“ใช่น่ะสิ!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างหมายมั่น “พวกเราไปกันตอนนี้ แล้วก็เร่งกลับมาให้ทันก่อนงานเลี้ยงเลิก”
หลังจากที่งิ้วตอนนี้จบลงก็คงจะถึงเวลางานเลี้ยงเลิกแล้ว
ซือเซียงครุ่นคิด ไม่กล้าปล่อยให้ล่าช้าอีก เดินไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยพร้อมกับโจวเสาจิ่น
เมื่อเปรียบเทียบความครึกครื้นของเรือนหานปี้ซานกับที่นี่แล้ว เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยนั้นเงียบสงบและวังเวง แม้กระทั่งให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่เล็กน้อย
หลั่งเย่ว์คือผู้ที่เฝ้าเวรยามอยู่ที่หน้าประตู
เมื่อเขาเห็นโจวเสาจิ่นใบหน้าก็แสดงความยินดีออกมา กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองมาได้อย่างไรขอรับ ได้ยินว่าที่เรือนหานปี้ซานกำลังแสดงงิ้วกันอยู่ คุณหนูรองไม่ชอบชมการแสดงงิ้วหรือขอรับ”
“ก็พอได้” โจวเสาจิ่นไม่อยากเล่าความชอบส่วนตัวของตัวเองให้คนที่ไม่สนิทฟัง นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “แม่นางจี๋อิ๋งกลับมาแล้วหรือยัง”
“กลับมาแล้วขอรับ” หลั่งเย่ว์กล่าวยิ้มๆ “กลับมาพร้อมกับนายท่านสี่ คุณหนูรองมาหาพี่สาวจี๋อิ๋งหรือ ต้องการให้ข้าไปรายงานให้หรือไม่ขอรับ”
ท่านน้าฉือไม่ได้ลงโทษจี๋อิ๋งอย่างนั้นหรือ
นี่ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกเบาใจลง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าไปแจ้งให้สักหน่อยเถิด”
“คุณหนูรองรอสักครู่นะขอรับ” หลั่งเย่ว์ยิ้มพลางเชิญโจวเสาจิ่นไปนั่งรอในศาลาริมทาง ชงชามาให้ถ้วยหนึ่ง จากนั้นถึงได้ถอยออกไป
ซือเซียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “หลั่งเย่ว์ผู้นี้ต้อนรับผู้อื่นอย่างกระตือรือร้นกว่าชิงเฟิงมากเลยนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้าเห็นด้วย
พอดื่มชาหมด หลั่งเย่ว์ก็กลับมาพอดี “คุณหนูรอง แม่นางจี๋อิ๋งเชิญท่านไปนั่งเล่นที่ห้องของนางขอรับ!”
ซือเซียงประหลาดใจ
ตามหลักแล้ว หากโจวเสาจิ่นต้องการพบจี๋อิ๋ง เพียงแจ้งให้มามาผู้เป็นแม่บ้านทราบ มามาผู้เป็นแม่บ้านก็จะพาจี๋อิ๋งมาที่เรือนหว่านเซียงแล้ว สาเหตุที่คุณหนูรองให้ความเคารพจี๋อิ๋งขนาดนี้ หนึ่งก็เพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับนาง และสองก็เพราะเห็นว่านางเป็นคนที่รับใช้อยู่ข้างกายของนายท่านสี่ ทว่าตอนนี้โจวเสาจิ่นมาถึงหน้าประตูแล้ว นางไม่เพียงไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แต่ยังให้โจวเสาจิ่นเข้าไปนั่งในห้องของนางอีก
นี่ช่างไม่เหมาะสมยิ่งนัก!
ซือเซียงกำลังจะกล่าวเกลี้ยกล่อมโจวเสาจิ่น แต่ใครจะรู้ว่าโจวเสาจิ่นกลับพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “เช่นนั้นก็ได้! เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าจี๋อิ๋งพักอยู่ที่ใด คงต้องรบกวนเจ้าช่วยนำทางให้ข้าแล้ว!”
หลั่งเย่ว์ตอบรับอย่างยินดี เขาพานางเดินลัดเลาะผ่านเรือนซิ่วฉี่ จากนั้นมุ่งหน้าไปทางด้านหลังของห้องข้าง ระหว่างทาง ยังเล่าให้นางฟังว่า “ส่วนที่อยู่สูงที่สุดคือศาลาชิงอิน ไม่เพียงมองเห็นทัศนียภาพทั้งหมดของซอยจิ่วหรูเท่านั้น ยังมองเห็นถนนหนทางที่อยู่ด้านนอกซอยจิ่วหรูอีกด้วยขอรับ อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่ใช่สถานที่ๆ อยู่สูงที่สุดภายในจวน สถานที่ๆ อยู่สูงที่สุดคือศาลาเฟยไป๋ของท่านผู้นำตระกูลจวนรองทางด้านโน้น ว่ากันว่ามองเห็นได้แม้กระทั่งเมืองจินหลิงทั้งเมืองเลยทีเดียวขอรับ ด้านหลังของเรือนซิ่วฉี่คือเรือนลี่เสวี่ย พวกพี่สาวจี๋อิ๋งกับพี่สาวหนานผิงอาศัยอยู่ที่ด้านหลังของเรือนลี่เสวี่ย…”
โจวเสาจิ่นคาดเดา “เรือนลี่เสวี่ยคือห้องหนังสือของนายท่านสี่ใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ!” หลั่งเย่ว์กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ก็พักอยู่ที่นี่ด้วยขอรับ”
โจวเสาจิ่นเห็นเขาร่าเริงยิ่งนัก จึงถามเขายิ้มๆ ว่า “เหตุใดเจ้าจึงมักจะสวมใส่ชุดนักพรตเต้าเผาอยู่ตลอด เป็นเพราะนายท่านสี่เคยเป็นศิษย์เก่าของสำนักเต๋าอย่างนั้นหรือ”
“เปล่าขอรับ!” หลั่งเย่ว์กล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นเพราะการสวมใส่เช่นนี้มันง่ายและสะดวกดีขอรับ”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ครอบครัวของเจ้าเป็นทาสรับใช้หรือไม่ แล้วเจ้าเข้ามารับใช้ที่จวนตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”
“ข้าไม่ใช่ทาสรับใช้ขอรับ” ขณะที่หลั่งเย่ว์กล่าว สีหน้าก็หม่นหมองลงเล็กน้อย กล่าวต่อว่า “ข้าถูกนายท่านสี่ช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำตอนที่แม่น้ำหย่งติ้งเกิดน้ำท่วมใหญ่ในปีนั้นขอรับ” ขณะที่กล่าว น้ำเสียงก็หยุดลงไปชั่วขณะ “ชิงเฟิงเองก็ด้วยเช่นกัน ชิงเฟิงได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาก่อน ส่วนข้าได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาทีหลัง นายท่านสี่กล่าวว่า หมู่บ้านของพวกข้าสองคนน่าจะอยู่ไม่ไกลกันมากขอรับ”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
แม่น้ำหย่งติ้งอยู่ทางเหนือ ถึงแม้ว่าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่สำหรับประชาชนชาวเจียงหนานแล้ว ก็เป็นเพียงภาพจำที่ไม่ได้ฝังแน่นไปกว่าเรื่องที่เพื่อนบ้านสักคนแต่งสะใภ้เข้ามาเท่านั้น หากว่านางไม่เคยอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงมาก่อน ในปีนั้นผู้คนมากมายจากจิงเฉิงล้วนขายบ้านช่องไปเป็นบ่าวรับใช้ นางเองก็อาจจะจำไม่ได้ว่ากำแพงกั้นน้ำของแม่น้ำหย่งติ้งเคยแตกมาก่อนในรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบห้า
ซึ่งในปีนั้นเป็นปีที่ท่านน้าฉือเข้าเมืองหลวงไปสอบขุนนางพอดี
อาจจะเป็นเวลานั้นที่ช่วยชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์เอาไว้ก็เป็นได้
โจวเสาจิ่นไตร่ตรอง ยิ้มพลางกล่าวปลอบโยนเขาว่า “หลังจากที่ผ่านพ้นเภทภัยครั้งใหญ่แล้ว ย่อมจะพานพบแต่ความโชคดี ต่อจากนี้ไปเจ้าจะมีแต่ความสงบสุขอย่างแน่นอน”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นขอรับ” หลั่งเย่ว์เป็นผู้ที่มองโลกในแง่ดียิ่งนัก “ตอนนี้พวกข้ากินอิ่ม ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งยังได้เรียนเขียนอ่านกับท่านลุงไหวซาน ไม่แน่ว่าต่อไปพวกข้าก็อาจจะเป็นได้อย่างพ่อบ้านฉิน ได้เป็นพ่อบ้านของซอยจิ่วหรูก็เป็นได้!”
โจวเสาจิ่นยิ้มหวาน กล่าวขึ้นว่า “เจ้าต้องทำได้อย่างแน่นอน”
ทั้งสองคนพูดคุยกันไป ไม่นานก็มาถึงเรือนที่จี๋อิ๋งพักอยู่
อาคารเล็กขนาดสองชั้น เสาสีแดง หน้าต่างไม้ระแนงสีเขียวที่แปะเอาไว้ด้วยกระดาษสีขาว ผ้าม่านที่เพิ่งจะเปลี่ยนใหม่นั้นเป็นลายดอกไม้ บนระเบียงทางเดินมีกระถางสีขาวของดอกเบญจมาศอยู่กระถางหนึ่ง ดอกกำลังตูมพร้อมที่จะเบ่งบาน ตรงมุมกำแพงมีต้นกล้วยสองต้น สูงเสียดแทงขึ้นไปบนชายคาบ้าน
“คุณหนูรอง!” จี๋อิ๋งเลิกผ้าม่านขึ้นขณะที่ยืนอยู่ด้านในของประตูพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้โจวเสาจิ่น และกล่าวขึ้นว่า “รีบเข้ามานั่งเร็ว…ข้าถูกท่านน้าฉือของเจ้าสั่งกักบริเวณเสียแล้ว จึงไม่อาจก้าวออกจากธรณีประตูนี้ไปได้ ยังต้องคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ อีกห้าร้อยจบด้วย”
“เอ๋!” โจวเสาจิ่นเบิกตาโตอย่างตกใจ
“ไม่เป็นไร” จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ “ข้าเขียนอักษรได้เร็วยิ่งนัก พวกเจ้ารีบเข้ามานั่งก่อนเถิด”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็รีบพาซือเซียงเข้าไปข้างใน
เครื่องเรือนเป็นสีดำทั้งหมด เบาะรองนั่งสีเหลืองแก่ปักลายค้างคาวห้าตัวอันเป็นลายมงคลเสริมอายุวัฒนะ บนตั่งตัวยาวประดับเอาไว้ด้วยแจกันกระเบื้องเคลือบลายกิ่งดอกต้าไห่สีฟ้าคู่หนึ่ง ฉากกั้นโต๊ะทำจากไม้พยุง แกะสลักเป็นลายดอกโบตั๋นกำลังเบ่งบานตามรูปแบบเฉพาะของซูโจว ด้านตะวันออกเป็นประตูหรูอี้ของห้องชั้นใน ด้านตะวันตกกั้นเป็นห้องหนังสือ และยังมีสาวใช้สำหรับยกน้ำชาและรินน้ำอยู่อีกหนึ่งคนอยู่ด้วย
ซือเซียงตกใจเป็นอย่างมาก
จี๋อิ๋งผู้นี้ ไม่เพียงมีอากัปกิริยาที่ไม่เหมือนสาวใช้เท่านั้น แม้แต่การอยู่การกินก็ไม่เหมือนสาวใช้ด้วย
ไม่รู้ว่าสาวใช้ในเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเป็นเช่นนี้ทุกคนด้วยหรือไม่ หรือมีเพียงจี๋อิ๋งคนเดียวเท่านั้น
นางครุ่นคิด
โจวเสาจิ่นเองก็ลอบสำรวจการตกแต่งภายในห้อง กล่าวขึ้นว่า “ที่นี่ของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว!”
ดีกว่าเรือนซิ่วฉี่เสียอีก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประดับด้วยสิ่งของที่ดีกว่า…เพียงแต่ว่าเรือนซิ่วฉี่ให้ความรู้สึกเย็นชาทำให้คนรู้สึกเกร็ง ขณะที่ที่พักของจี๋อิ๋งกลับมีแต่ความเป็นมิตรและเป็นกันเอง
นางยังเห็นว่าในห้องหนังสือมีตั่งนั่งตัวเตี้ยแกะสลักลายเถาองุ่นเลื้อยพันกิ่งต้นโบตั๋นตัวหนึ่งวางหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง ยังมีโต๊ะขนาดเล็กแกะสลักลายเมฆมงคลวางเอาไว้ตรงกลางของตั่งนั่งตัวเตี้ยอีกด้วย
โจวเสาจิ่นตกตะลึงเล็กน้อย ก้าวออกไปลูบสัมผัสงาช้างแกะสลักเป็นลายดอกไม้ที่ฝังอยู่บนโต๊ะขนาดเล็กตัวนั้น พลางถามจี๋อิ๋งว่า “เจ้าเป็นคนจากทางเหนือหรือ”
“เอ๋!” จี๋อิ๋งบอกให้สาวใช้ยกจานผลไม้มาวางบนโต๊ะขนาดเล็กด้วยตัวเอง ยิ้มพลางเชิญนางนั่งลงบนตั่งนั่งตัวเตี้ย “เจ้ารู้ได้อย่างไร”



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน