เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 138

ถ้าหากว่าการคาดเดาของนางถูกต้อง เช่นนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นในปีนั้นกันแน่จึงทำให้เฉิงฉือออกจากตระกูลเฉิงหลังจากการเสียชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่ากัว

น้ำที่แข็งตัวจนหนาสามฉื่อไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาเพียงวันเดียวฉันใด ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็คงไม่ได้สะสมขึ้นเพียงวันเดียวฉันนั้น

โจวเสาจิ่นนึกถึงท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองที่พยายามขัดขวางเฉิงฉือ นึกถึงพฤติกรรมของเฉิงฉือ…หากว่าเฉิงฉือมีแผนการที่จะออกจากตระกูลเฉิงตั้งแต่ตอนนี้ เช่นนั้น ทุกอย่างก็ถือว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว ทั้งเรื่องที่เขาปฏิบัติต่อเฉิงสวี่อย่างเย็นชา การจัดเตรียมบ่าวรับใช้ข้างกาย การวางแผนเรื่องงานแต่งงานของตัวเอง…ล้วนมีคำตอบอยู่ในนั้นทั้งหมด

นางถึงกับเคยคิดว่า ถ้าเป็นตน เกรงว่าก็คงจะทำเช่นนี้เหมือนกัน

เพราะตัดสินใจว่าจะออกจากตระกูล เพราะฉะนั้นยิ่งห่วงใยให้น้อยลงได้มากเท่าไรก็เป็นการดีมากเท่านั้น ความรู้สึกที่มีต่อกันยิ่งเหินห่างมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น

“คิดอะไรอยู่หรือ” ใบหน้าที่เย็นชาทว่าสง่างามของจี๋อิ๋งมาปรากฏอยู่ต่อหน้านาง “ตะโกนเรียกเจ้าไปตั้งหลายทีเจ้าก็ไม่ตอบ”

โจวเสาจิ่นรีบหันไปส่งยิ้มให้นางอย่างขอลุแก่โทษ

จี๋อิ๋งกล่าว “วันนี้คงไม่อาจดื่มสุราที่ว่าแล้ว เพราะข้าถูกกักบริเวณ ไม่อนุญาตให้ออกจากธรณีประตูนี้ไปได้ ส่วนเจ้าก็ไม่มีแรง คงไปขุดไหสุราไม่ไหว คงได้แต่รอให้ฉินจื่อผิงกลับมาตอนเย็นแล้วค่อยขอให้เขาช่วย”

โจวเสาจิ่นเองก็ไม่มีอารมณ์จะดื่มสุรากับจี๋อิ๋งแล้วเช่นกัน จึงทิ้งปูเอาไว้ให้ แล้วนัดแนะกันว่าค่อยมาหาใหม่ในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็กลับเรือนหว่านเซียง

แต่ ณ เรือนลี่เสวี่ยที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าไรนั้น เฉิงฉือกำลังนั่งดูสมุดบัญชีอยู่

เขาถามไหวซานที่ยืนกุมมือทั้งสองข้างอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ “ผู้จัดการรองของสิบสามห้างก่วงตงว่าอย่างไรบ้าง”

ไหวซานตอบอย่างนอบน้อมว่า “บอกว่าปีนี้ได้ทำสัญญากับการรับประกันราคาของเหล่าทัพทั้งเก้า ต้องจ่ายล่วงหน้าไปก่อนส่วนหนึ่ง ทำให้ช่วงนี้ไม่อาจดึงเงินสดออกมามากขนาดนั้นได้ จะขอจ่ายครึ่งหนึ่งก่อนได้หรือไม่ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือพวกเขาจะใช้สาขาที่ก่วงตง พานอวี๋ ฝัวซาน และฮุ่ยโจวทั้งสี่สาขาเป็นหลักประกัน โดยใช้อัตราดอกเบี้ยร้อยละสาม และจะคืนทั้งหมดให้ภายในเวลาสองปี…”

“ไม่ได้!” ไหวซานยังพูดไม่จบ เฉิงฉือที่พลิกสมุดบัญชีไปหนึ่งหน้าก็เอ่ยขัดคำพูดของเขาขึ้นมาเสียก่อนด้วยท่าทางดุดันว่า “ไปบอกพวกเขาว่าให้ใช้อัตราดอกเบี้ยร้อยละหนึ่ง แต่ต้องชำระทั้งหมดคืนมาในคราวเดียว หากพวกเขาดึงเงินสดออกมาไม่ได้ ก็ให้ไปแจ้งตระกูลอันที่ฝูเจี้ยน ให้พวกเขาเตรียมเงินเอาไว้”

ไหวซานกล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “นายท่านสี่ สาขาก่วงตง พานอวี๋ ฝัวซาน และฮุ่ยโจวทั้งสี่สาขาเป็นสาขาที่เก่าแก่ที่สุดของสิบสามห้าง และยังถือเป็นหน้าเป็นตาของสิบสามห้างอีกด้วย การที่พวกเขาดึงเอาทั้งสี่สาขานี้มาเป็นหลักประกัน แสดงให้เห็นว่าต้องการทำสัญญากับการเดินเรือของพวกเราด้วยความจริงใจ นอกจากนี้ข้าก็ได้ไปสืบมาอย่างละเอียดแล้วว่า เพื่อทำสัญญากับการรับประกันราคาของเหล่าทัพทั้งเก้าและร้านหย่งฝูเซิ่งของจิงเฉิงในครั้งนี้แล้ว สิบสามห้างยอมเสี่ยงขาดทุนทั้งสองทาง ของรอบนี้คุณภาพต่ำลงมาเช่นนี้ อย่างไรก็ขาดทุนอย่างแน่นอน เพียงต้องดูว่าจะขาดทุนเป็นจำนวนเท่าไรเท่านั้น เหตุใดท่านต้องเร่งรัดผู้อื่นด้วยขอรับ นายห้างใหญ่ของสิบสามห้างก็เป็นผู้ไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง ส่วนตระกูลอันที่ฝูเจี้ยนนั้นกลับเป็นตระกูลที่ก่อตั้งขึ้นมาจากการสมคบคิดกับโจรสลัดชาววัวโค่ว[1] เงินที่มีอยู่ในมือล้วนเป็นเงินไม่สะอาด หากว่าทางการตรวจสอบขึ้นมา จะยุ่งยากเป็นอย่างยิ่งขอรับ…”

“ไหวซาน!” เฉิงฉือวางสมุดบัญชีในมือลง ใช้มือนวดหว่างคิ้วของตัวเองอย่างอ่อนล้าเล็กน้อย พลางกล่าว “พวกเราจำเป็นต้องใช้เงินสด ข้าไม่มีเวลามานั่งรอพวกเขาถึงสองปีได้ เวลาสองปี ความผันแปรมีมากเกินไป ข้าไม่อยากรออีกแล้ว!”

“นายท่านสี่!” ไหวซานก้มหน้าลงด้วยความละอายใจเล็กน้อย

ขณะที่มองเขา เฉิงฉือก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปยืนข้างๆ เขาพลางตบไหล่เขาไปด้วย กล่าวเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าปรารถนาดีต่อข้า ยังหวังให้ข้าสร้างชื่อเสียงอันดีงามให้ตัวเองอยู่ในเจียงหนานแห่งนี้ในฐานะนายท่านสี่ของตระกูลเฉิง แต่ข้ากลับเหนื่อยหน่ายแล้ว ข้าอยากจะดื่มด่ำเหล้าข้าวหมักสักขวด อยากจะตื่นขึ้นมาท่ามกลางเม็ดทรายที่ปลิวไปตามสายลมอ่อนในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ อยากจะชงชาเขียวสักหนึ่งกา และฟังเสียงคลื่นของทะเลในยามราตรีกาลจนเคลิ้มหลับไป…”

“นายท่านสี่!” ไหวซานเงยหน้าขึ้นอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย นัยน์ตารื้นชื้นด้วยหยาดน้ำตา กล่าวขึ้นว่า “ท่านอย่าพูดอีกเลย ข้าจะไปแจ้งตระกูลอันที่ฝูเจี้ยนเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

มือของเฉิงฉือที่วางอยู่บนไหล่ของไหวซานกลับยั้งเขาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ช่างมันเถิด! ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ตระกูลอันกระทำการอุกอาจเกินไป ไม่ช้าก็เร็วคงต้องมีปัญหาเกิดขึ้น หากกระทบมาถึงตระกูลเฉิงคงไม่ดีแน่ เจ้าไปบอกผู้จัดการรองของสิบสามห้างก็แล้วกัน ว่าให้ยึดตามที่พวกเขาเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ ชำระเงินมากึ่งหนึ่งก่อน ส่วนที่เหลือชำระให้แล้วเสร็จภายในสองปีให้หลัง”

“นายท่านสี่!” ไหวซานเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ

เรื่องที่เฉิงฉือตัดสินใจแล้ว น้อยครั้งนักที่จะเปลี่ยนใจ

“บางทีอาจเป็นเพราะข้าอายุมากขึ้นแล้ว ยิ่งอยู่ก็ยิ่งใจอ่อน” เฉิงฉือเองก็รู้ดี เขาหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง “ข้าอาจจะไม่สนใจผู้อื่นได้ แต่ไม่สนใจแม่ของข้าไม่ได้ เรื่องนี้…ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”

ไหวซานพยักหน้า กล่าวอย่างลังเลว่า “นายท่านสี่ ส่วนทางด้านของแม่นางจี๋อิ๋ง…”

“เจ้าหมายถึงเรื่องของร้านข้าวสารเม่าจี้หรือ” เฉิงฉือกล่าวเสียงเรียบ หมุนกายนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนด้านหน้าโต๊ะหนังสืออีกครั้ง แล้วกล่าวต่อว่า “ให้คนเฝ้าติดตามบ่าวชายผู้นั้นเอาไว้ก็พอ ต่อให้จี๋อิ๋งจะไม่รู้จักผิดชอบจริง แต่ตระกูลจี้ไม่มีทางคิดเล่นแง่ตุกติกไปกับนางด้วยเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่ขีดเส้นกั้นกับตระกูลเจียวอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ได้เตือนข้าเช่นเดียวกัน คุณหนูรองของตระกูลโจวผู้นั้น เจ้าให้คนไปสืบประวัติของนางมาสักหน่อย การที่นางชักจูงจี๋อิ๋งช่วยเป็นธุระให้นางได้ เกรงว่าจะไม่ใช่คนเรียบง่ายผู้หนึ่งเช่นกัน”

เขานึกถึงนางที่หาโอกาสเข้าใกล้เขาหลายครั้ง เคยคิดว่าเป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นของเด็กสาวเท่านั้น แต่ดูจากตอนนี้แล้ว อาจจะไม่ใช่ก็เป็นได้

แววตาของเฉิงฉือเคร่งขึ้นเล็กน้อย สีหน้าดูดุร้ายประหนึ่งดาบคมที่พร้อมจะฟาดฟันได้อย่างรวดเร็วขึ้นมา

ไหวซานตัวสั่น ก้มหน้าลงราวกับว่าไม่กล้ามองตรงๆ ขานตอบว่า “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ” โค้งตัวคำนับพร้อมกับเดินถอยไปจนถึงประตู แล้วถึงได้เดินจากไป

เฉิงฉือนั่งอยู่ภายในห้องลำพัง นั่งมองลำแสงภายในห้องที่ค่อยๆ เลือนลับหายไป จนกระทั่งความมืดเข้ามาปกคลุมตัวเขาจนมิด

***

วันต่อมา โจวเสาจิ่นไม่ได้ไปกินปูกับจี๋อิ๋ง

เนื่องจากหลานทิงโวยวายว่าต้องการพบนาง เพื่อการนี้แล้วยังประท้วงด้วยการอดอาหารอีกด้วย

โจวชูจิ่นกรุ่นโกรธเป็นอย่างมาก กล่าวกับภรรยาของหม่าฟู่ซานที่มารายงานข่าวว่า “หากนางยินดีที่จะตายจริงๆ ก็คงตายไปตั้งนานแล้ว เจ้าไม่ต้องสนใจนาง เจ้าเพียงส่งข้าวไปให้นางวันละสามมื้อก็พอ นางจะกินหรือไม่กิน ก็เป็นเรื่องของนาง”

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปดูนางสักหน่อยก็แล้วกันเจ้าค่ะ!”

โจวชูจิ่นไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “นางทำเช่นนี้ก็เพื่อบีบบังคับให้เจ้าไปพบนาง”

โจวเสาจิ่นรู้ดี ทุกคนต่างคิดว่านางเป็นคนใจอ่อน เรื่องที่ขอจากพี่สาวไม่ได้ก็จะมาหานางแทน ชาติก่อนนางมักจะส่ายหัวปฏิเสธอยู่ตลอด แต่ชาตินี้ไม่อาจเอาแต่ผลักเรื่องพวกนี้ไปเป็นภาระของพี่สาว และปล่อยให้พี่สาวต้องแบกชื่อเสียงเสียหายว่าเป็นคน ‘อกตัญญู’ เอาไว้เพียงผู้เดียวได้

ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว เรื่องนี้ยังมีสาเหตุมาจากตัวนางอีกด้วย!

“ไม่ใช่ว่านางพูดอยู่ตลอดว่านางทำตามคำสั่งของท่านแม่หรอกหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวกับพี่สาว “เช่นนั้นพวกเราก็นำเอาคำพูดของท่านแม่ออกมาพูดเสียให้ชัดเจน ดูว่าตั้งแต่ต้นนั้นท่านแม่ปฏิบัติกับนางอย่างไรบ้าง ทุกอย่างที่ท่านแม่ปฏิบัติกับนางมาอย่างไร พวกเราก็จะปฏิบัติตามตามนั้นก็พอ แต่อะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านแม่เคยกระทำ พวกเราก็ไม่อาจกระทำตามสิ่งที่นางพูดขึ้นมาเองได้ ไม่เช่นนั้นบรรดามามาทั้งหลายที่เคยให้นมพวกเรามานั้นจะทำอย่างไร”

โจวชูจิ่นฟังแล้วก็เห็นว่าคำพูดนี้มีเหตุผล มองน้องสาวด้วยสายตาชื่นชมมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ระหว่างที่เจ้าพูดคุยกับนาง ข้าจะนั่งฟังอยู่หลังฉากกั้นไปด้วย”

พี่สาวยังคงกลัวว่านางจะถูกหลอก

แต่นี่ก็ถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกก้าวหนึ่งแล้ว

ตอนที่ 138 จัดการ 1

ตอนที่ 138 จัดการ 2

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน