ตกบ่าย หลังจากที่โจวเสาจิ่นกลับมาจากเรือนหานปี้ซานแล้ว ซือเซียงก็บอกนางว่า ได้ส่งถุงเท้าไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเรียบร้อยแล้ว “…แม่นางจี๋อิ๋งรับเอาไว้แล้ว ยังมอบผ้าเช็ดหน้าไหมทองให้ข้าอีกสองผืนเจ้าค่ะ”
ผ้าเช็ดหน้าไหมทองหนึ่งผืนราคามากกว่าสองเหลี่ยงเงิน จี๋อิ๋งช่างให้มาอย่างใจใหญ่ใจโตยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นร้องเฮอะอยู่ในใจครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าเช่นนี้ทั้งสองคนก็ถือว่าหายกัน
คิดไม่ถึงว่าเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น จี๋อิ๋งให้คนส่งขนมวุ้นใสกับเต้าฮวยทรงเครื่องมาให้ ยังฝากข้อความมากับสาวใช้เด็กที่มาส่งของด้วยว่า “…ขนมวุ้นใสซื้อมาจากหอจุ้ยเซียน ส่วนเต้าฮวยทรงเครื่องซื้อมาจากหอหนานซื่อเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นนั้นไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย จึงไม่รู้จักทั้งหอจุ้ยเซียนและหอหนานซื่อ แต่ฟังจากคำพูดของสาวใช้แล้ว คาดว่าขนมวุ้นใสเป็นของขึ้นชื่อของหอจุ้ยเซียน ส่วนเต้าฮวยทรงเครื่องก็เป็นของขึ้นชื่อของหอหนานซื่อ
สาวใช้เด็กล้วนเป็นเพียงคนวิ่งส่งสารเท่านั้น นางเองก็ไม่อยากไปเคี่ยวเข็ญเอากับสาวใช้เด็ก จึงให้ซือเซียงรับเอาไว้ “…เอาไปเททิ้งในถังขยะให้หมด”
“ของดีขนาดนี้…” ซือเซียงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ขนมวุ้นใสนั้นสีใสแวววาวดั่งหยกเนื้อดี ด้านบนแต้มสีแดงเล็กน้อยดูงดงามชวนรับประทาน ทำให้ผู้คนน้ำลายสอโดยที่ยังไม่ได้รับประทาน ส่วนเต้าฮวยทรงเครื่องก็แน่นไปด้วยเครื่องโรยหน้าอย่าง ผักดอง เนื้อสัตว์ซอย และผักดอกไม้จีน…กลิ่นหอมเตะจมูกยิ่งนัก
นางลอบสำรวจสีหน้าของโจวเสาจิ่น พลางกล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ ยกให้ป้ารับใช้ที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนดีหรือไม่เจ้าคะ ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”
โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร
ถ้าจี๋อิ๋งคิดว่าการทำเช่นนี้ถือเป็นการขอโทษนาง เช่นนั้นก็ให้นางขอโทษไปก็แล้วกัน
ซือเซียงถอนหายใจครั้งหนึ่ง นำของกินไปมอบให้ป้ารับใช้ที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืน และได้รับคำขอบคุณกลับมาชุดใหญ่
วันถัดมา จี๋อิ๋งให้สาวใช้นำขนมผักกาดและต้มเลือดเป็ดใส่วุ้นเส้นมาให้อีก
โจวเสาจิ่นให้ซือเซียงยกไปเททิ้งเช่นเดิม
ครั้งนี้ซือเซียงไม่ถามโจวเสาจิ่นอีก นำของกินที่ส่งมาให้ไปมอบเป็นรางวัลให้กับป้ารับใช้ที่ดูแลตัดแต่งต้นไม้และดอกไม้
วันที่สาม ของที่จี๋อิ๋งส่งมาให้เป็นเป็ดต้มดอกกุ้ยฮวากับถั่วเหลืองอบข้าวหมักแดง
วันที่สี่ ของที่ส่งมาให้เป็นเสี่ยวหลงเปากับต้มไก่เต้าหู้ฝอย
กระทั่งวันที่ห้า…เรื่องรู้ไปถึงโจวชูจิ่น
โจวชูจิ่นเรียกซือเซียงไปสอบถาม
ซือเซียงไม่กล้าปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาให้ฟัง
ถึงแม้โจวชูจิ่นจะไม่ชอบที่จี๋อิ๋งมาหลอกลวงโจวเสาจิ่นเช่นนี้ แต่เห็นว่านางรู้จักสำนึกผิด อย่างไรเสียก็ยังไม่ขาดความตรงไปตรงมา เมื่อนึกถึงโจวเสาจิ่นที่ปกติมักจะขังตัวอยู่แต่ในบ้าน หากเรื่องนี้ทำให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่มากขึ้นได้ก็ดีเหมือนกัน จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้นางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
เป็นเช่นนี้อยู่เจ็ดถึงแปดวัน จากนั้นอยู่ๆ จี๋อิ๋งก็ส่งลูกสุนัขมาให้ตัวหนึ่ง
เป็นลูกสุนัขพันธุ์ปั๊กตัวหนึ่งที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่วัน มีขนาดเท่าฝ่ามือ ขนสีขาว ดวงตาสีดำวาววับ สวมปลอกคอสีแดงสดห้อยด้วยกระดิ่งเล็กๆ เส้นหนึ่ง นอนคุดคู้อยู่บนผ้าสักหลาดสีแดงเลือดหมูที่ปูอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ เอียงหัวมองโจวเสาจิ่นพลางเห่า บ๊อกๆ เบาๆ ไม่หยุด
ใจของโจวเสาจิ่นพลันรู้สึกชอบขึ้นมาในทันที
นางอุ้มลูกสุนัขขึ้นมา เห็นมีกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ตรงก้นตะกร้า เขียนเอาไว้ว่า หากเจ้าอุ้มสุนัข ก็แสดงว่าเจ้าให้อภัยข้าแล้ว
โจวเสาจิ่นทั้งโกรธทั้งร้อนรน ยื่นลูกสนัขให้ซือเซียง กล่าวขึ้นว่า “อุ้มมันออกไปให้ข้าหน่อย”
ซือเซียงจำต้องอุ้มลูกสุนัขแล้วเดินออกไป
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงปักผ้าโพกศีรษะต่อ
มีเสียงคราง หงิงๆ ของลูกสุนัขดังเข้ามาในเรือน เหมือนกับเด็กที่กำลังร้องไห้อยู่ก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นประหนึ่งนั่งอยู่บนพรมเข็ม ปักผ้าต่อไปได้อีกไม่กี่ฝีเข็ม สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เรียกซือเซียงเข้ามา เอ่ยถามขึ้นว่า “ลูกสุนัขตัวนั้นเป็นอะไรหรือ”
ซือเซียงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “พวกข้าส่งกลับไปแล้ว แต่สักพักแม่นางจี๋อิ๋งก็ส่งกลับมาอีก ไปๆ กลับๆ ข้าดูแล้วอารมณ์ของลูกสุนัขตัวนั้นไม่ค่อยดีเท่าไรแล้วเจ้าค่ะ…”
“ช่างน่ารังเกียจและไร้ยางอายเสียจริง!” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคือง แต่กลับไม่อาจปล่อยให้ลูกสุนัขตัวนี้ต้องเจ็บป่วยลงเหตุเพราะปัญหาระหว่างตนกับจี๋อิ๋งได้ จึงให้ซือเซียงอุ้มลูกสุนัขเข้ามาข้างใน
ลูกสุนัขพยายามปีนออกมาจากตะกร้า มาถูๆ ไถๆ อยู่ข้างๆ เท้าของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นอุ้มมันไปวางในตะกร้า มันก็ปีนออกมาอีก
ซือเซียงกล่าว “เกรงว่าลูกสุนัขตัวนี้จะหิวแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน ถามขึ้นว่า “แล้วมันกินอะไรเป็นอาหาร”
ซือเซียงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าป้ารับใช้คนหนึ่งที่มาตัดแต่งต้นไม้และดอกไม้ให้พวกเราเมื่อหลายวันก่อนนั้นถูกดึงตัวมาจากบ้านสวน ข้าจะไปถามนางดูนะเจ้าคะ”
พอป้าผู้นั้นได้ยินว่าเป็นสุนัขที่คุณหนูรองตระกูลโจวเลี้ยงเอาไว้ จึงไม่กล้าบอกว่าสุนัขที่บ้านสวนกินอะไรกันบ้าง ยังคิดด้วยว่าสุนัขตัวนั้นคงจะมีค่ามาก ตนจะพูดแต่ในส่วนที่ดีก็พอ “…เป็นลูกสุนัขตัวหนึ่งอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ให้ดื่มพวกน้ำแกงเนื้อต้ม และกินพวกเมล็ดข้าวต่างๆ เจ้าค่ะ”
ซือเซียงกลับไปบอกให้ในห้องครัวทำต้มกระดูกหมูและข้าวอย่างละหน่อยมาให้ลูกสุนัขตัวนั้น
ลูกสุนัขกินอย่างเอร็ดอร่อย จนเลอะไปทั้งปาก
โจวเสาจิ่นถือโอกาสตัดผ้ากันเปื้อนง่ายๆ ให้มันหนึ่งผืน
ซือเซียงและคนอื่นๆ ต่างก็ช่วยกันเย็บผ้ากันเปื้อนให้มัน ยังออกความเห็นว่า “สุนัขเฝ้าประตูของบ้านอื่นล้วนมีชื่อเรียก พวกเราก็น่าจะตั้งชื่อให้มันสักชื่อนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นเห็นว่าสุนัขตัวนั้นตัวกลมๆ และมีสีขาว จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นสุนัขของพวกเราชื่อ ‘เสวี่ยฉิว’ ก็แล้วกัน พวกเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ทุกคนต่างเห็นด้วย จึงพากันเรียกมันว่า ‘เสวี่ยฉิวๆ’
เสวี่ยฉิวมองซ้ายที มองขวาที จากนั้นเอนตัวนอนหลับอยู่ในตะกร้า
ทุกคนต่างรู้สึกว่ามันช่างน่ารักยิ่งนัก พากันหัวเราะร่าขึ้นมา
โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกว่าภายในห้องคึกครื้นขึ้นมาอยู่หลายส่วน
กระทั่งนางกลับมาจากเรือนหานปี้ซาน ซือเซียงมาบอกนางด้วยน้ำตานองว่า “ไม่รู้ว่าเสวี่ยฉิวเป็นอะไร อยู่ๆ ก็ท้องเสียขึ้นมาเจ้าค่ะ พวกข้าไปเชิญท่านหมอมาแล้ว แต่ท่านหมอบอกว่าเขารักษาได้แต่คนเท่านั้นไม่อาจรักษาสุนัขได้ ให้พวกข้าเร่งส่งพ่อบ้านไปตามหาคนที่รักษาสุนัขได้ จนถึงตอนนี้พ่อบ้านก็ยังไม่กลับมาแจ้งข่าว เสวี่ยฉิวเอาแต่นอนนิ่งอยู่ในตะกร้าแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับตนถูกอะไรบางอย่างตะปบหัวใจเอาไว้ก็ไม่ปาน
นางรีบสาวเท้ากลับเรือนอย่างรวดเร็ว
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน