับนางมาตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนหลี่จิ้งเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เคยพบหน้ากันครั้งเดียวเท่านั้น…ขอองค์พระโพธิสัตว์โปรดยกโทษนางที่เลือกที่รักมักที่ชังด้วยเถิด!
โจวเสาจิ่นชักชวนพี่สาวทำขนมไหว้พระจันทร์ “…ส่งไปให้แต่ละจวนสักหน่อย ถือเป็นน้ำใจจากพวกเราเจ้าค่ะ”
ฝีมือการทำอาหารและเย็บปักถักร้อยของโจวชูจิ่นในชาติที่แล้วไม่เก่งเท่าโจวเสาจิ่น ทว่านางทำของทานเล่นได้อร่อยยิ่งนัก ในบรรดาของทานเล่นที่นางทำได้อร่อยที่สุดก็จะเป็นของจำพวก บ๊ะจ่าง ขนมไหว้พระจันทร์ และปอเปี๊ยะทอดต่างๆ
นางอดไม่ได้ใจเต้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ในอีกสองปีข้างหน้าตนจะออกเรือนแล้ว หากว่าสอนโจวเสาจิ่นทำขนมทานเล่นเหล่านี้ไว้ วันหลังเมื่อถึงงานเทศกาลต่างๆ ในแต่ละปี โจวเสาจิ่นก็สามารถทำมอบให้ผู้อื่นด้วยตนเองได้ ไม่มากก็น้อยจะได้รับความโปรดปรานจากพวกผู้ใหญ่ วันเวลาของน้องสาวจะได้สบายขึ้นบ้าง
สองพี่น้องจึงบอกให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานไปซื้อวัตถุดิบมา แล้วทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ถั่วห้าสหาย ไส้ถั่วผสมเม็ดบัว ไส้ผักดองคลุกงา ไส้กุหลาบ…หลากหลายไส้ยิ่งนัก ทำออกมาจนเต็มตะกร้าสานใบใหญ่ จากนั้นโจวเสาจิ่นก็วาดภาพ ‘ต้นกุ้ยฮวาโชยกลิ่นหอม’ แล้วให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานติดบนกล่องกระดาษ นอกจากจะมอบหนึ่งกล่องให้แต่ละจวนแล้ว ยังส่งไปให้อาจูที่จวนเหลียงกั๋วกงและเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยคนละกล่องด้วยเช่นกัน
เฉิงเจียทานแล้วรู้สึกว่าอร่อยยิ่งนัก จึงให้ชุ่ยหวนมาขอไส้ผักดองคลุกงาเพิ่มอีก


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน