เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 132

พอโจวเสาจิ่นเดินเข้ามาปี้อวี้ก็ยิ้มพลางออกมาต้อนรับนาง กล่าวขึ้นว่า “เมื่อเช้าเจินจูและคนอื่นๆ เดินหมากกระดานแบบเรียงห้าตัวแล้วมีผู้แพ้และผู้ชนะ จึงส่งบ่าวเด็กไปซื้อขนมขบเคี้ยวที่ร้านฉีฟางไจมา ประเดี๋ยวคุณหนูรองกับแม่นางซือเซียงก็มาดื่มน้ำชากับพวกเราด้วยสักถ้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”

เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไปที่ใดก็ต้องทำตามธรรมเนียมของที่นั่น ในเมื่อมาเป็นแขกในเรือนหานปี้ซาน ก็ต้องผูกมิตรกับปี้อวี้และคนอื่นๆ ให้ดี ยิ่งไปกว่านั้นโจวเสาจิ่นกับปี้อวี้ยังพูดคุยกันอย่างถูกคอยิ่งนัก นิสัยใจคอก็เข้ากันได้ดี

นางจึงตอบตกลงด้วยความยินดี ยิ้มพลางเอ่ยถามว่า “ใครเป็นผู้ชนะหรือ”

ปี้อวี้ปิดปากและยิ้มน้อยๆ “นอกจากเฝ่ยชุ่ยแล้ว พวกเราทุกคนล้วนเป็นฝ่ายชนะเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นยกยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็แสดงว่าคงเสียเงินไปมากกระมัง”

ปี้อวี้ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “เสียไปเกือบห้าเหลี่ยงเงินเจ้าค่ะ”

ซือเซียงอึ้ง “แม่นางเฝ่ยชุ่ยร่ำรวยเสียจริง”

“ร่ำรวยอะไรกัน!” ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ ว่า “นางสูญเงินเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งของเบี้ยรายเดือนทั้งปี ทำให้นางเจ็บใจยิ่งนัก ก็เลยรับประทานมื้อเที่ยงไม่ค่อยลงสักเท่าไร”

พวกนางสามคนคุยไปด้วยหัวเราะไปด้วยขณะเดินไปที่ห้องพระ

มีสาวใช้เด็กผู้หนึ่งมาแจ้งปี้อวี้ว่า “…มีถ่านเงินสามคันรถและถ่านไม้อีกสองคันรถมาส่งเจ้าค่ะ ปีก่อนๆ ล้วนเก็บเอาไว้ที่ท้ายห้องเก็บของ แต่ฤดูหนาวปีที่แล้วอากาศอบอุ่น ถึงช่วงฉลองตรุษจีนเล็กแล้วถึงจะมีหิมะตกมาสักครั้งหนึ่ง ทำให้ในห้องเก็บของยังมีถ่านกองอยู่ถึงครึ่งห้อง เกรงว่าจะใส่เข้าไปไม่ได้อีก หวังมามาจึงบอกให้ข้ามาถามพี่สาวว่าควรทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ”

หลังจากฉลองเทศกาลเก้าคู่[1] ในวันที่เก้าเดือนเก้าแล้ว แต่ละจวนต้องเริ่มตระเตรียมถ่านเอาไว้สำหรับใช้ในฤดูหนาว จวนสี่ยังไม่ได้เริ่มจัดเตรียมถ่านเลย ไม่คิดว่าทางด้านจวนหลักจะเริ่มคัดแยกถ่านกันแล้ว

โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ ให้ซือเซียงไปกับข้าก็พอ”

ปี้อวี้ลังเลเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าหากขนมจากร้านฉีฟางไจมาถึงแล้วเจ้าก็อย่าลืมมาเรียกพวกข้าสักหน่อยก็พอ”

ปี้อวี้ใช้เวลาร่วมกับนางมานานขนาดนี้ จึงพอจะรู้อุปนิสัยของนางไม่มากก็น้อย เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว ก็กล่าวอย่างสดใสขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ! ข้าไม่ไปส่งท่านก็แล้วกัน ประเดี๋ยวค่อยเชิญท่านมารับประทานขนมด้วยกันนะเจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า แล้วไปที่ห้องพระกับซือเซียง

ลูกผิงกั่ว[2] สีแดงปลั่งกับผลส้มหัตถ์พระพุทธองค์สีทองแวววาวที่วางอยู่บนโต๊ะบูชาพระส่งกลิ่นหอมจำเพาะของผลไม้ออกมาอบอวลทั่วห้อง ช่วยกลบกลิ่นธูปไหว้พระให้เจือจางลง ทำให้คนรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า

โจวเสาจิ่นล้างมือ ทำใจให้สงบแล้วก็เริ่มคัดพระธรรม

ผ่านไปสักพัก ปี้อวี้ก็เข้ามา “ท่านยังเหลือพระธรรมที่ต้องคัดอีกจำนวนเท่าใดหรือ ขนมทานเล่นมาถึงแล้ว ยังคงร้อนกรุ่นอยู่ นอกจากขนมโก๋หัวแห้วและขนมปุยเมฆแผ่นอันเป็นขนมขึ้นชื่อที่สุดของร้านแล้ว บ่าวเด็กคนนั้นยังซื้อลูกเกาลัดคั่วน้ำตาล ขนมเปี๊ยะมันฮ่อ และขนมบ๊วยซานจาแผ่นอันเป็นขนมออกใหม่ของร้านฉีฟางไจมาด้วยเจ้าค่ะ”

หลังจากที่โจวเสาจิ่นไปอยู่เมืองจิงเฉิง ก็ชื่นชอบรับประทานถังหูลู่เป็นอย่างมาก ซึ่งถังหูลู่นี้จะใช้ไม้เสียบผลซานจาที่เคลือบน้ำตาลเอาไว้เป็นไม้ๆ

นางได้ยินแล้วก็ดีใจยิ่ง วางพู่กันลงพลางเอ่ยถามขึ้นว่า “ร้านฉีฟางไจเริ่มทำขนมบ๊วยซานจาแผ่นขายตั้งแต่เมื่อใด ไฉนข้าถึงไม่รู้เรื่องเลย”

ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าว “ได้ยินบ่าวเด็กบอกว่า ช่วงนี้ในเมืองจินหลิงมีร้านขนมเปิดใหม่ร้านหนึ่งชื่อว่าร้านหมี่จี้ ทำขนมจำพวกขนมเปี๊ยะและขนมแป้งทอดรสชาติอร่อยยิ่งนัก กล่าวกันว่ากระทบกับกิจการของร้านฉีฟางไจไม่น้อยเลยทีเดียว ปีนี้ร้านฉีฟางไจจึงเชิญช่างทำขนมมาจากทางตอนเหนือผู้หนึ่ง ขนมบ๊วยซานจาแผ่นนี้ก็เป็นผลงานที่ช่างทำขนมจากทางตอนเหนือคนนั้นนำมาด้วยเจ้าค่ะ”

ทั้งสองคนพูดคุยไปพลางเก็บของไปพลาง จากนั้นก็พากันเดินไปที่ห้องน้ำชา

เจินจูและคนอื่นๆ รออยู่ที่นั่นได้สักพักแล้ว เด็กรับใช้สองสามคนที่อยู่ด้วยกันต่างก็เป็นผู้ที่เห็นหน้ากันอยู่บ่อยๆ เมื่อเห็นพวกนางเดินเข้ามาก็พากันมาคำนับแล้วเชื้อเชิญให้นั่งลง จากนั้นเสี่ยวถานก็ยื่นจอกชาจันทร์แปดกลีบ[3] ลายผีเสื้อตอมดอกไม้จอกหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเอามาจากที่ใดมาให้โจวเสาจิ่น “คุณหนูรองเจ้าคะ จอกนี้ให้ท่านใช้ดื่มชาเจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณไม่หยุด แล้วนั่งลงไป

ปี้อวี้และสาวใช้ใหญ่สองสามคนต่างนั่งล้อมรอบโจวเสาจิ่น มีเพียงเฝ่ยชุ่ยคนเดียวที่นั่งอยู่นอกวง ห่างจากโจวเสาจิ่นที่สุด

ทุกคนต่างไม่สนใจมากนัก

หมาเหน่าขยับตัวแล้วเริ่มชงชาอย่างคล่องแคล่วและสง่างาม

โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงเงียบๆ มองเห็นน้ำชานั้นมีสีเขียวใส กลิ่นหอมอวลกำจายไปทั่วโพรงจมูก ดื่มแล้วรสหอมหวานตรึงติดอยู่ในปาก อดไม่ได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าชงชาอะไรหรือ ช่างหวานละมุนยิ่งนัก!”

“คือชาเขียวไท่ผิงโหวขุยเจ้าค่ะ” หมาเหน่ายิ้มตอบ “เป็นชาที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้พี่สาวปี้อวี้มาเจ้าค่ะ”

“เป็นชาดี!” โจวเสาจิ่นกล่าวชม “เจ้าเองก็ชงชาได้ดี กลมกล่อมยิ่งนัก”

หมาเหน่าหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย กล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ข้าชงชาได้ดีเสียที่ไหนกันเจ้าคะ เป็นคุณหนูรองต่างหากที่กล่าวชมข้าเจ้าค่ะ”

ทุกคนต่างพร้อมใจกันกล่าวชมชาที่หมาเหน่าชง

ปี้อวี้เห็นว่าเฝ่ยชุ่ยยิ้มอย่างฝืนๆ เล็กน้อย จึงรีบยิ้มออกมาและกล่าวแก้สถานการณ์ให้บรรยากาศดีขึ้นว่า “ชาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ดี ฝีมือชงชาของหมาเหน่าก็ดี คุณหนูรองกล่าวได้มีเหตุผล อย่างไรก็ตาม ขนมขบเคี้ยวเหล่านี้เย็นชืดหมดแล้ว ประเดี๋ยวพวกเจ้าก็อย่ามากล่าวหาว่าขนมของร้านฉีฟางไจไม่อร่อยก็แล้วกัน!”

ทุกคนหัวต่างเราะเบิกบานขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน ดื่มน้ำชากันไป กินขนมกันไป ยังมีสาวใช้เด็กผู้หนึ่งสบโอกาสถามปี้อวี้ขึ้นมาว่า “พี่สาว ชุดสำหรับฤดูหนาวของภายในจวนจะมาถึงเมื่อใดหรือเจ้าคะ วันนี้ข้าเอาแต่เฝ้ารอชุดสำหรับฤดูหนาวที่จะเอาไว้สวมใส่ในฤดูหนาวนี้เจ้าค่ะ!”

จึงมีสาวใช้เด็กกล่าวขึ้นอย่างคมคายว่า “ใครใช้ให้เจ้านำเสื้อกันหนาวเหมียนเอ่าตัวเก่าส่งกลับบ้านไปจนหมดเล่า ข้าได้ยินแม่บุญธรรมกล่าวว่า ปีที่แล้วฤดูหนาวสั้น ตามหลักแล้ว ฤดูหนาวในปีนี้จะยาวนานขึ้น เจ้ารีบคิดหาวิธีอื่นเผื่อเอาไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือ”

สาวใช้เด็กผู้นั้นกล่าวด้วยใบหน้าขมขื่นว่า “พวกเจ้าก็รู้ เดี๋ยวนี้ในสายตาของพ่อข้ามีเพียงแม่เลี้ยงเท่านั้น ไหนเลยจะสนใจดูแลน้องสาวทั้งสองคนของข้า หากข้าไม่ฝากคนนำเสื้อกันหนาวเหมียนเอ่ากลับไปให้ พ่อของข้าก็คงจะขายน้องสาวของข้าคนหนึ่งไปหรือไม่ก็คงปล่อยให้พวกนางหนาวจนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็ถามปี้อวี้ขึ้นมาว่า “พี่สาว ข้าได้ยินว่าพี่สาวหมิงเฮ่อในจวนของนายท่านสี่จะแต่งงานแล้ว ให้น้องสาวของข้าเข้ามารับใช้ในจวนด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”

มีสาวใช้เด็กผู้หนึ่งร้องขึ้นว่า “เจ้าฝันไปเถอะ! เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเป็นถึงสถานที่ใด น้องสาวของเจ้าไม่รู้อักษรสักตัว ไม่เคยเรียนกฎเกณฑ์มารยาทต่างๆ เลยสักวัน จะเข้าไปเป็นสาวใช้อยู่ในเรือนของนายท่านสี่ได้อย่างไร”

“ข้าไม่ได้ขอให้น้องสาวของข้าไปรับใช้อยู่ในเรือนของนายท่านสี่สักหน่อย” สาวใช้เด็กคนนั้นโต้กลับไปในทันที “ข้าเพียงแต่คิดว่าหลังจากที่พี่สาวหมิงเฮ่อแต่งงานออกไปแล้ว ไม่ว่าพี่สาวคนใดจะถูกดันขึ้นไปแทนตำแหน่งของพี่สาวหมิงเฮ่อก็ตาม ก็จะทำให้มีตำแหน่งว่างลงตำแหน่งหนึ่ง ขอเพียงน้องสาวของข้าได้เข้ามารับใช้อยู่ในจวน ต่อให้ต้องไปกวาดพื้นในลานชั้นนอก ก็ยังดีกว่ารั้งอยู่ที่บ้านเกิด! จะดีจะร้ายก็ยังมีข้าวให้กิน…”

ขณะที่โจวเสาจิ่นฟังอยู่นั้น ก็มีคนมาเติมน้ำชาให้นาง และเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ ท่านอย่าได้สนใจเลย! ปกติพวกนางไม่ค่อยได้เจอพี่สาวปี้อวี้ในวันธรรมดาสักเท่าใด จึงอดที่จะกล่าวเจี๊ยวจ๊าวไม่ได้อยู่บ้างเจ้าค่ะ”

นางเงยหน้าขึ้น เห็นเจินจูผู้นั้นดวงตาระยิบระยับไปมาราวกับคลื่นน้ำแวววาวเป็นประกาย

โจวเสาจิ่นไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับเจินจูสักเท่าใดนัก

“ไม่เป็นไรๆ” นางรีบกล่าวขึ้นอย่างยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าดูเหมือนกับเป็นพี่สาวน้องสาวกันจริงๆ ก็ไม่ปาน เป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก!”

เจินจูกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต้องใช้เวลากว่าร้อยปีในการบำเพ็ญเพียรถึงจะมีวาสนาอยู่ร่วมเรือลำเดียวกันได้ พวกข้าเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นพรหมลิขิต อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยกันไปเจ้าค่ะ”

ตอนที่ 132 ขัดแย้ง 1

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน